บทที่ 01 เขาคนนั้นที่เป็นประธานบริษัท [2]

2270 Words
บทที่ 01 เขาคนนั้นที่เป็นประธานบริษัท [2] “ก็บอกว่าไม่ชอบผู้ชายตาตี่ไง” “แล้วแกชอบตาโตแต่เหี้ยหรือไง” หันมาย้ำคำว่า ‘เหี้ย’ ชัดๆ ใส่หน้า สงสัยจะอิน “เอาน่า ใจเย็นๆ แกลองทำความรู้จักเขาดูก่อนก็ไม่เสียหายนี่หว่า ถ้าเฮียเจตต์ปล่อยผ่านก็แสดงว่าต้องมีดีอยู่บ้าง ถึงตอนนั้นถ้าไม่ถูกใจจริงๆ แกก็ค่อยอ้อนเฮียเจตต์ขอเปลี่ยนผู้ใหม่ก็ยังไม่สาย ไม่ได้จะต้องแต่งงานกับคนนี้เลยเสียเมื่อไร ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสสืบเรื่องของกราฟไปด้วย” ยัยนับดาวเสนอความคิด ฉันฟังแล้วก็เริ่มจะคล้อยตาม เพราะเอาเข้าจริงๆ ทางเลือกของฉันตอนนี้ก็มีไม่มากนัก บวกกับที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วถ้าฉันไม่ยอม แค่อ้อนเฮียเจตต์สักหน่อยเขาก็น่าจะใจอ่อน ดูท่าว่าช่วงนี้คงต้องไหลตามสถานการณ์ไปก่อนอย่างที่ยัยนับดาวแนะนำ “เออ เอาแบบนั้นก็ได้” “ก็แหงอยู่แล้ว อะ กินๆ เข้าไป อย่าเพิ่งไปเครียดกับปัญหาที่ยังมาไม่ถึง ตอนนี้ที่แกต้องเตรียมตัวรับมือคือเรื่องงาน ฉันจะเตือนแกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าชีวิตมนุษย์เงินเดือนเนี่ย สู้กับงาน ไม่เหนื่อยเท่าสู้กับคนในที่ทำงาน” ยัยนับดาวพูดไปส่ายหัวไป พอได้ยินมันพูดถึงเรื่องงานขึ้นมาแล้วฉันก็ยิ่งเซ็ง ไม่ได้ขี้เกียจทำงานหรอกนะ แต่ปัญหาก็คือป๊าฉันเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมใหญ่โต แต่ดันส่งฉันที่เรียนจบบริหารไปทำงานที่บริษัทผลิตสื่อโฆษณาออนไลน์ ด้วยเหตุผลว่ากลัวไม่มีใครที่โรงแรมกล้าใช้ฉันทำงานบ้างล่ะ อยากให้ฉันได้เรียนรู้งานด้านอื่นๆ เผื่อจะสามารถนำกลับมาใช้กับงานที่โรงแรมได้ในอนาคตบ้างล่ะ แต่ถามจริงๆ เลยนะใครจะโง่เชื่อ ฉันรู้ว่าเหตุผลหลักๆ คือป๊าอยากให้ฉันทำความรู้จักและสนิทสนมกับไอ้ตี๋เพื่อนเฮียเจตต์ต่างหาก เมื่อเช้าตอนที่ฉันจะอ้าปากแย้ง เฮียเจตต์ก็กระตุกเสื้อห้ามเอาไว้ ดึงเสียชายเสื้อจะย้วย เฮ้อ ตื๊ดๆ โทรศัพท์บนโต๊ะสั่นจนฉันกับยัยนับดาวพากันตกใจ เหลือบมองไปที่หน้าจอแล้วเห็นว่าเป็นข้อความจากเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ฉันก็ต้องรีบหยิบขึ้นมา ยัยนับดาวยื่นหน้ามาดูพร้อมกัน ถึงจะไม่ได้บันทึกเบอร์ไว้แต่ฉันจำได้ว่าเป็นเบอร์เดียวกันกับที่ส่งข้อความรูปของกราฟมาเมื่อคืน สบตากับยัยนับครู่หนึ่งแล้วเปิดดูข้อความ แวบแรกที่เห็นมือไม้ของฉันพลันชาไปหมด “อี...” ยัยนับดาวโกรธจนกัดฟัน รีบดึงโทรศัพท์ไปจากมือฉันแล้วปิดหน้าจอลงทันที ส่วนฉันถึงจะยังพูดไม่ออกเพราะมันรู้สึกจุกอยู่ในอกก็รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธจนควันแทบจะออกหู มือไม้สั่นไม่หยุด ภาพที่ส่งมาเมื่อคืนเป็นภาพของกราฟที่นอนหลับ มีชั้นในสีแดงคาดปิดดวงตาทั้งสองข้าง ส่วนภาพถ่ายเมื่อครู่ที่ได้เห็น เป็นภาพมือของเขาที่จับหน้าอกของผู้หญิง ฉันจำนาฬิกาข้อมือของเขาได้เพราะฉันเป็นคนซื้อให้เขาเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อเดือนก่อน ยัยนับดาวเองมันก็คงจำได้เพราะมันเป็นคนไปช่วยฉันเลือก ตื๊ดๆ~ เจ้าตัวโทรมาพอดิบพอดี ฉันเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่ยัยนับดาวเพิ่งจะวางลงคืนที่เมื่อครู่แล้วถอนหายใจ รวบรวมสติอยู่สักพักแล้วกลั้นใจหยิบขึ้นมาสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย “ฮัลโหล” [ขอโทษที่โทรกลับช้านะเจ เมื่อคืนฉันปวดหัวนิดหน่อยน่ะ กินยาแล้วก็เลยหลับตั้งแต่หัวค่ำ วันนี้ตั้งแต่เช้าก็ประชุมทั้งวัน เธอมีอะไรหรือเปล่า หรือว่าคิดถึง] ไอ้เรื่องมีประชุมทั้งวันฉันไม่รู้หรอกว่าจริงไหม แต่เรื่องปวดหัว กินยาแล้วเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำนี่ก็โกหกแน่นอนเพราะฉันแวะไปหาเขาที่คอนโดตอนเที่ยงคืนเขาไม่อยู่ในห้อง [ฮัลโหลเจ ได้ยินฉันหรือเปล่า] “ได้ยิน” [เธอโกรธที่ฉันโทรกลับช้าใช่ไหม ขอโทษนะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันแวะไปรับเธอแล้วเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีไหม] ฉันยกมือขึ้นดูเวลา เผลอแวบเดียวก็นั่งคุยกับยัยนับดาวมาชั่วโมงกว่าแล้ว ตอนนี้ห้าโมงยี่สิบนาทีซึ่งเขาเลิกงานแล้ว “ฉันอยู่กับยัยนับน่ะ นายแวะมาที่ร้านสลัดที่ฉันเคยพานายมาก็แล้วกัน” [ใกล้ๆ คอนโดเธอใช่ไหม] “อืม” [งั้นประมาณสิบห้านาทีฉันถึงนะ เดี๋ยวเจอกัน] พูดจบเขาก็วางสายไปเหมือนปกติ ทั้งที่ฉันหายใจเป็นปกติไม่ได้เลย ในอกร้อนวูบวาบเหมือนมีลูกไฟเล็กๆ ปะทุอยู่ด้านในตลอดเวลา “เขาจะมาเหรอ” “อืม เพิ่งเลิกงาน กำลังมาจากออฟฟิศ แกจะกลับก่อนก็ได้นะ ฉันโอเค” ฉันฝืนยิ้มเพราะไม่อยากให้มันต้องมาพลอยกังวลไปกับเรื่องของฉันทั้งหมด ก่อนหน้านี้มันบอกฉันแล้วว่าตอนเย็นมันมีธุระ นี่ถ้าหากกราฟไม่โทรมาพอดี ฉันกับมันก็น่าจะเรียกพนักงานเช็กบิลแล้วเหมือนกัน “ฉันอยู่เป็นเพื่อนแกก่อนแล้วกัน ยังพอมีเวลา ถ้าเขามาแล้วฉันค่อยไป” “ขอบใจ” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรกับมันดีก็เลยได้แค่ขอบคุณแล้วยิ้มให้ “นี่ยัยเจ” “อะไร” อยู่ๆ มันก็ยื่นหน้ามาใกล้แถมยังกระซิบกระซาบเหมือนจะนินทาใครอย่างไรอย่างนั้น “ฉันรู้สึกว่าผู้ชายโต๊ะในสุดด้านขวามือแกเขามองแกอยู่ จ้องอยู่นานแล้วด้วย” ยัยนับดาวพูดไปยิ้มไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายผิดสังเกต ฉันพยักหน้าแล้วทำทีเป็นยิ้มตอบ นั่งนิ่งๆ สักพักแล้วแสร้งทำเป็นมองออกไปนอกร้าน แต่เพียงแค่เห็นเงาสะท้อนของผู้ชายคนนั้น ภาพงวงนั้นก็แวบเข้ามา อึก! กลืนขนมปังที่กำลังเคี้ยวแทบไม่ลง “รู้จักเหรอวะ” ฉันจะตอบมันว่ายังไงดี “หรือว่าเพื่อนเฮียเจตต์” ยัยนับดาวมันน่าจะคาดเดาจากบุคลิกและการแต่งตัวของเขาคนนั้น เพราะเขาใส่สูทผูกเนกไท นั่งหลังตรงดิกวางมาดอย่างกับเฮียเจตต์คะนึงของฉันไม่มีผิด “ไม่ใช่” “หรือจะเป็นคนที่ป๊าแกส่งมาแอบสอดแนม” “ไม่ใช่หรอก” “แล้วใครวะ ฉันเห็นเขามองแกตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแล้วนะ” ยัยนับดาวยื่นหน้ามาถามใกล้ๆ อีกรอบ จากตอนแรกที่ดูไม่ผิดสังเกต เขาก็จะผิดสังเกตเพราะความอยากรู้ของมันนี่แหละ “ผู้ชายคนนั้น” “คนไหน” “คนนั้น” “แล้วไอ้คนนั้นของแกนี่หมายถึงคนไหนล่ะวะ” มันจะโมโหทำไม “คนที่ฉันไปนอนกับเขามาเมื่อคืน” “หา!” เสียงยัยนับดาวน่าจะดังไปถึงปากซอยคอนโดมันแล้วมั้ง ทำเอาคนอื่นหันมามองกันหมด “แกคิดว่ามันจะบังเอิญเกินไปไหมวะ” จากตอนแรกที่มันเป็นคนบอกให้ฉันใจเย็นๆ ตอนนี้กลับเป็นกังวลแทนฉันขึ้นมา “ไม่รู้วะ แต่เฉยๆ ไปก่อนก็แล้วกัน ตื่นตูมไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อีกอย่างถ้ามันเป็นเรื่องบังเอิญขึ้นมาจริงๆ จะหน้าแหกเอา” ฉันพยายามคิดอย่างรอบคอบ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องระวังตัวให้มากขึ้น พูดจบก็หยิบแก้วน้ำแตงโมปั่นขึ้นมาดูดเพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกคอแห้ง “ยัยเจ” “อะไร” “เขาเดินมา” เกือบจะสำลักน้ำแตงโม นิ้วมือนิ้วเท้าเกร็งไปหมดแล้วตอนนี้ “เขาอาจจะเดินไปเข้าห้องน้ำก็ได้” “ทางไปห้องน้ำไม่ใช่ทางนี้” นี่มันจะรายงานให้ฉันจิตตกไปกว่าเดิมทำไมนะ “สวัสดีครับ” ฉันกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปมอง ทันทีที่เราสบตากันฉันก็แสร้งยิ้มตามมารยาท ยังไงเขาก็รู้อยู่แล้วว่าฉันจำเขาได้ แอบรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยก็ตรงที่ไม่คิดว่าพอเขาสวมสูทเต็มฟอร์มแบบนี้แล้วจะดูเป็นผู้ใหญ่มาดสุขุมได้อย่างที่คาดไม่ถึง ทั้งที่เมื่อเช้าตอนไม่ใส่เสื้อผ้า เห็นแต่หน้าใสๆ แล้วดูเหมือนเด็กเพิ่งเรียนจบ “เรารู้จักกันมาก่อนเหรอคะ” ยัยนับดาวถามแทน มันยิ้มกว้างทำหน้าตาเป็นมิตรทั้งที่เตะเท้าฉันที่ใต้โต๊ะไม่หยุดเลย “ไม่รู้จักครับ” “แล้ว...” ตุ้บ! สะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ เขาก็หยิบบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อสูทออกมาวางลงบนโต๊ะ ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ตลอดแต่สายตาที่มองฉันอยู่กลับนิ่งมาก ไม่หันไปมองหน้ายัยนับดาวด้วยซ้ำตอนที่เขาตอบคำถามของมัน “คุณทำมันตกไว้ข้างเตียง” เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะยกมือขึ้นจากของสิ่งนั้นแล้วเดินกลับออกไปทันทีที่พูดจบ ฉันกะพริบตาปริบๆ เหมือนเพิ่งหลุดออกจากเวทมนตร์ที่เขาร่ายสะกดไว้ สายตาเหลือบมองไปที่กระเป๋าใส่บัตรใบเล็กสีม่วงบนโต๊ะแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าทำมันตกไว้ที่ห้องของเขา นี่ถ้าหากเขาไม่เอามาคืนให้ ฉันก็คงยังไม่รู้ว่ามันไม่ได้อยู่ในกระเป๋าแล้ว เพราะเมื่อเช้าไม่ได้ใส่ใจกระเป๋าใบนี้เลย “ยัยเจ” “อะไร” สะดุ้งเฮือกเพราะเสียงยัยนับดาวทุกที “ไหนแกบอกว่าไม่เท่าไร” “ก็ไม่เท่าไรไง” “ไม่เท่าไรบ้าบออะไร นี่มันโคตรหล่อเลยต่างหาก” ยัยนับดาวเหมือนโดนดูดพลังเสียงให้หายไป เพราะมันยังเอาแต่กระซิบกระซาบเสียจนฉันฟังแทบไม่รู้เรื่อง ฉันไม่ได้ใส่ใจมันหรอกเพราะมันบ้าผู้ชายหล่อเป็นปกติ ฉันเองก็เป็น ยกเว้นกับคนนี้ที่พยายามจะยกเว้นเอาไว้ แอบมองตามกลับไปเห็นเขากำลังพูดคุยอยู่กับผู้ชายอีกคนที่อาจจะเป็นเพื่อนหรือว่าหุ้นส่วนของเขาที่นั่งหันหลังให้ฉัน สีหน้าตอนพูดดูไร้อารมณ์ชะมัด เครื่องหน้าแทบไม่ขยับเลย ปากก็ขยับนิดเดียวเหมือนกลัวคนอื่นรู้ว่ากำลังพูดอะไร เผลอจ้องนานไปหน่อยจนเขามองกลับมา ฉันรีบหันหน้าหนีกลับมาหายัยนับดาวพลางสะบัดหัวไล่ความคิดทั้งหมดออกไปแล้วหยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาเปิดเช็กดูบัตรในกระเป๋าให้แน่ใจว่ายังอยู่ครบไหม บอกตามตรงว่าฉันจำไม่ได้หรอกว่ามีบัตรอยู่ในกระเป๋าทั้งหมดกี่ใบ และมีบัตรอะไรบ้าง จำได้แค่บัตรสำคัญอย่างบัตรประชาชนกับใบขับขี่ บัตรเครดิต นอกนั้นก็เป็นบัตรสมาชิกของร้านบุฟเฟ่ต์กับร้านเครื่องสำอาง ฉันใส่บัตรเอาไว้เกือบครบทุกช่องแล้ว เหลือช่องว่างใส่บัตรได้อีกหนึ่งใบด้านหลังสุด “แกรู้ไหมว่าเขาชื่ออะไร” ฉันส่ายหัวปฏิเสธเพราะไม่ได้ถามชื่อของเขา ตอนนั้นไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์กับเขาต่ออยู่แล้ว และถ้าหากเป็นไปได้ก็ไม่ได้อยากจะเจอเขาแล้วด้วยซ้ำ กระทั่งพลิกไปที่ช่องใส่บัตรด้านหลังสุดที่จำได้ว่ามันยังว่างอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ว่างเสียแล้ว “รัตติกาล” “อะไรนะ” “เขาชื่อคุณรัตติกาล” ฉันย้ำอีกรอบพร้อมกับยื่นนามบัตรของเขาในกระเป๋าใส่บัตรให้ยัยนับดาวดู ถึงมันจะเป็นกระเป๋าใส่นามบัตรแต่ฉันเก็บเฉพาะบัตรของตัวเอง ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนามบัตรของคนไม่รู้จักอยู่ในนี้เว้นแต่ว่าเขาเพิ่งจะใส่มันเอาไว้ สรุปว่าบัตรไม่หาย แต่ว่าเกินมาหนึ่งใบ “ชื่อเพราะเสียด้วย นามสกุลน่าใช้ไหมนะ” “บวรวิทย์” “ว้าว คุณรัตติกาล บวรวิทย์ มีแฟนหรือยังนะ” ยัยนับดาวทำเสียงเพ้อฝัน อาการแพ้คนหล่อกำเริบขึ้นอีกระดับ ฉันช้อนตามองก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วยื่นเท้าออกไปด้านข้าง เหลือบมองไปที่เท้าของฉันซึ่งจริงๆ ตั้งใจจะให้มันมองรองเท้าน่ะ “มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกก็ได้” “แล้วแกคิดว่าเขาจะซื้อรองเท้าแตะผู้หญิงมาไว้ใส่เดินเล่นในห้องหรือไง” ฉันประชดใส่ ก่อนจะเก็บกระเป๋าในมือใส่กระเป๋าใบใหญ่ข้างตัว ยัยนับดาวทำหน้ามึนแล้วก็ยังไม่วายจะเหลือบมองกลับไปที่เขาคนนั้นอีกรอบ ‘คุณรัตติกาล บวรวิทย์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท บวรวิทย์ คอนสตรัคชัน จำกัด’ นึกถึงเขาแล้วก็เริ่มสงสัยว่าเขาอายุเท่าไรกัน หน้าตายังดูเด็กแต่เป็นประธานกรรมการบริหารแล้ว นึกย้อนกลับไปที่เฮียเจตต์คะนึงของฉันที่เป็นรองประธานแล้วเริ่มเป็นห่วง อายุปูนนี้แล้วป๊าก็ยังไม่ยกโรงแรมให้สักที แถมเมียก็ยังไม่มีอีก เฮ้อ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD