กอดรัตติกาล

กอดรัตติกาล

book_age18+
121
FOLLOW
1.2K
READ
one-night stand
family
HE
heir/heiress
sweet
lighthearted
kicking
city
office/work place
childhood crush
friends with benefits
addiction
assistant
like
intro-logo
Blurb

เพราะเมามากไปหน่อย ตื่นเช้ามาก็เลยจำอะไรไม่ค่อยได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายที่นอนอยู่ข้างๆ เป็นใคร เจอกันที่ไหน ที่นี่ห้องใคร แต่ไม่เป็นไร เฮียเจตต์คะนึงคนดีที่หนึ่งของฉันเคยสอนเอาไว้ว่า ‘ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยเงิน’

.

“รับไว้เถอะค่ะ เมื่อคืนฉันเมามากไปหน่อย จำไม่ได้ว่าตกลงราคากับคุณไว้เท่าไร เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้คุณสามพันห้ารวมค่ารองเท้าด้วยก็แล้วกัน”

ฉันตัดสินใจจ่ายเพื่อให้เรื่องจบ เพราะยังไงฉันก็ไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์กับเขาต่ออยู่แล้ว และที่สำคัญเลยก็คือ ฉันมีแฟนแล้ว แต่ใครจะคิดว่าล่ะว่า ผู้ชายที่ฉันใช้เงินฟาดหัวเขา จะฟาดฉันกลับด้วยความรัก

.

“คุณกำลังจีบฉันเหรอคะ”

นัยน์ตาของเขามีประกายบางอย่างที่ทำให้ฉันตัดสินใจถามออกไป ซึ่งพอฉันถามจบ ก็ได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก เหมือนว่าเขาจะรอให้ฉันถามแบบนั้นอยู่พอดี

“เปล่า”

คำตอบของเขาทำให้ฉันรู้สึกเสียหน้าอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ทำให้เขาดูเป็นคนชัดเจนดี

“ตอนนี้ผมต่อคิวอยู่ คิดว่าใกล้จะถึงคิวเร็วๆ นี้”

และคำอธิบายต่อมาก็เป็นสิ่งที่ฉันคาดคิดไม่ถึง

"ผมไม่รีบ ต่อคิวมาแล้วนั่นหมายความว่าผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผมต้องรอ"

ฉันไม่ควรปล่อยให้ตัวเองหวั่นไหวเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา ยิ่งในเวลาที่ยังมีแต่ความรู้สึกสับสน ฉันยิ่งต้องถอยออกมาเพื่อมองทุกอย่างให้ชัดเจน

“ฉันว่าคุณอย่ารอดีกว่าค่ะ ฉันยังไม่พร้อมจะเปิดโอกาสให้ใครในตอนนี้”

“ผมหาโอกาสของผมเองได้”

ic_default
chap-preview
Free preview
บทนำ
บทนำ เป็นครั้งแรกที่ฉันเมาแบบที่ภาพตัดไปตอนไหนไม่รู้ ตอนนี้รู้สึกปวดหัวมากจนฝืนนอนหลับตาต่อไปไม่ไหว ภาพจำสุดท้ายเหมือนจะเป็นที่บาร์ ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นที่หน้าประตูห้องมากกว่า ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาสวัสดีเช้าวันใหม่พร้อมกับอาการเมาค้าง ยื่นมือออกไปคลำหาโทรศัพท์เพราะอยากรู้ว่ากี่โมงแล้ว ปกติมันจะซุกอยู่ใต้หมอนหรือตรงไหนสักที่บนที่นอนใกล้ๆ ตัว คลำหาไม่นานก็เจอ แต่วันนี้ไอ้สิ่งที่ฉันคลำเจอกลับมีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนโทรศัพท์ ขนาดไม่คุ้นมือแถมยัง...นุ่มกว่า “เวร” พลั้งปากสบถออกไปด้วยความตกใจ หัวใจเกือบวายเมื่อขยี้ตาก็แล้ว เพ่งมองให้ชัดๆ ก็แล้ว แต่กลับพบว่าไอ้สิ่งที่มือจับอยู่คือกล้ามแขนล่ำๆ ของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งคำถามต่อมาก็คือ... “ใครวะ?” มองจากใบหน้าด้านข้างแล้วหล่อมาก จมูกโด่งเป็นสัน ผิวหน้าเกลี้ยงเกลาเหมือนตูดเด็ก ริมฝีปากสีแดงตัดกับสีผิวชัดเจน แต่ประเด็นสำคัญก็คือไม่ว่าจะมองมุมไหนฉันไม่รู้สึกคุ้นหน้าเขาคนนี้เลยสักนิด คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าเรารู้จักกันเมื่อไร ที่ไหน ในหัวว่างเปล่าเหมือนไม่มีสมอง ไม่รู้ว่าทำหล่นหายไปตอนไหนเหมือนกัน “เอาใหม่ คิดสิคิด ยัยเจ คิดให้ออกสิโว้ย” ก่นด่าตัวเองแล้วค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแขนล่ำ เม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นไม่อย่างนั้นฉันต้องกรี๊ดแน่ๆ นับหนึ่งถึงสิบพลางกลั้นหายใจพร้อมกับบอกตัวเองให้ตั้งสติ ค่อยๆ ยกผ้าห่มขึ้นอย่างใจเย็นทั้งที่มือไม้สั่น หรี่ตาข้างหนึ่งมองเข้าไปใต้ผ้าห่มเพื่อสำรวจความเสียหาย ฟึ่บ! เสี้ยววินาทีก็ต้องปิดผ้าห่มลงตามเดิมอย่างรวดเร็ว ก่นด่าตัวเองในใจต่อไปไม่หยุดเมื่อพบว่าบนตัวไม่มีเสื้อผ้าอยู่เลยสักชิ้นเดียว เลิ่กลั่กไปหมดแล้วนะ มองหน้าเขากี่ครั้งก็นึกไม่ออกเลยว่าเขาเป็นใคร แล้วมานอนอยู่บนเตียงของฉันได้ยังไง เอ๊ะ! ใครเปลี่ยนผ้าปูที่นอน “กรี๊ดดด” ถึงกับต้องอุดปาดกรี๊ด เพราะนอกจากจะนอนกับใครก็ไม่รู้แล้วฉันก็ยังไม่รู้อีกว่าตอนนี้ฉันนอนอยู่ที่ไหน ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนี้ดูแปลกตาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน หรือแม้แต่กรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงนั่นก็ไม่ใช่รูปของฉัน ฉิบหายกว่านี้ไม่น่ามีอีกแล้ว ฉันโดนหลอกหรือเปล่า ฉันควรกรี๊ดไหม หรือว่าควรโวยวายให้ลั่นไปเลย จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ แต่ถ้าฉันแหกปากร้องจนเขาตกใจตื่นขึ้นมา แล้วลุกขึ้นมาทำร้ายร่างกายฉันจะทำยังไง หรือถ้าหากเรื่องมันไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะเมื่อคืนฉันเองก็เมามาก จนถึงตอนนี้ก็ยังจำอะไรไม่ค่อยได้ ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โทรศัพท์ ฉันต้องการโทรศัพท์ ตอนนี้ฉันต้องรีบออกไปจากที่นี่ หลังจากนั้นค่อยโทรหายัยนับดาวเพื่อปรึกษากับมันอีกที แต่ว่าตอนนี้โทรศัพท์ฉันอยู่ที่ไหนล่ะ กวาดสายตามองหาโทรศัพท์ไปทั่ว ตอนแรกยังไม่กล้าขยับตัวมากเพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกตัวหรือตื่นขึ้นมาเสียก่อน แต่คิดไปคิดมา ถ้ายิ่งช้า ก็ยิ่งมีโอกาสที่เขาจะตื่นขึ้นมาอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันคงต้องรีบทำอะไรสักอย่าง เริ่มจากยกแขนล่ำๆ ที่เพิ่งจะพาดมากลางลำตัวเมื่อครู่ออกอย่างเบามือ แล้วกระเถิบตัวออกมาทีละนิดๆ ตุ้บ! โว้ย ยังไม่ทันจะวางท่อนแขนลง ก็ดันก่ายขาทับตามมาอีก นี่เขาคิดว่าฉันเป็นหมอนข้างหรือไง สูดหายใจลึกๆ แล้วนอนนิ่งๆ ต่อสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะยังไม่ตื่นขึ้นมาตอนนี้แน่ๆ แล้วเริ่มใหม่อีกรอบ หรี่ตาแอบมองเขาเพื่อเช็กดูว่าเขายังคงหลับสนิท แต่กลับพบว่าใบหน้าของเขาอยู่ใกล้เสียจนใจสั่น หนำซ้ำยังละเมอยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันอีกต่างหาก “นอนนะโอ๋ๆ” โอ๋ๆ บ้าบออะไรเล่า! ทำยังไงดี หรือว่าฉันควรปลุกเขาลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องไปเลย ดูจากหน้าตาแล้วเขาก็ไม่น่าจะใช่พวกโรคจิต จะคิดว่าถูกเขาหลอกหรือว่ามอมมาจากบาร์เมื่อคืนฉันก็ไม่แน่ใจเพราะจำอะไรไม่ได้เลย แต่เท่าที่สำรวจตัวเองดูแล้วก็ไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้าย สภาพห้องก็เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่ได้มีอะไรแตกกระจาย ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ “เฮ่ย!” สะดุ้งเฮือกเมื่อหันกลับมามองเขาอีกทีแล้วพบว่าเขานอนลืมตา เราทำตาปริบๆ ใส่กันก่อนจะรีบผละตัวออกจากกันโดยอัตโนมัติ เขาดูตื่นตระหนกกว่าฉันเสียอีก พอรู้สึกตัวขึ้นมาเขาก็รีบเปิดผ้าห่มดูสภาพตัวเองแล้วปิดพรึ่บลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับที่ฉันทำเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเป๊ะเลย “ฉัน/ผม” ออด ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าเขากำลังจะพูดอะไรเพราะเสียงออดด้านนอกดังขึ้นเสียก่อน เราต่างคนต่างรีบลุกขึ้นนั่ง ฉันกอดผ้าห่มปิดหน้าอกเอาไว้แน่น กวาดสายตามองหาเสื้อผ้าของตัวเองจนทั่วห้องแล้วแต่หาไม่เจอสักชิ้น ไม่รู้ว่าหายไปไหน สภาพตอนนี้เหมือนเราต่างคนต่างช็อก งงๆ อยู่เหมือนกันว่าตกลงแล้วเมื่อคืนเราได้เสียกันไหม เพราะสีหน้าของเขาเองก็ดูจะจำอะไรไม่ได้ “ผมจะออกไปดูว่าใครมา คุณรีบใส่เสื้อผ้าก็แล้วกัน” ฉันไม่ได้ตอบเพราะไม่กล้าพูด แค่เหลือบมองแล้วพยักหน้าตกลงก่อนจะขยับลงจากเตียง ตอนนี้อะไรก็ได้ขอแค่ให้ได้เสื้อผ้าคืนมา ฉันจะได้รีบไปจากที่นี่สักที ตึก! แต่ผ้าห่มกลับถูกรั้งไปทางด้านหลังเพราะเขาเองก็กำลังจะลงจากเตียงเหมือนกัน เราขยับลงจากคนละด้าน สุดท้ายก็เลยไม่มีใครลงจากเตียงสำเร็จเพราะผ้าห่มที่ต่างคนต่างยังจับมันเอาไว้ “คุณปล่อย” ฉันชิงพูดขึ้นก่อน เขาจะไปใส่เสื้อผ้าฉันไม่ว่า แต่ผ้าห่มต้องเป็นของฉัน ตึก! “คุณนั่นแหละปล่อย” นอกจากไม่ปล่อยแล้วยังจะดึงไปอีกแน่ะ ตึก! “คุณเป็นผู้ชาย คุณต้องปล่อยสิคะ” ตึก! “ถ้าผมปล่อย ผมก็โป๊นะสิ” “แล้วฉันไม่โป๊หรือไง” ตึก! เรายื้อแย่งผ้าห่มกันไปมาเพราะไม่มีใครยอมปล่อยมือ ออด “ผมต้องเดินไปหยิบผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้า” เมื่อยังไม่มีใครยอมแพ้ เขาก็เริ่มทำหน้าตาไม่พอใจ ชี้นิ้วตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง ห่างจากเตียงพอสมควร “ก็ไปสิคะ” “แล้วคุณจะให้ผมเดินแก้ผ้าไปหรือไง” “ก็...” “หรือว่าคุณอยากมอง” บ้าจริง ใครจะไปอยากมองงวงของเขากัน ฉันมองเขาตาปริบๆ ใบหน้าร้อนวูบขึ้นฉับพลันเหมือนอยู่ๆ ก็จะมีไข้ “เอาเป็นว่าคุณเดินตามผมมาแล้วกัน” เขาสรุปเพื่อตัดปัญหา ฉันทบทวนสักพักเพราะกลัวตัวเองจะเสียเปรียบ แต่ระหว่างที่กำลังคิด ไอ้ผ้าห่มที่ยังจับเอาไว้แน่นก็ถูกกระตุกอยู่ตลอดเวลา เอาวะ ถ้าไม่ยอมทำตามแล้วเขากระชากผ้าห่มแรงๆ ฉันคงสู้ไม่ได้ ตอนนี้ต้องไหลตามน้ำไปก่อนเพื่อความปลอดภัย ตัดสินใจจะยอมทำตามที่เขาเสนอแล้วจึงพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นก็เป็นฝ่ายกระเถิบไปหาเขาที่กำลังก้าวลงจากเตียง พอเขายืนตัวตรงในแนวตั้งแบบนี้ดูตัวสูงมาก ยืนเทียบแล้วฉันสูงแค่ระดับปลายคางของเขาเท่านั้นเอง บรรยากาศในห้องเงียบสนิท เราหันหน้าเข้าหากันแต่ไม่ได้มองหน้ากัน เว้นระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ให้พอเดินได้สะดวกแล้วพากันเดินไปจนถึงตู้เสื้อผ้า พอเขาเริ่มย่อตัวลงเพื่อเปิดลิ้นชักฉันก็ย่อตัวตาม ได้ยินเสียงเขาปิดลิ้นชักชั้นล่างลงหลังจากหยิบผ้าขนหนูออกมาได้สำเร็จแล้วฉันจึงวางใจ “คุณหลับตา” วางใจได้ไม่นานเขาก็ทำให้ฉันใจหายใจคว่ำอีกรอบ หันไปมองเขาตาโตเพราะน้ำเสียงที่เขาพูดอย่างต้องการจะออกคำสั่งเมื่อครู่ “ทำไมฉันต้องหลับตาด้วยคะ” “ผมจะนุ่งผ้าขนหนู” “คุณก็นุ่งไปสิ” “นี่คุณจะมองของผมให้ได้เลยหรือไง” “ใครจะอยากมองของคุณ” ฉันเถียงเสียงดัง มือยังคงจับผ้าห่มเอาไว้แน่นเพราะยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยแน่ๆ “ถ้าคุณไม่อยากมองก็หลับตา” “แล้วถ้าฉันหลับตา คุณจะไม่เป็นฝ่ายแอบมองฉันหรือไง” “ผมไม่มองหรอก” “ฉันไม่เชื่อค่ะ” ใครจะบ้าไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาด นอกจากจะกลัวว่าเขาจะแอบมองแล้ว หากฉันยอมหลับตาแล้วเขาทำร้ายตอนเผลอ ฉันจะป้องกันตัวเองทันได้ยังไง “ทำไมผมต้องแอบมองคุณ” “เพราะฉันสวย” ฉันเถียงคอเป็นเอ็น เขาเบิกตาโพลง เลิกคิ้วสูงแถมยังถอนหายใจเสียงดัง ทำเอาฉันแอบรู้สึกเสียความมั่นใจแต่ยังพยายามจะคีพลุคเชิดๆ เอาไว้ แม้ว่าสายตาของเขาที่กำลังมองอย่างพิจารณาหาจุดบกพร่องของฉันจะเริ่มทำให้ฉันอยากกรี๊ดใส่หน้าเขาเสียงดังๆ แค่ไหนก็ตามที “ก็ไม่เท่าไร” “นี่คุณ!” ออด บ้าเอ๊ย ไอ้คนข้างนอกนี่ยังไง เจ้าของห้องเขาไม่เปิดประตูให้ก็ยังจะกดออดรบกวนอยู่นั่นแหละ ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย “คุณจะหลับตาได้หรือยัง” “ฉันไม่หลับค่ะ” ฉันยืนยันเสียงแข็ง ยื่นหน้าไปทำตาโตๆ ใส่เขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าหัวเด็ดตีนขาดฉันก็จะไม่ยอมหลับตาแน่ๆ ฟุ่บ! ทว่าไม่ทันตั้งตัว เขาก็ปล่อยผ้าห่มออกจากมือ แรงโน้มถ่วงของโลกทำให้มันร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น นำสายตาของฉันให้มองตามลงไปโดยอัตโนมัติ นะ นั่นมัน... พรึ่บ! ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ได้ยินเสียงสะบัดผ้าขนหนูแต่ฉันไม่ได้สนใจผ้าขนหนูบ้าบอนั่นเลยสักนิด เพราะไอ้สิ่งที่เห็นเมื่อครู่มันติดตามากกว่า งะ งะ งวงนั่นมัน... “กรี้ดดด อื้อ” เขาปิดปากฉันไว้อย่างรวดเร็ว แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจแอบมองสักหน่อย ใครใช้ให้เขาปล่อยผ้าห่มโดยไม่บอกล่วงหน้าล่ะ “ไหนคุณบอกว่าจะไม่มอง” เสียงของเขาก้องทุ้มอยู่ในลำคอ สายตาดุดันจ้องมองมาในระยะประชิด นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนหลุมดำที่กำลังดูดกลืนฉันเข้าไปเรื่อยๆ “ห้ามกรี๊ด” สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสั่งให้ฉันเม้มริมาฝีปากแล้วพยักหน้ารัวๆ แม้จะยังได้ยินเสียงฟันในปากกระทบกันดังอยู่ตลอดเวลาก็ตาม “อย่า-เสียง-ดัง” เขาย้ำช้าๆ ชัดๆ อีกครั้งแล้วค่อยๆ ปล่อยมือออก “เสื้อผ้าคุณอยู่ในห้องน้ำ รีบไปแต่งตัวซะ” ฉันพยักหน้ารัวนับครั้งไม่ถ้วน หายใจติดขัดไปหมด พอเห็นว่าฉันยอมเชื่อฟังทุกอย่างแต่โดยดี เขาก็ก้าวถอยหลังออกไปเพื่อเปิดทาง “เชิญ” ฉันรวบผ้าห่มทั้งผืนขึ้นมาห่อตัวแล้ววิ่งปรู๊ดตรงไปที่ห้องน้ำ ปิดประตูแล้วกดล็อกเอาไว้อย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงเป็นบ้า เอาหูแนบกับประตูห้องน้ำเพื่อฟังเสียงจากด้านนอกแต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แอบฟังอยู่ตั้งนานกว่าจะได้เสียงประตูห้องปิดลงเพราะเขาน่าจะเดินออกไปแล้ว ถอนหายใจเฮือกเบ้อเริ่ม รีบหันกลับมากวาดสายตามองหาเสื้อผ้าของตัวเองเพราะเขาบอกว่าอยู่ในนี้ ปรากฏว่ามันแขวนอยู่ที่ราวด้านข้างตู้แขวนนี่เอง ตั้งใจรีบหยิบมันมาใส่ แต่แค่หยิบมันออกจากไม้แขวน ฉันกลับได้กลิ่นหอมๆ จนต้องดมให้แน่ใจ ซึ่งไอ้กลิ่นหอมฟุ้งเตะจมูกเมื่อครู่ มันมาจากเสื้อผ้าของฉันจริงๆ นี่เขาซักเสื้อผ้าให้ฉันทำไม? ตั้งข้อสงสัยไม่นานก็ได้คำตอบ ยกมือขึ้นตีหน้าผากตัวเองสักป้าบเพราะต่อให้จะยังจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็รู้ตัวว่าเมามาก เมื่อคืนนี้ฉันต้องอ้วกใส่เขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องซักเสื้อผ้าให้ฉันนอกจากทนเหม็นไม่ไหว “อุ๊ย” ใส่เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็วแล้วรีบออกจากห้องน้ำ แต่ก้าวแรกที่ก้าวออกมาก็เจอเขาที่ยังนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวยืนอยู่กลางห้อง มัดกล้ามที่แขนทั้งสองข้างนั่นดูเซ็กซี่ชะมัด แต่ในทางกลับกัน คิดว่าหากถูกรัดคอด้วยวงแขนนั้นก็น่าจะทำให้ฉันตายได้ทันที เพราะคิดได้แบบนั้นก็เลยต้องรีบละสายตาออกจากผิวขาวๆ ของเขาที่มันทำให้ฉันเสียสมาธิอยู่เรื่อย ยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาเพราะไม่อยากเห็นสายตาของเขาที่กำลังมองมากึ่งวิ่งกึ่งเดินมาคว้ากระเป๋ากับโทรศัพท์ที่เพิ่งจะเห็นว่ามันวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เรียบร้อยแล้วก็รีบเดินหนีออกมาทันที “เดี๋ยวครับ” สองเท้าหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูพอดิบพอดี “คุณหยิบของไปไม่หมดน่ะ” ฉันรีบเปิดกระเป๋าเพื่อเช็กดูให้แน่ใจ แต่ของสำคัญๆ ก็ยังอยู่ในกระเป๋าครบทั้งหมด คีย์การ์ด โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ กุญแจรถ “อุ๊ย!” เงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าอีกที เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว แถมยังยื่นของสิ่งนั้นมาให้ “นี่ครับ” เห็นแล้วฉันอยากกรี๊ดเป็นภาษาเกาหลี เพราะไอ้ของชิ้นนั้นในมือเขามันคือซิลิโคนแผ่นกลมๆ ขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบบาทนิดหน่อย มีไว้ใช้สำหรับปิดหน้าอก ทั้งที่ในอกกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งแต่ทำได้เพียงสะกดกลั้นเสียงนั้นเอาไว้ สงบสติอารมณ์แล้วยื่นมือออกไปรับซิลิโคนแผ่นเล็กๆ มากำเอาไว้ในมือ ทีแบบนี้ล่ะกาวติดมือดีเชียวนะ ไอ้บ้าเอ๊ย! “ขะ ขอบคุณค่ะ” เห็นสายตาและท่าทีสุขุมของเขาแล้วก็ต้องรีบทำตัวมีมารยาทด้วยการพูดขอบคุณสักหน่อย เรียบร้อยแล้วก็รีบเดินออกมา แต่พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องฉันก็ต้องพบกับอีกหนึ่งปัญหานั่นคือรองเท้า ฉันหารองเท้าตัวเองไม่เจอ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนฉันถอดรองเท้าทิ้งไว้ที่ไหน “ในกล่อง” ได้ยินเสียงบอกใบ้ตำแหน่งแว่วมาจากด้านใน “กล่องนี้เหรอคะ” ถามเพื่อความแน่ใจเพราะกล่องรองเท้าที่เห็นยังดูใหม่ ไม่คิดว่าเขาจะเก็บรองเท้าของฉันใส่กล่องเอาไว้ให้อย่างดี แต่เขาก็พยักหน้ายืนยันคำตอบว่าใช่ สุดท้ายฉันก็เลยต้องเปิดกล่องรองเท้าดู ด้านในเป็นรองเท้าแตะคู่หนึ่งซึ่งยังใหม่อยู่จริงๆ แต่ถึงเมื่อคืนฉันจะเมาจนจำอะไรไม่ได้ แต่ตอนใส่รองเท้าออกจากห้องฉันยังไม่ได้เมาสักหน่อย จำได้ว่าฉันไม่ได้ใส่รองเท้าคู่นี้ออกมา “มันไม่ใช่รองเท้าของฉันนี่คะ” “รองเท้าคู่เก่าของคุณมันขาด ผมโยนทิ้งไปแล้ว” ฉันจะตกใจกับอะไรก่อนดีระหว่างเมาจนรองเท้าขาดแต่ไม่รู้ตัวกับเขาโยนรองเท้าของฉันทิ้ง มันแพงนะ ขาดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตื๊ดๆ~ ไม่ทันได้จับใจความสำคัญเพื่อสรุปคำตอบใดๆ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็สั่น ฉันรีบเปิดกระเป๋าแล้วหยิบมันออกมาเพื่อรับสาย แต่พอเห็นว่าเป็น ‘เฮียเจตต์’ โทรมา ฉันก็ถึงกับขนหัวลุก รีบยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาทันที ซวยแล้ว ฉันลืมนัดสำคัญของวันนี้ไปเลย “กำลังไปแล้วเฮีย” ไม่ได้อยากจะรับสายหรอกนะแต่มันจำเป็น เพราะถ้าไม่รับชะตาชีวิตของฉันต้องสั้นลงแน่ๆ วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย [กำลังจะไปเท่ากับแต่งหน้าอยู่] “รู้ใจ บนโลกที่แสนจะกว้างใหญ่ใบนี้ จะหาใครรู้ใจฉันเท่าเฮียคงไม่มีอีกแล้วเนอะ เฮียนี่น่ารักจัง” [แกไม่ต้องมาประจบ มาให้ไวเลยยัยเจ คราวนี้ถ้าแกยังกล้าทำให้ป๊าโมโหอีก เฮียจะไม่ช่วยแกแล้วจริงๆ] ดีนะที่ดึงโทรศัพท์ออกห่างหูเอาไว้ตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นหูดับแน่ๆ แต่ขนาดห่างตั้งไกลยังได้ยินเสียงเฮียฉอดใส่เลย [ยัยเจ แกได้ยินที่เฮียพูดหรือเปล่า] “ได้ยินแล้วจ้า แต่เฮียจะใจร้ายกับฉันได้ลงคอจริงเหรอ ฉันเป็นน้องเฮียนะ เฮียไม่รักฉันหรือไง” ฉันตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ แสร้งทำเสียงน่าเห็นใจใส่เฮียเหมือนเคย [ครั้งนี้แกจะลองดูก็ได้] “ลองครั้งหน้าไม่ได้เหรอเฮีย” [แกพูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว] “เอาน่า ฉันกำลังรีบไปแล้ว เดี๋ยวเจอกันนะเฮีย รักเฮียที่สุดในสามโลก ม๊วฟ” จุ๊บหน้าจอโทรศัพท์ไปหนึ่งทีก่อนจะจิ้มหน้าจอเพื่อวางสาย โยนโทรศัพท์เอาไว้บนหลังตู้รองเท้านั่นแหละ ตอนนี้เหลือเวลาไม่มาก จำใจหยิบรองเท้าในกล่องออกมาสวมเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เรียบร้อยแล้วก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแทน นับดูเงินสดด้านในแล้วมีอยู่สามพันห้าร้อยบาทพอดี “นี่ค่ารองเท้าค่ะ” “เอาไปเถอะครับ ผมให้” อยู่ๆ ก็ได้รองเท้าใหม่เฉย ใหม่จริงๆ แบบที่ยังมีป้ายราคาอยู่ในกล่อง “รับไว้เถอะค่ะ เมื่อคืนฉันเมามากไปหน่อย จำไม่ได้ว่าตกลงราคากับคุณไว้เท่าไร เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้คุณสามพันห้ารวมค่ารองเท้าด้วยก็แล้วกันนะคะ บาย” ฉันโบกมือลา ยิ้มให้เขาทิ้งท้ายพร้อมกับวางเงินไว้ที่บนตู้รองเท้าก่อนจะรีบเดินออกมา ค่าตัวเขาเท่าไรไม่รู้ แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีแค่สามพันห้า...

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

My Mate and Brother's Betrayal

read
665.7K
bc

The Pack's Doctor

read
387.7K
bc

The Triplets' Fighter Luna

read
272.2K
bc

Claimed by my Brother’s Best Friends

read
396.9K
bc

Her Triplet Alphas

read
7.0M
bc

La traición de mi compañero destinado y mi hermano

read
223.5K
bc

Ex-Fiancé's Regret Upon Discovering I'm a Billionaire

read
195.8K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook