บทที่ 01 เขาคนนั้นที่เป็นประธานบริษัท [1]

2525 Words
บทที่ 01 เขาคนนั้นที่เป็นประธานบริษัท [1] A Dila Café’ 16.30 น. “ฮัดชิ่ว” “เดี๋ยวเขาก็คิดเงินค่าทิชชูแกเพิ่มหรอกยัยเจ” ยัยนับดาวช้อนตามองแรงเมื่อฉันยังเอาแต่จามไม่หยุด “ป๊าต้องกำลังด่าฉันให้เฮียฟังแน่ๆ” “เรื่องนั้นแกยังไม่ชินอีกหรือไง” ถามได้น่าตัดเพื่อนเสียจริง แต่คิดอีกมุมหนึ่งมันก็พูดของมันถูกนั่นแหละ ฉันก็เลยไม่เถียงดีกว่า คันจมูกชะมัด ไม่รู้ว่าอากาศมันจะแปรปรวนแบบนี้อีกนานไหม คนเป็นโรคภูมิแพ้อย่างฉันใช้ชีวิตลำบาก ถูจมูกจนแสบไปหมดแล้ว “สรุปว่ายังไง คราวนี้เฮียเจตต์ไม่ช่วยแกจริงๆ น่ะเหรอ” “ช่วย” “แล้วแกจะเครียดทำไมวะ” “แต่ช่วยไม่ได้” “อ้าว” ยิ่งคิดยิ่งเครียด ใช้ส้อมจิ้มผักใบเขียวในชามสลัดใส่ปาก กินแก้เครียดมันเสียเลย “เอาน่า ป๊าแกเขาก็คงหวังดีกับแกนั่นแหละยัยเจ” “แกไม่ต้องมาทำเป็นปลอบ หวังดีกับฉันบ้าบออะไรถึงได้ส่งฉันไปทำงานที่บริษัทคนอื่น มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่ามีแผน ดีไม่ดีครั้งนี้จะรู้กันกับเฮียเจตต์ด้วย” ฉันแย้งด้วยความหงุดหงิด “ก็หวังดีอยากให้แกมีผัว...อุ้บ!” จิ้มมะเขือเทศใส่ปากยัยนับดาวไปชิ้นหนึ่งโทษฐานที่มันพูดจาไม่เข้าหู คายแทบไม่ทันเพราะมันไม่ชอบกิน “ของแบบนี้มันบังคับกันได้เสียที่ไหน อีกอย่างหนึ่งแกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบผู้ชายตาตี่” ฉันย้ำเสียงเข้ม เบ้หน้าเมื่อนึกถึงใบหน้าเจ้าของบริษัทที่ป๊าจะส่งฉันไปทำงานด้วย ป๊าย้ำนักย้ำหนากับฉันว่าเขาคนนั้นเป็นหลานชายของเพื่อนสนิท ไว้ใจได้แน่นอน ซึ่งสำหรับฉัน คนอื่นจะไว้ใจได้ไหมฉันไม่ได้รู้ แต่ป๊ากับเฮียเจตต์เนี่ย ไว้ใจไม่ได้แน่นอน “อ้าว ไหนแกบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนไม่ใช่เหรอวะ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าเขาตาตี่” “เฮียเจตต์เอารูปให้ดูเมื่อเช้า” “อ้อ ไม่หล่อสักนิดเลยเหรอวะ” ฉันส่ายหัวแทบหลุด ทำหน้าเซ็งอีกสิบระดับเมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้ชายคนนั้นที่เฮียเจตต์เอารูปให้ดู และก็เพราะเฮียเจตต์เป็นคนเอารูปให้ดูนั่นแหละ ฉันถึงแอบคิดว่าครั้งนี้เฮียเจตต์อาจจะรู้กันกับป๊า ยินยอมให้ป๊าส่งฉันไปทำงานที่บริษัทไอ้ตี๋นั่นอย่างเต็มใจ ทั้งที่ปกติแล้วเฮียเจตต์จะเข้าข้างฉันตลอด แถมยังหวงฉันมากด้วย “ทำไมครั้งนี้เฮียเจตต์เขาถึงยอมวะ ปกติเขาหวงแกจะตาย” “เพราะไอ้ตี๋นั่นเป็นเพื่อนเฮีย ถึงเฮียจะไม่ได้เชียร์จนออกนอกหน้าแต่ฉันมองออกว่าเฮียให้ผ่าน” “เวร” ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าไอ้ตี๋นั่นเป็นเพื่อนเฮีย ฉันก็สบถในใจอย่างนั้นเหมือนกัน “ฉันจะทำยังไงดีวะยัยนับ แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ ครั้งนี้ดูท่าทางจะพึ่งเฮียไม่ได้แล้วจริงๆ” ฉันเขย่าแขนมันไม่หยุด ถ้ามันเป็นแค่เรื่องงานฉันก็ไม่คิดจะเกี่ยงหรอก แต่ก็อย่างที่บอกว่าฉันรู้ว่าจุดประสงค์ที่ป๊าจะส่งฉันไปทำงานที่บริษัทอื่นไม่ใช่เพราะต้องการให้ฉันไปทำงาน แต่เพราะป๊าอยากได้ลูกเขยต่างหาก “ฉันว่าเรื่องนี้แก้ไม่ยาก” “แล้วต้องแก้ยังไงล่ะ” “บอกป๊าแกไปตรงๆ เลยว่าแกมีแฟนแล้ว” ยัยนับดาวกรีดยิ้มอย่างชั่วร้าย ท่าทางเล่นหูเล่นตาของมันทำเอาฉันอยากจะหันไปคว้าแก้วน้ำข้างๆ มากระดกแล้วพ่นน้ำใส่หน้ามันจริงๆ “แกอยากให้ป๊าจับฉันแต่งงานกับไอ้ตี๋นั่นเร็วๆ หรือไง” ฉันโวยวายใส่ ถึงผู้ชายที่ป๊าหามาให้จะไม่ใช่สเปก แต่ถ้าพูดแบบตัดอคติออกไปเขาก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ฐานะดี การศึกษาดี แต่อายุรุ่นเดียวกับเฮียเจตต์ก็เท่ากับห่างกับฉันสิบปี ฉันอยากได้แฟน ไม่อยากได้เฮียเพิ่มสักหน่อย ลำพังแค่เฮียเจตต์คนเดียวฉันก็ขยับตัวลำบากจะแย่แล้ว “ฉันว่าไม่หรอกน่า ป๊ากับเฮียเจตต์รักแกจะตาย แกรักใคร พวกเขาก็รักด้วยทั้งนั้น ถ้าพวกเขารู้ว่าแกมีแฟนอยู่แล้ว ฉันว่าพวกเขาน่าจะเข้าใจ” ยัยนับดาวพยายามปลอบใจฉัน จริงๆ ก่อนหน้านี้ฉันเองก็วางแผนเอาไว้อย่างนั้นเหมือนกัน ตั้งใจว่าจะเริ่มจากบอกเรื่องของ ‘กราฟ’ แฟนของฉันที่ตอนนี้เราคบกันมาได้ 6 เดือนแล้วกับเฮียเจตต์ก่อน รอให้มั่นใจอีกนิดแล้วค่อยบอกป๊า ติดตรงที่มันดันเกิดเรื่องเสียก่อนน่ะสิ “เป็นอะไรวะ ทำไมแกทำหน้าอย่างนั้น” ยัยนับดาวที่เพิ่งจะหันไปสั่งของหวานกับพนักงานหันกลับมาถาม ฉันถอนหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดข้อความที่เพิ่งจะได้รับเมื่อคืนช่วงดึกๆ ยื่นให้มันดู “เหี้ย!” คำแรกที่หลุดออกจากปากของมันเมื่อเห็นภาพถ่ายบนหน้าจอ “ใครวะ” “ไม่รู้ โทรกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่มีคนรับสาย วันนี้ยังโทรไม่ติดเลย” เหลือบมองภาพนั้นแล้วรู้สึกว่าในอกมันเดือดพล่านไปหมด ยัยนับดาวขมวดคิ้วพลางส่งโทรศัพท์คืนมา ฉันปิดหน้าจอแล้ววางเอาไว้ข้างชามสลัด ไม่ต้องดูซ้ำฉันก็จำได้ว่าภาพนั้นคือภาพของกราฟ เขานอนหลับอยู่บนเตียง มีชุดชั้นในสีแดงคาดปิดดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้ ซึ่งจนถึงตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งภาพนั้นมา “แล้วแกได้ลองถามเขาหรือยัง” “แกคิดว่าถามแล้วจะได้คำตอบหรือไง” ฉันย้อนถาม ยัยนับดาวทำหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกได้ “เมื่อคืนนี้ฉันตั้งใจจะไปดูให้เห็นกับตา แต่...” “แต่อะไร” “เกิดเรื่องเสียก่อน” “เรื่องอะไรวะ” เฮ้อ พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะทุบหัวตัวเองแรงๆ “เมื่อคืนพอได้ข้อความนี้ ฉันก็ขับรถไปหาเขาที่คอนโด แต่ตอนไปถึงไม่เจอใครเลย” ฉันยังจำความรู้สึกตอนที่แตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูได้ดีว่าตอนนั้นใจสั่นแค่ไหน ถามตัวเองอยู่ตลอดว่าหากเปิดเข้าไปเจอเขากับผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่ด้วยกันจะทำยังไง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ “เป็นไปได้ไหมว่าจะอยู่ด้วยกันที่ห้องของยัยผู้หญิงคนนั้น” “ห้องเขานี่แหละ ฉันจำลายผ้าปูที่นอนได้เพราะฉันเป็นคนเลือกให้เขาเอง” ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บที่หัวใจ “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ารูปนั้นถูกถ่ายเก็บเอาไว้ แต่เพิ่งจะส่งให้แก” “ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” วันนี้ทั้งวันฉันใช้เวลาในการทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไล่เรียงตามลำดับเพื่อความแน่ใจ แต่จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเลยว่ามันครบถ้วนแล้วหรือยัง “แล้วที่แกบอกว่ามีเรื่องนี่หมายถึงมีเรื่องอะไรวะ” มองหน้าไอ้เพื่อนรักแล้วถอนหายใจอีกรอบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะไว้ใจมัน ฉันก็คงไม่เล่าเรื่องน่าอายนี้ให้ใครฟังอีกแล้วแน่ๆ “หลังจากเข้าไปที่ห้องแล้วไม่เจอกราฟ ฉันก็กลับออกมาแล้วไปนั่งดื่มที่บาร์ข้างล่าง” “คนเดียว” “อืม” “ยัย...” “อย่าเพิ่งด่า แกฟังฉันพูดให้จบก่อนแล้วค่อยด่าทีเดียว” ฉันรีบยกมือขึ้นห้าม ยัยนับดาวถลึงตาใส่พลางถกแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง นวดกราม วอร์มปากรอด่าฉันแล้ว “ดูทรงแล้วเรื่องใหญ่แน่ๆ” “อืม” “เล่ามา” คุยกับมันอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนคุยกับเฮียเจตต์เฉยเลย “ฉันนั่งดื่มที่บาร์จนบาร์ปิด ตั้งใจจะเดินกลับขึ้นไปรอกราฟที่ห้องเพราะอยากจะถามเขาให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นฉันนอนไม่หลับ แต่จำได้ถึงแค่ตอนที่กำลังจะเปิดประตูห้องแล้วภาพก็ตัดไป ตื่นเช้ามาอีกทีก็นอนอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง” ลูกตายัยนับดาวแทบจะถลนออกจากเบ้าเมื่อฟังฉันเล่าจบ “ผู้ชายแปลกหน้า?” “อืม ใครก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่กราฟ” “อีบ้า แล้วแกไปนอนอยู่กับเขาได้ยังไง” “ไม่รู้โว้ย เมานี่หว่า แต่โดยภาพรวมฉันคิดว่าไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นหรอกเพราะร่างกายฉันปกติดี สภาพห้องโคตรเนี้ยบ มีแค่ฉันกับเขาที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้านอนอยู่ด้วยกันบนเตียง” ฉันอธิบายรายละเอียดเสียงอ่อย “แล้วยังไงต่อ” “ก็ไม่ยังไง รีบใส่เสื้อผ้า จ่ายเงินให้เขาแล้วก็กลับออกมา” “จ่ายเงินให้เขา?” “อืม ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำยังไงก็เลยใช้เงินแก้ปัญหา จ่ายเงินเขาให้มันจบๆ จะได้ไม่มีใครรู้สึกติดค้างอะไรกันเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ได้เจอกันอีกอยู่แล้ว แต่...” “ยังมีแต่อะไรอีก” “พอเดินออกมาฉันถึงเพิ่งรู้ว่าห้องของเขาอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของกราฟ” “ยัยเจ!” ยัยนับดาวแหกปากลั่นร้าน “มองในแง่ดีคือฉันคิดว่าเขาน่าจะเก็บกู้ซากฉันไปจากหน้าห้องกราฟนั่นแหละ แต่แง่ร้ายที่อาจจะไม่เลวร้ายมากมายนักก็คือถ้าฉันแวะไปหากราฟ ก็มีโอกาสที่จะต้องเจอเขาอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขากับกราฟรู้จักหรือเคยพูดคุยกันไหม” “โอ้โห แกนี่มันท้อปฟอร์มจริงๆ” ยัยนับดาวยกมือขึ้นทาบอก กลอกตามองซ้ายทีขวาที ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งเงียบๆ เพราะไม่มีอะไรจะแก้ตัว “ด่าให้พอใจแล้วช่วยคิดหน่อยว่าจะทำยังไง แกจะทิ้งเพื่อนอย่างฉันไปตอนนี้ไม่ได้นะยัยนับ” “เพื่อนอย่างแกนี่มันน่าเอาไปปล่อยวัดเสียให้เข็ด เมาขนาดไหนถึงได้ปล่อยให้เกิดเรื่องอันตรายขนาดนี้ แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรแก เพราะถ้าไม่ได้ทำ แล้วทำไมแกกับเขาถึงได้นอนแก้ผ้าอยู่ด้วยกัน” น้ำเสียงยัยนับดาวเครียดเสียจนฉันรู้สึกเหมือนแสงสว่างในชีวิตกำลังใกล้จะหมด “เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ฉันว่าฉันน่าจะเมามากจนอ้วกน่ะ เพราะเขาซักเสื้อกับกางเกงให้” “หา!” “เขาคงทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว อ้อ นอกจากซักเสื้อกับกางเกงให้แล้วเขาก็ยังให้นี่มาด้วย” ฉันยื่นเท้าออกไปด้านข้าง อวดรองเท้าแตะคู่ใหม่ให้มันดูเสียเลย “รองเท้าแตะเนี่ยนะ” “อืม เขาบอกว่ารองเท้าฉันขาดก็เลยให้ใส่คู่นี้กลับ สภาพใหม่เอี่ยม ตอนฉันหยิบออกมาจากกล่องยังมีป้ายราคาอยู่เลย” “เขาตั้งใจจะซื้อให้แฟนเขาหรือเปล่า” “น่าจะใช่ แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ตอนนี้ฉันห่วงแค่เรื่องเขาจะรู้จักกับกราฟ แกว่าฉันจะทำยังไงดีวะ” ฉันหยุดกังวลเรื่องนั้นไม่ได้เลย ยัยนับดาวถอนหายใจทำหน้าตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าแกมั่นใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันว่าเขาก็คงไม่พูดหรอก พูดไปก็ไม่ได้มีใครได้อะไรขึ้นมาจากเรื่องนี้สักหน่อย” มันคิดเหมือนฉันเป๊ะเลย แบบนี้หมายความว่าฉันสบายใจได้แล้วใช่ไหมนะ “เอาเป็นว่าถ้าแกแวะไปหากราฟก็มองซ้ายมองขวาดีๆ ก่อนก็แล้วกัน ถ้าเป็นไปได้ไม่เจอกันเลยจะดีที่สุด ว่าแต่เขาหล่อไหมวะ” ยัยนับดาวกระซิบกระซาบ ฉันปิดตาลงแล้วนึกถึงใบหน้าของผู้ชายคนนั้นเพื่ออธิบายให้มันฟัง แต่ภาพที่แวบเข้ามาทันทีที่นึกถึงเขากลับไม่ใช่ภาพใบหน้าของเขาน่ะสิ “ว่าไง ตกลงแล้วเขาหล่อไหม หล่อกว่าไอ้ตี๋ที่ป๊าแกอยากได้เป็นลูกเขยหรือเปล่า” ฉันบอกมันดีไหมนะว่าฉันจำหน้าเขาไม่ค่อยได้เพราะจำได้แต่ งวง ฮือ เอางวงนั้นออกไปจากหัวฉันที “เงียบแบบนี้แสดงว่าต้องหล่อในระดับหนึ่งเลยใช่ไหมยัยเจ” “ไม่เท่าไร” ฉันตอบปัดๆ อย่างไม่ใส่ใจเพราะไม่อยากพูดถึง “เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ปัดตกไปเลย แค่ระวังตัวไว้ก็พอ” พอบอกว่าไม่เท่าไร ยัยนับดาวก็ปัดตกทันที ฉันก็เลยรีบพยักหน้าเออออไปตามที่มันแนะนำ “แล้วเรื่องกราฟ แกจะทำยังไงต่อวะ” วนกลับมาคุยกันเรื่องที่กำลังทำให้ฉันรู้สึกหนักใจที่สุด “ยังไม่รู้ว่ะ จนป่านนี้แล้วเขายังไม่โทรหาฉันเลย” พูดแล้วก็เหลือบมองไปที่โทรศัพท์ ฉันโทรหาเขาตั้งแต่เมื่อคืน จนตอนนี้สี่โมงเย็นแล้วเขาก็ยังไม่โทรกลับสักสายเดียว “เฮ้อ ถ้ากับกราฟยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็แสดงว่าแผนของป๊าแกมีโอกาสที่จะสำเร็จ” “ก็บอกว่าไม่ชอบผู้ชายตาตี่ไง” “แล้วแกชอบตาโตแต่เหี้ยหรือไง” หันมาย้ำคำว่า ‘เหี้ย’ ชัดๆ ใส่หน้า สงสัยจะอิน “เอาน่า ใจเย็นๆ แกลองทำความรู้จักเขาดูก่อนก็ไม่เสียหายนี่หว่า ถ้าเฮียเจตต์ปล่อยผ่านก็แสดงว่าต้องมีดีอยู่บ้าง ถึงตอนนั้นถ้าไม่ถูกใจจริงๆ แกก็ค่อยอ้อนเฮียเจตต์ขอเปลี่ยนผู้ใหม่ก็ยังไม่สาย ไม่ได้จะต้องแต่งงานกับคนนี้เลยเสียเมื่อไร ระหว่างนี้ก็ถือโอกาสสืบเรื่องของกราฟไปด้วย” ยัยนับดาวเสนอความคิด ฉันฟังแล้วก็เริ่มจะคล้อยตาม เพราะเอาเข้าจริงๆ ทางเลือกของฉันตอนนี้ก็มีไม่มากนัก บวกกับที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วถ้าฉันไม่ยอม แค่อ้อนเฮียเจตต์สักหน่อยเขาก็น่าจะใจอ่อน ดูท่าว่าช่วงนี้คงต้องไหลตามสถานการณ์ไปก่อนอย่างที่ยัยนับดาวแนะนำ “เออ เอาแบบนั้นก็ได้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD