บทที่ 01
เขาคนนั้นที่เป็นประธานบริษัท [1]
A Dila Café’
16.30 น.
“ฮัดชิ่ว”
“เดี๋ยวเขาก็คิดเงินค่าทิชชูแกเพิ่มหรอกยัยเจ” ยัยนับดาวช้อนตามองแรงเมื่อฉันยังเอาแต่จามไม่หยุด
“ป๊าต้องกำลังด่าฉันให้เฮียฟังแน่ๆ”
“เรื่องนั้นแกยังไม่ชินอีกหรือไง”
ถามได้น่าตัดเพื่อนเสียจริง แต่คิดอีกมุมหนึ่งมันก็พูดของมันถูกนั่นแหละ ฉันก็เลยไม่เถียงดีกว่า
คันจมูกชะมัด ไม่รู้ว่าอากาศมันจะแปรปรวนแบบนี้อีกนานไหม คนเป็นโรคภูมิแพ้อย่างฉันใช้ชีวิตลำบาก ถูจมูกจนแสบไปหมดแล้ว
“สรุปว่ายังไง คราวนี้เฮียเจตต์ไม่ช่วยแกจริงๆ น่ะเหรอ”
“ช่วย”
“แล้วแกจะเครียดทำไมวะ”
“แต่ช่วยไม่ได้”
“อ้าว”
ยิ่งคิดยิ่งเครียด ใช้ส้อมจิ้มผักใบเขียวในชามสลัดใส่ปาก กินแก้เครียดมันเสียเลย
“เอาน่า ป๊าแกเขาก็คงหวังดีกับแกนั่นแหละยัยเจ”
“แกไม่ต้องมาทำเป็นปลอบ หวังดีกับฉันบ้าบออะไรถึงได้ส่งฉันไปทำงานที่บริษัทคนอื่น มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่ามีแผน ดีไม่ดีครั้งนี้จะรู้กันกับเฮียเจตต์ด้วย” ฉันแย้งด้วยความหงุดหงิด
“ก็หวังดีอยากให้แกมีผัว...อุ้บ!”
จิ้มมะเขือเทศใส่ปากยัยนับดาวไปชิ้นหนึ่งโทษฐานที่มันพูดจาไม่เข้าหู คายแทบไม่ทันเพราะมันไม่ชอบกิน
“ของแบบนี้มันบังคับกันได้เสียที่ไหน อีกอย่างหนึ่งแกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบผู้ชายตาตี่” ฉันย้ำเสียงเข้ม เบ้หน้าเมื่อนึกถึงใบหน้าเจ้าของบริษัทที่ป๊าจะส่งฉันไปทำงานด้วย
ป๊าย้ำนักย้ำหนากับฉันว่าเขาคนนั้นเป็นหลานชายของเพื่อนสนิท ไว้ใจได้แน่นอน ซึ่งสำหรับฉัน คนอื่นจะไว้ใจได้ไหมฉันไม่ได้รู้ แต่ป๊ากับเฮียเจตต์เนี่ย ไว้ใจไม่ได้แน่นอน
“อ้าว ไหนแกบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนไม่ใช่เหรอวะ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าเขาตาตี่”
“เฮียเจตต์เอารูปให้ดูเมื่อเช้า”
“อ้อ ไม่หล่อสักนิดเลยเหรอวะ”
ฉันส่ายหัวแทบหลุด ทำหน้าเซ็งอีกสิบระดับเมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้ชายคนนั้นที่เฮียเจตต์เอารูปให้ดู และก็เพราะเฮียเจตต์เป็นคนเอารูปให้ดูนั่นแหละ ฉันถึงแอบคิดว่าครั้งนี้เฮียเจตต์อาจจะรู้กันกับป๊า ยินยอมให้ป๊าส่งฉันไปทำงานที่บริษัทไอ้ตี๋นั่นอย่างเต็มใจ ทั้งที่ปกติแล้วเฮียเจตต์จะเข้าข้างฉันตลอด แถมยังหวงฉันมากด้วย
“ทำไมครั้งนี้เฮียเจตต์เขาถึงยอมวะ ปกติเขาหวงแกจะตาย”
“เพราะไอ้ตี๋นั่นเป็นเพื่อนเฮีย ถึงเฮียจะไม่ได้เชียร์จนออกนอกหน้าแต่ฉันมองออกว่าเฮียให้ผ่าน”
“เวร”
ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าไอ้ตี๋นั่นเป็นเพื่อนเฮีย ฉันก็สบถในใจอย่างนั้นเหมือนกัน
“ฉันจะทำยังไงดีวะยัยนับ แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ ครั้งนี้ดูท่าทางจะพึ่งเฮียไม่ได้แล้วจริงๆ” ฉันเขย่าแขนมันไม่หยุด
ถ้ามันเป็นแค่เรื่องงานฉันก็ไม่คิดจะเกี่ยงหรอก แต่ก็อย่างที่บอกว่าฉันรู้ว่าจุดประสงค์ที่ป๊าจะส่งฉันไปทำงานที่บริษัทอื่นไม่ใช่เพราะต้องการให้ฉันไปทำงาน แต่เพราะป๊าอยากได้ลูกเขยต่างหาก
“ฉันว่าเรื่องนี้แก้ไม่ยาก”
“แล้วต้องแก้ยังไงล่ะ”
“บอกป๊าแกไปตรงๆ เลยว่าแกมีแฟนแล้ว” ยัยนับดาวกรีดยิ้มอย่างชั่วร้าย ท่าทางเล่นหูเล่นตาของมันทำเอาฉันอยากจะหันไปคว้าแก้วน้ำข้างๆ มากระดกแล้วพ่นน้ำใส่หน้ามันจริงๆ
“แกอยากให้ป๊าจับฉันแต่งงานกับไอ้ตี๋นั่นเร็วๆ หรือไง” ฉันโวยวายใส่
ถึงผู้ชายที่ป๊าหามาให้จะไม่ใช่สเปก แต่ถ้าพูดแบบตัดอคติออกไปเขาก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ฐานะดี การศึกษาดี แต่อายุรุ่นเดียวกับเฮียเจตต์ก็เท่ากับห่างกับฉันสิบปี ฉันอยากได้แฟน ไม่อยากได้เฮียเพิ่มสักหน่อย ลำพังแค่เฮียเจตต์คนเดียวฉันก็ขยับตัวลำบากจะแย่แล้ว
“ฉันว่าไม่หรอกน่า ป๊ากับเฮียเจตต์รักแกจะตาย แกรักใคร พวกเขาก็รักด้วยทั้งนั้น ถ้าพวกเขารู้ว่าแกมีแฟนอยู่แล้ว ฉันว่าพวกเขาน่าจะเข้าใจ” ยัยนับดาวพยายามปลอบใจฉัน
จริงๆ ก่อนหน้านี้ฉันเองก็วางแผนเอาไว้อย่างนั้นเหมือนกัน ตั้งใจว่าจะเริ่มจากบอกเรื่องของ ‘กราฟ’ แฟนของฉันที่ตอนนี้เราคบกันมาได้ 6 เดือนแล้วกับเฮียเจตต์ก่อน รอให้มั่นใจอีกนิดแล้วค่อยบอกป๊า ติดตรงที่มันดันเกิดเรื่องเสียก่อนน่ะสิ
“เป็นอะไรวะ ทำไมแกทำหน้าอย่างนั้น” ยัยนับดาวที่เพิ่งจะหันไปสั่งของหวานกับพนักงานหันกลับมาถาม
ฉันถอนหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดข้อความที่เพิ่งจะได้รับเมื่อคืนช่วงดึกๆ ยื่นให้มันดู
“เหี้ย!”
คำแรกที่หลุดออกจากปากของมันเมื่อเห็นภาพถ่ายบนหน้าจอ
“ใครวะ”
“ไม่รู้ โทรกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่มีคนรับสาย วันนี้ยังโทรไม่ติดเลย”
เหลือบมองภาพนั้นแล้วรู้สึกว่าในอกมันเดือดพล่านไปหมด
ยัยนับดาวขมวดคิ้วพลางส่งโทรศัพท์คืนมา ฉันปิดหน้าจอแล้ววางเอาไว้ข้างชามสลัด ไม่ต้องดูซ้ำฉันก็จำได้ว่าภาพนั้นคือภาพของกราฟ เขานอนหลับอยู่บนเตียง มีชุดชั้นในสีแดงคาดปิดดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้ ซึ่งจนถึงตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งภาพนั้นมา
“แล้วแกได้ลองถามเขาหรือยัง”
“แกคิดว่าถามแล้วจะได้คำตอบหรือไง” ฉันย้อนถาม ยัยนับดาวทำหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกได้ “เมื่อคืนนี้ฉันตั้งใจจะไปดูให้เห็นกับตา แต่...”
“แต่อะไร”
“เกิดเรื่องเสียก่อน”
“เรื่องอะไรวะ”
เฮ้อ พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะทุบหัวตัวเองแรงๆ
“เมื่อคืนพอได้ข้อความนี้ ฉันก็ขับรถไปหาเขาที่คอนโด แต่ตอนไปถึงไม่เจอใครเลย”
ฉันยังจำความรู้สึกตอนที่แตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูได้ดีว่าตอนนั้นใจสั่นแค่ไหน ถามตัวเองอยู่ตลอดว่าหากเปิดเข้าไปเจอเขากับผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่ด้วยกันจะทำยังไง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ
“เป็นไปได้ไหมว่าจะอยู่ด้วยกันที่ห้องของยัยผู้หญิงคนนั้น”
“ห้องเขานี่แหละ ฉันจำลายผ้าปูที่นอนได้เพราะฉันเป็นคนเลือกให้เขาเอง”
ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บที่หัวใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ารูปนั้นถูกถ่ายเก็บเอาไว้ แต่เพิ่งจะส่งให้แก”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
วันนี้ทั้งวันฉันใช้เวลาในการทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไล่เรียงตามลำดับเพื่อความแน่ใจ แต่จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเลยว่ามันครบถ้วนแล้วหรือยัง
“แล้วที่แกบอกว่ามีเรื่องนี่หมายถึงมีเรื่องอะไรวะ”
มองหน้าไอ้เพื่อนรักแล้วถอนหายใจอีกรอบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะไว้ใจมัน ฉันก็คงไม่เล่าเรื่องน่าอายนี้ให้ใครฟังอีกแล้วแน่ๆ
“หลังจากเข้าไปที่ห้องแล้วไม่เจอกราฟ ฉันก็กลับออกมาแล้วไปนั่งดื่มที่บาร์ข้างล่าง”
“คนเดียว”
“อืม”
“ยัย...”
“อย่าเพิ่งด่า แกฟังฉันพูดให้จบก่อนแล้วค่อยด่าทีเดียว” ฉันรีบยกมือขึ้นห้าม ยัยนับดาวถลึงตาใส่พลางถกแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง นวดกราม วอร์มปากรอด่าฉันแล้ว
“ดูทรงแล้วเรื่องใหญ่แน่ๆ”
“อืม”
“เล่ามา”
คุยกับมันอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนคุยกับเฮียเจตต์เฉยเลย
“ฉันนั่งดื่มที่บาร์จนบาร์ปิด ตั้งใจจะเดินกลับขึ้นไปรอกราฟที่ห้องเพราะอยากจะถามเขาให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นฉันนอนไม่หลับ แต่จำได้ถึงแค่ตอนที่กำลังจะเปิดประตูห้องแล้วภาพก็ตัดไป ตื่นเช้ามาอีกทีก็นอนอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง”
ลูกตายัยนับดาวแทบจะถลนออกจากเบ้าเมื่อฟังฉันเล่าจบ
“ผู้ชายแปลกหน้า?”
“อืม ใครก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่กราฟ”
“อีบ้า แล้วแกไปนอนอยู่กับเขาได้ยังไง”
“ไม่รู้โว้ย เมานี่หว่า แต่โดยภาพรวมฉันคิดว่าไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นหรอกเพราะร่างกายฉันปกติดี สภาพห้องโคตรเนี้ยบ มีแค่ฉันกับเขาที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้านอนอยู่ด้วยกันบนเตียง” ฉันอธิบายรายละเอียดเสียงอ่อย
“แล้วยังไงต่อ”
“ก็ไม่ยังไง รีบใส่เสื้อผ้า จ่ายเงินให้เขาแล้วก็กลับออกมา”
“จ่ายเงินให้เขา?”
“อืม ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำยังไงก็เลยใช้เงินแก้ปัญหา จ่ายเงินเขาให้มันจบๆ จะได้ไม่มีใครรู้สึกติดค้างอะไรกันเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ได้เจอกันอีกอยู่แล้ว แต่...”
“ยังมีแต่อะไรอีก”
“พอเดินออกมาฉันถึงเพิ่งรู้ว่าห้องของเขาอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของกราฟ”
“ยัยเจ!” ยัยนับดาวแหกปากลั่นร้าน
“มองในแง่ดีคือฉันคิดว่าเขาน่าจะเก็บกู้ซากฉันไปจากหน้าห้องกราฟนั่นแหละ แต่แง่ร้ายที่อาจจะไม่เลวร้ายมากมายนักก็คือถ้าฉันแวะไปหากราฟ ก็มีโอกาสที่จะต้องเจอเขาอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขากับกราฟรู้จักหรือเคยพูดคุยกันไหม”
“โอ้โห แกนี่มันท้อปฟอร์มจริงๆ” ยัยนับดาวยกมือขึ้นทาบอก กลอกตามองซ้ายทีขวาที ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งเงียบๆ เพราะไม่มีอะไรจะแก้ตัว
“ด่าให้พอใจแล้วช่วยคิดหน่อยว่าจะทำยังไง แกจะทิ้งเพื่อนอย่างฉันไปตอนนี้ไม่ได้นะยัยนับ”
“เพื่อนอย่างแกนี่มันน่าเอาไปปล่อยวัดเสียให้เข็ด เมาขนาดไหนถึงได้ปล่อยให้เกิดเรื่องอันตรายขนาดนี้ แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรแก เพราะถ้าไม่ได้ทำ แล้วทำไมแกกับเขาถึงได้นอนแก้ผ้าอยู่ด้วยกัน”
น้ำเสียงยัยนับดาวเครียดเสียจนฉันรู้สึกเหมือนแสงสว่างในชีวิตกำลังใกล้จะหมด
“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ฉันว่าฉันน่าจะเมามากจนอ้วกน่ะ เพราะเขาซักเสื้อกับกางเกงให้”
“หา!”
“เขาคงทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว อ้อ นอกจากซักเสื้อกับกางเกงให้แล้วเขาก็ยังให้นี่มาด้วย” ฉันยื่นเท้าออกไปด้านข้าง อวดรองเท้าแตะคู่ใหม่ให้มันดูเสียเลย
“รองเท้าแตะเนี่ยนะ”
“อืม เขาบอกว่ารองเท้าฉันขาดก็เลยให้ใส่คู่นี้กลับ สภาพใหม่เอี่ยม ตอนฉันหยิบออกมาจากกล่องยังมีป้ายราคาอยู่เลย”
“เขาตั้งใจจะซื้อให้แฟนเขาหรือเปล่า”
“น่าจะใช่ แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ตอนนี้ฉันห่วงแค่เรื่องเขาจะรู้จักกับกราฟ แกว่าฉันจะทำยังไงดีวะ” ฉันหยุดกังวลเรื่องนั้นไม่ได้เลย ยัยนับดาวถอนหายใจทำหน้าตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าแกมั่นใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันว่าเขาก็คงไม่พูดหรอก พูดไปก็ไม่ได้มีใครได้อะไรขึ้นมาจากเรื่องนี้สักหน่อย”
มันคิดเหมือนฉันเป๊ะเลย แบบนี้หมายความว่าฉันสบายใจได้แล้วใช่ไหมนะ
“เอาเป็นว่าถ้าแกแวะไปหากราฟก็มองซ้ายมองขวาดีๆ ก่อนก็แล้วกัน ถ้าเป็นไปได้ไม่เจอกันเลยจะดีที่สุด ว่าแต่เขาหล่อไหมวะ” ยัยนับดาวกระซิบกระซาบ
ฉันปิดตาลงแล้วนึกถึงใบหน้าของผู้ชายคนนั้นเพื่ออธิบายให้มันฟัง แต่ภาพที่แวบเข้ามาทันทีที่นึกถึงเขากลับไม่ใช่ภาพใบหน้าของเขาน่ะสิ
“ว่าไง ตกลงแล้วเขาหล่อไหม หล่อกว่าไอ้ตี๋ที่ป๊าแกอยากได้เป็นลูกเขยหรือเปล่า”
ฉันบอกมันดีไหมนะว่าฉันจำหน้าเขาไม่ค่อยได้เพราะจำได้แต่ งวง ฮือ เอางวงนั้นออกไปจากหัวฉันที
“เงียบแบบนี้แสดงว่าต้องหล่อในระดับหนึ่งเลยใช่ไหมยัยเจ”
“ไม่เท่าไร” ฉันตอบปัดๆ อย่างไม่ใส่ใจเพราะไม่อยากพูดถึง
“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ปัดตกไปเลย แค่ระวังตัวไว้ก็พอ”
พอบอกว่าไม่เท่าไร ยัยนับดาวก็ปัดตกทันที ฉันก็เลยรีบพยักหน้าเออออไปตามที่มันแนะนำ
“แล้วเรื่องกราฟ แกจะทำยังไงต่อวะ”
วนกลับมาคุยกันเรื่องที่กำลังทำให้ฉันรู้สึกหนักใจที่สุด
“ยังไม่รู้ว่ะ จนป่านนี้แล้วเขายังไม่โทรหาฉันเลย”
พูดแล้วก็เหลือบมองไปที่โทรศัพท์ ฉันโทรหาเขาตั้งแต่เมื่อคืน จนตอนนี้สี่โมงเย็นแล้วเขาก็ยังไม่โทรกลับสักสายเดียว
“เฮ้อ ถ้ากับกราฟยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็แสดงว่าแผนของป๊าแกมีโอกาสที่จะสำเร็จ”
“ก็บอกว่าไม่ชอบผู้ชายตาตี่ไง”
“แล้วแกชอบตาโตแต่เหี้ยหรือไง”
หันมาย้ำคำว่า ‘เหี้ย’ ชัดๆ ใส่หน้า สงสัยจะอิน
“เอาน่า ใจเย็นๆ แกลองทำความรู้จักเขาดูก่อนก็ไม่เสียหายนี่หว่า ถ้าเฮียเจตต์ปล่อยผ่านก็แสดงว่าต้องมีดีอยู่บ้าง ถึงตอนนั้นถ้าไม่ถูกใจจริงๆ แกก็ค่อยอ้อนเฮียเจตต์ขอเปลี่ยนผู้ใหม่ก็ยังไม่สาย ไม่ได้จะต้องแต่งงานกับคนนี้เลยเสียเมื่อไร ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสสืบเรื่องของกราฟไปด้วย” ยัยนับดาวเสนอความคิด
ฉันฟังแล้วก็เริ่มจะคล้อยตาม เพราะเอาเข้าจริงๆ ทางเลือกของฉันตอนนี้ก็มีไม่มากนัก บวกกับที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วถ้าฉันไม่ยอม แค่อ้อนเฮียเจตต์สักหน่อยเขาก็น่าจะใจอ่อน ดูท่าว่าช่วงนี้คงต้องไหลตามสถานการณ์ไปก่อนอย่างที่ยัยนับดาวแนะนำ
“เออ เอาแบบนั้นก็ได้”