บทที่ 02
หวังดีประสงค์รอ [1]
บันทึกพิเศษ : รัตติกาล
A Dila Café’
19.09 น.
“นายจะทำยังไงต่อ”
‘ธามธันติ์’ ถามพลางเหลือบมองมาที่ซองเอกสารที่ผมวางไว้บนโต๊ะ ด้านในเป็นรูปถ่ายของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมและเขารู้จักดี ก่อนหน้านี้ราวๆ หนึ่งเดือนก่อน ผมไหว้วานให้เขาเป็นธุระตามสืบเรื่องของเธอให้
ผมส่ายหัวเพราะไม่ได้คิดจะทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่อยากได้คำยืนยันว่าเรื่องของเธอที่ผมบังเอิญได้รู้มามันจริงไหม จะได้หายสงสัย แต่ไม่ได้หมายความว่าผมอยากจะทำอะไรต่อ
“นี่ไอ้คุณรัตติกาล”
พอผมไม่ตอบ เขาก็เรียกชื่อผมเต็มยศทุกที ขาดก็แต่นามสกุลนั่นแหละ แล้วถ้าจะเรียกไอ้ ก็ไม่ต้องมีคุณมาก็ได้
“เอาเป็นว่าฉันจะส่งยัยอันไปฝึกงานที่บริษัทนายก็แล้วกัน” ผมตัดบทเพราะรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร
ยัยอัน หรือ ‘อันธิกา’ คือน้องสาวแท้ๆ ของผมเอง เรื่องที่ผมจะส่งเธอไปฝึกงานที่บริษัทของเขา คือเงื่อนไงที่ผมกับเขาตกลงกันเอาไว้ตั้งแต่แรก แลกกับที่เขาตามสืบเรื่องที่ผมต้องการให้
เหตุผลที่เขาอยากให้เธอไปฝึกงานที่นั่นก็เพราะเขาจะจีบเธอ ง่ายๆ ตรงตัว ไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนเหตุผลที่ผมยอมตกลงก็เพราะงานที่บริษัทของเขาตรงกับสายที่เธอเรียน ประกอบกับที่ผมมองออกว่าเขาจริงใจกับเธอ น่าจะคอยดูแลและช่วยเหลือเธอได้ตลอดระยะเวลาที่เธอต้องฝึกงานเท่านั้นเอง
“น้องอันตกลงใช่ไหม”
สายตาของธามธันติ์มีความคาดหวังกับคำตอบจากปากของผมสูงทีเดียว
“อืม”
“จริงเหรอ น้องอันไม่ถามหรือไม่สงสัยอะไรบ้างเหรอวะ”
“ไม่ได้ถาม เพราะฉันแค่บอกให้ไปเฉยๆ ไม่ได้ถามว่าเธออยากไปไหม” ผมตอบตรงๆ ธามธันติ์ถอนหายใจแล้วมองค้อนใส่ผมทันที
“ฉันก็คิดว่านายจะเชียร์ฉันสักหน่อย”
“เป็นประธานบริษัทก็ดีอยู่แล้ว ทำไมฉันต้องอยากเป็นหมา” ผมแกล้งว่าพลางยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว แตะปลายนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางไว้ใกล้มือเพื่อดูเวลา เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่คนเดียวมาร่วมสองชั่วโมง ไม่รู้ว่าเธอรอใครอยู่เหมือนกัน หันกลับมาอีกทีก็เจอสายตาจ้องจับผิดของธามธันติ์มองอยู่
“สนใจเหรอ”
ผมน่ะเหรอสนใจเธอ เจอกันครั้งแรกก็อ้วกใส่ แถมยังเอาเงินฟาดหัวผมเสียแล้ว มีอะไรน่าประทับใจตรงไหนกัน นึกถึงทีไรในอกก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาทุกที
เมื่อคืนผมนั่งแก้งานเอกสารสัญญาให้กับลูกค้าจนดึกดื่น ตั้งใจจะทำแค่แป๊บเดียวแต่รู้ตัวอีกทีก็ตีสองเสียแล้ว กว่าจะกลับถึงคอนโดตอนเกือบตีสาม พบเธอนอนอยู่ที่หน้าประตูห้องของผมในสภาพเมายับ แต่เพราะผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ก็เลยรีบเข้าห้องเพื่อโทรแจ้งรีเซฟชันให้มาพาเธอออกไป คิดว่าเธอน่าจะเป็นลูกบ้านที่พักอยู่ห้องไหนสักห้องที่ตึกเดียวกันกับผม
ระหว่างที่ผมกำลังจะติดต่อรีเซฟชันก็ดันหันมาเห็นเธอเดินโซซัดโซเซ คลำทางเข้ามาในห้องของผม ไม่พูดไม่จา ไม่ลืมตาด้วยซ้ำ
เรายื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่สักพักใหญ่เธอก็เริ่มโวยวายเสียงดังเพราะไม่พอใจที่ผมพยายามจะลากเธอออกจากห้อง ซึ่งผมจับใจความคำพูดของเธอไม่ได้เลยสักคำ
ผมพยายามจะใจเย็นกับเธออยู่นาน พอเธอเริ่มสงบลง ผมก็ติดต่อรีเซฟชันอีกรอบ แต่รอบนี้ไม่ทันจะได้กดโทรออก อยู่ๆ จากเสียงโวยวายก็กลายเป็นเสียงร้องห่มร้องไห้จนผมตกใจ ต้องรีบวางสายแล้วหันไปมอง
เธอทรุดตัวลงกับพื้น เอาแต่ร้องไห้โฮไม่หยุด ส่วนผมก็ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง มองเธอร้องไห้อยู่ร่วมสิบนาทีจนเธอเหนื่อยแล้วหยุดร้องไปเอง จากนั้นเธอก็พาตัวเองไปนอนที่โซฟา
ผมเดินตามไปเพราะตั้งใจจะปลุก เพราะถึงยังไงเราก็ไม่รู้จักกันมาก่อน บอกตามตรงว่าต่อให้เธอจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมก็ไม่ไว้ใจ แต่ทันทีที่ผมวางมือลงบนบ่าเล็กๆ ของเธอเพราะเธอนอนหันหน้าเข้าพนักพิงโซฟา เธอก็จับมือผมเอาไว้ ก่อนจะหันกลับมามองผมนิ่งๆ ไม่ทันกะพริบตาก็เรียบร้อย อ้วกใส่ผมเสียเต็มคราบ
สรุปว่าเมื่อคืนผมไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเพราะทะเลาะกับคนเมา จับเธอถอดเสื้อผ้าเพราะทนกลิ่นไม่ไหว ไม่ได้มีน้ำใจหรอกนะบอกเลย ที่ทำไปทั้งหมดเพราะความเหม็นล้วนๆ
ผมพยายามปลอบใจตัวเองอยู่ตลอดว่าเธอก็แค่คนเมาที่จำห้องผิด แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอพักที่ห้องไหน มองในแง่ดีว่าตอนเช้าพอเธอตื่นและสร่างเมาก็คงรีบกลับออกไปเอง ซึ่งผมจำได้แม่นยำว่าผมให้เธอนอนที่โซฟา เอาผ้าห่มออกมาห่มห่อเธอไว้ทั้งตัวตั้งแต่จับถอดเสื้อผ้าเสียด้วยซ้ำ แต่ตื่นเช้ามาเธอดันมานอนอยู่บนเตียงผมได้ยังไงก็ไม่รู้ และหากถามเธอ ผมว่าเธอเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
“แค่ถามว่าสนใจเหรอ ทำไมนายต้องคิดนาน”
ผมดึงสติกลับมาแล้วรินไวน์ดื่มไปอีกแก้ว ไม่ได้ตอบอะไรเพราะพูดไปคนตรงข้ามก็ยังไม่น่าจะหมดคำถามอยู่ดี และผมไม่อยากตอบอะไรไปเรื่อยๆ
เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะดึงสายตาของผมออกจากแก้วไวน์ เหลือบมองเห็นชื่อของน้องสาวบนหน้าจอแล้วรีบหยิบขึ้นมารับ
“ว่าไง”
[พี่กาลยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ]
“ไม่ยุ่งเท่าไร มีอะไรล่ะ”
[คืนนี้อันจะไปงานวันเกิดเพื่อนน่ะค่ะ แต่ช่วงนี้รถเสียบ่อยๆ เลยไม่อยากขับรถไป พี่กาลแวะไปรับหน่อยได้ไหมคะ เดี๋ยวขาไปอันให้เพื่อนมารับ]
“เที่ยงคืน”
[ตีหนึ่งได้ไหมคะ]
“พรุ่งนี้เช้าพี่มีประชุม”
[งั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวอันถึงร้านแล้วอันแชร์โลเคชันให้พี่อีกทีนะคะ บายค่ะ] เธอตอบตกลงง่ายๆ แล้ววางสาย
“น้องอันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“จะไปงานวันเกิดเพื่อนแต่ไม่อยากขับรถไปน่ะ ก็เลยจะให้ไปรับ”
“รถเสียเหรอ”
ผมช้อนตามองธามธันติ์นิดหน่อยเพราะเขาดูร้อนอกร้อนใจกว่าผมที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอเสียอีก แต่คงเพราะทั้งผมและเขารู้กันว่าแต่ไหนแต่ไรมาต่อให้อันธิกาจะไปเที่ยว เธอก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหล กลับบ้านตรงเวลาเสมอ แม้ว่าผมจะอยู่ที่คอนโดเพราะใกล้บริษัทและเดินทางสะดวกกว่าแต่เธอก็รายงานตัวกับผมตลอด และที่สำคัญเธอไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะฉะนั้นเหตุผลเดียวที่เธอจะไม่ขับรถไปแล้วให้ผมไปรับก็คือปัญหาเรื่องรถของเธออย่างที่เขาสงสัย
“น่าจะแค่ปัญหาจุกจิกตามสภาพน่ะ ไม่น่าใช่แผนอยากได้รถใหม่หรอก” ผมแกล้งพูดไปอย่างนั้น
จริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเองก็ตั้งใจจะซื้อรถคันใหม่ให้เธอเป็นของขวัญตอนเธอเรียนจบอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนคงต้องเลื่อนเข้ามาสักหน่อย
“เดี๋ยวนำอาหารทั้งหมดไปใส่กล่องให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เอากลับ”
ได้ยินเสียงจากอีกฝั่งหนึ่งของร้านดังขึ้นผมจึงหันไปมอง ตอนนี้ทั้งร้านเหลือลูกค้าอยู่แค่สองโต๊ะ คือโต๊ะของเธอ และโต๊ะของผมกับ ธามธันติ์เพราะใกล้จะได้เวลาปิดร้านแล้ว
“จะกลับเลยไหม” ธามธันติ์ถามขึ้นเบาๆ รอยยิ้มของเขาดูมี เลศนัยแต่ผมไม่อยากตีความหมาย พยักหน้าพร้อมกับหันไปเรียกพนักงานมาคิดเงินเพราะมื้อนี้ผมตั้งใจพาเขามาเลี้ยง ระหว่างนั้นก็เห็นว่าเธอจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว และกำลังลุกออกไป ที่น่าแปลกใจคือเธอไม่ได้เดินไปที่ลานจอดรถ แต่เดินย้อนกลับไปทางหน้าร้าน มุ่งหน้าออกไปสู่ถนนเส้นหลักด้านนอกเหมือนจะเดินกลับ
“นายกลับไปก่อนเถอะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“ฉันบอกนายว่าจะเลี้ยง”
“มื้อหน้านายค่อยเลี้ยงก็ได้ รีบไม่ใช่เหรอ” ธามธันติ์ยังยิ้มไม่หุบ เห็นสายตาที่เขาเหลือบมองไปด้านนอกร้านแล้วผมได้แต่ถอนหายใจ
“ฉันไม่รีบ” ผมยืนยันแล้วนั่งรอจ่ายเงิน เรียบร้อยแล้วถึงได้เดินออกมาจากร้านพร้อมกันกับเขา ไม่ลืมที่จะหยิบซองเอกสารที่ด้านในเป็นข้อมูลและรูปถ่ายที่เขานำมาให้ออกมาด้วย
“ไว้เจอกัน” ธามธันติ์โบกมือลาก่อนจะเดินแยกไปที่รถ ส่วนผมก็เดินมาที่รถของผมที่วันนี้ตั้งใจจะขับรถเองเพราะไม่ได้มีนัดหรือมีธุระสำคัญเร่งด่วนอะไรที่ไหน
ก้าวเท้าขึ้นรถได้ก็สตาร์ตรถแล้วเปิดแอร์เย็นฉ่ำ มองกลับไปในร้านอาหารอีกครั้ง เห็นพนักงานกำลังเก็บจานอาหารบนโต๊ะเธอ
เมื่อครู่ตอนเดินผ่านโต๊ะที่เธอนั่งออกมาผมเห็นอาหารเหลือเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าเธอจะเพิ่งสั่งมาเพิ่มหลังจากที่เพื่อนของเธอกลับไปแล้ว
สลัดความคิดเรื่องเธอออกไปแล้วขับรถออกมาเรื่อยๆ ตั้งใจจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดก่อน นั่งทำงานต่อสักพักก็คงได้เวลาไปรับยัยอันกลับจากงานวันเกิดเพื่อนพอดี
แต่พอกำลังจะกดปลายเท้าลงที่คันเร่งเพื่อเร่งความเร็วของรถ หางตาผมก็ดันเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ผมเพิ่งจะสลัดเธอออกไปจากความคิดเมื่อครู่เดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างทาง แม้บริเวณนี้จะไม่ได้มืดหรือว่าเปลี่ยวแต่ผมค่อนข้างแปลกใจที่เห็นเธอเดินเรื่อยเปื่อยอย่างนั้น
ดูจากการแต่งตัวของเธอ เสื้อผ้าหน้าผม รวมถึงบัตรเครดิตในกระเป๋าใบเล็กที่ผมเพิ่งจะนำมันไปคืนให้เธอเมื่อชั่วโมงก่อนก็พอบอกได้ว่าเธอคนนี้ไม่ใช่แค่เด็กสาวธรรมดาๆ ไม่ใช่พนักงานออฟฟิศทั่วๆ ไปที่กำลังเดินกลับหอพักหลังเลิกงาน
ประกอบกับชื่อบนบัตรประชาชนของเธอคือ ‘นางสาวเจติญา พิพัฒน์กุลศาสตร์’
ตระกูล ‘พิพัฒน์กุลศาสตร์’ เป็นเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ตที่มีสาขากระจายอยู่ตามจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ฉะนั้นการจะได้เห็นทายาทมหาเศรษฐีอย่างเธอมาเดินเล่นข้างถนนแบบนี้มันจึงแทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลย
ผมตัดสินใจจะยังไม่เร่งความเร็ว แต่เลือกที่จะชะลอแล้วขับตามเธอไปเรื่อยๆ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะกลับคอนโดเลยไหม แต่ยังไงเราก็พักที่เดียวกันอยู่แล้ว และตอนนี้ผมเองก็ไม่ได้รีบ
เธอเดินเลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดคุยกับเธอซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าใช่คนรู้จักหรือคนที่เธอนัดเอาไว้หรือเปล่า แต่เห็นคุยกันไม่กี่คำก็แยกกันไป
หลังจากนั้นสีหน้าของเธอก็ดูเป็นกังวล เอี้ยวตัวมองไปกลับมาทางด้านหลังพร้อมกับเอามือลูบกางเกง ผมก็เลยเพิ่งสังเกตเห็นรอยเปื้อนที่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอหงุดหงิด โชคดีที่สีกางเกงของเธอค่อนข้างทึบ รอยเปื้อนก็เลยดูไม่เด่นเท่าไร
ไม่ทันจัดการกับปัญหาแรกเสร็จก็มีเด็กผู้ชายวิ่งไปชนเธอ ท่าทางเธอเริ่มอารมณ์เสียมากขึ้น ขมวดคิ้วแสดงอาการไม่พอใจและพร้อมจะอาละวาด แต่พอหันกลับไปเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อายุราวๆ สี่ห้าขวบยกมือไหว้ เธอก็เพียงแค่ส่ายหัวแล้วน่าจะบอกกับเด็กคนนั้นว่าไม่เป็นไร ผมนั่งอยู่ในรถก็เลยไม่ได้ยิน แต่มองออกว่าสีหน้าของเธอดูไม่เต็มใจจะยกโทษให้เด็กสักเท่าไรนัก พอเด็กคนนั้นวิ่งออกไปเธอก็กระฟัดกระเฟียดระบายอารมณ์กับหญ้าในสนามแทน
เมื่อเห็นว่าเธอดูแก้ปัญหาหรือจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ผมก็เลยจอดรถแล้วเดินลงไป ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเห็นรอยเปื้อนที่กางเกงของเธอชัดขึ้น ซึ่งเธอดูเป็นกังวลกับมันมาก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะถึงตัวเธอ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้าหาเธอเสียก่อน ในมือของเขามีเสื้อแจ็กเกตตัวหนึ่งเหมือนกันกับในมือของผม
“คุณครับ” เขาเรียกเธอเสียงดัง รอจังหวะที่เธอหันกลับมามองแล้วจึงยื่นเสื้อแจ็กเกตในมือให้
เธอมองเขาสลับกับเสื้อตัวนั้นไปมาเพราะลังเล จนผมเดินไปถึงสายตาของเธอจึงมองมาที่ผมเหมือนตกใจที่เห็นว่าผมเดินตามมา
ผมเดินเข้าไปผูกแขนเสื้อแจ็กเกตที่ถือลงมาจากรถเอาไว้รอบเอวของเธอ เรียบร้อยแล้วก็หันกลับไปมองผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง เขายิ้มให้แล้วเดินกลับออกไปทันที เหลือแค่เธอกับผมที่ยืนมองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีใครพูดอะไร จริงๆ ผมว่าเธอควรจะขอบคุณผมสักคำนะ แต่จนตอนนี้ก็ยังเอาแต่เลิ่กลั่ก
“คุณกำลังจะกลับคอนโดนใช่ไหม”
“ค่ะ”
“รถผมจอดอยู่ข้างหลัง”
ไหนๆ ก็พักอยู่คอนโดเดียวกันอยู่แล้วผมก็เลยเอ่ยปากชวน ไม่ว่าก่อนหน้านี้เธอจะมีนัดหรือกำลังตั้งใจจะไปที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับรอยเปื้อนที่ด้านหลังหรอก ผมว่าเธอไม่มีอารมณ์จะไปต่อแล้ว
“มาเถอะ” พูดจบผมก็เดินนำเธอออกมาทันที ไม่ได้ยืนรอให้เธอตอบรับหรือปฏิเสธ แต่รู้ว่าเธอเดินตามมาเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ
ผมเดินช้าลงนิดหน่อยเพราะสังเกตว่าเธอเดินไม่ถนัดนัก ไม่รู้เพราะกังวลเรื่องรอยเปื้อนที่หรือไม่ไว้ใจผม
“คุณรัตติกาลคะ”
เปิดประตูรถแล้วแต่เธอกลับลังเลที่จะเข้ามานั่งด้านใน การที่เธอเรียกชื่อผมอย่างถูกต้องก็หมายความว่าเธอเห็นนามบัตรที่ผมตั้งใจใส่เอาไว้ในกระเป๋าของเธอแล้ว
แบบนี้เรียกว่าผมสนใจเธอใช่ไหมนะ อาจจะใช่ก็ได้ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยคิดว่าค่าตัวของผมต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนั้น สามพันห้าที่รู้สึกว่าน้อยแล้วยังต้องหักค่ารองเท้าออกอีกพันสอง สรุปว่าผมแพงว่ารองเท้านิดเดียว
“ครับ”
“เบาะรถคุณจะเปื้อนนะคะ”
สายตาของเธอมองไปที่เบาะรถของผมที่ไม่ใช่เบาะหนัง นั่นเพราะผมไม่ชอบกลิ่นหนัง
“คุณจ่ายค่าซักเบาะให้ผมก็แล้วกัน” ผมตอบเพื่อตัดปัญหาแล้วก้าวขึ้นรถ รอบนี้เธอชั่งใจไม่นานก็ยอมที่จะนั่งลงบนเบาะด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอนหลังพิงเบาะ
ผมหันไปมองแล้วเห็นเธอนั่งหลับตา หน้านิ่วขมวดคิ้ว ตัวงอเล็กน้อย มือเล็กทั้งสองข้างกดลงบริเวณหน้าท้องตลอดเวลา
“คุณปวดท้องเหรอ”
“แค่ปวดท้องเวลามีประจำเดือนนิดหน่อยค่ะ ไม่เป็นไร”
ไม่รู้เหมือนกันว่านิดหน่อยที่เธอว่ามันแค่ไหน เพราะหน้าตาและท่าทางของเธอดูเหมือนจะปวดมาก ผมเองก็ไม่เคยเห็นยัยอันเป็นอย่างนี้เหมือนกัน รายนั้นเป็นประจำเดือนทีไรก็แค่กินเก่งกว่าปกติ แต่จะถามให้แน่ใจก็กลัวเธอจะคิดว่าผมวุ่นวาย เลยได้แต่ยื่นมือไปปรับแอร์ให้ก่อนจะออกรถ ระหว่างนั้นเธอก็ไม่พูดอะไรอีกเลย เอาแต่นอนหลับตา
“แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นไร”
“ค่ะ เดี๋ยวกลับไปกินยาก็หาย ปกติจะพกติดกระเป๋าไว้แต่มันหมดไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว”
หมายความว่าเธอปวดท้องแบบนี้ทุกเดือนเลยสินะ เกิดเป็นผู้หญิงนี่ลำบากเหมือนกัน มีประจำเดือนก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว ยังต้องปวดท้องทุกเดือนอีก
“คุณจะแวะซื้อที่ร้านยาก่อนได้ไหม มีขายหรือเปล่า หรือว่าต้องไปโรงพยาบาล”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แต่คุณรีบไหมคะ ช่วยแวะที่ร้านสะดวกซื้อให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า”
ผมนึกสงสัยว่ายาเฉพาะทางแบบนี้มันมีขายที่ร้านสะดวกซื้อด้วยหรือไง ไม่ต้องจ่ายยาโดยเภสัชฯ หรอกเหรอ
“ฉันจะแวะซื้อผ้าอนามัยน่ะค่ะ”
เธอคงเห็นว่าผมเงียบไปก็เลยอธิบายเพิ่มเติม ได้ยินแบบนั้นผมก็เลยพยักหน้าตกลงว่าจะจอดให้ เมื่อครู่นี้ผมไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นจริงๆ เพราะเราพูดกันถึงเรื่องยาอยู่นี่นา
ขับรถมาเรื่อยๆ พลางมองหาร้านสะดวกซื้อมาตลอดทาง เจอร้านหนึ่งก็รีบเลี้ยวเข้าไปจอดที่หน้าร้านทันที แต่จอดรถเสร็จเรียบร้อยเธอก็ยังเอาแต่นอนนิ่วหน้า สังเกตว่าใบหน้าของเธอซีดลง กำลังจะเรียกแต่โทรศัพท์ในกระเป๋าของเธอดังขึ้นเสียก่อนเธอก็เลยลืมตาขึ้นมองผมพอดี
“คุณรอในรถก็แล้วกัน”