“ไม่หนักหนาใช่หรือไม่”
ฟู่เซียงเซียงพยักหน้ารับ “แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะรักษายากเจ้าค่ะ”
ลี่หรูถอนหายใจโล่งอก เรื่องพวกนี้แม้แต่นางโลมด้วยกันยังไม่อยากให้รู้ มิใช่เขินอาย แต่จะกลายเป็นแยกลูกค้ากันเอง นางเองก็ลองหลายวิธีแต่ไม่เป็นผล เห็นทีต้องลองเชื่อหมอหญิงผู้นี้ดูสักหน่อย ครั้งก่อนก็ได้นางช่วยชี้แนะเรื่องอาการอาหารไม่ย่อยจึงมีกลิ่นปาก
เด็กสาวเขียนเทียบยาให้ ได้แต่แอบหวังว่าเรื่องนี้จะไปไม่ถึงหูของท่านหมอจู เขาเพิ่งรับนางเป็นศิษย์เสียด้วย ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มีหญิงคณิกาในหอนางโลมมารอให้นางตรวจอาการ คนเดือดร้อนมาอยู่ตรงหน้า หากไม่ทำอะไรเลยนางก็ทำไม่ได้ นางจึงตรวจอาการหญิงคณิกาอีกสองสามคน ใช้เวลาเกือบชั่วยามจึงแล้วเสร็จ เมื่อเดินออกมาไม่พบอี้เฉิน ความกังวลใจก็เกิดขึ้น
“ชายสวมชุดดำที่มาพร้อมข้าล่ะ” นางหันไปถามเหมยลี่
“ก็เห็นเดินไปทางโน้น อืม...ข้าให้คนไปตามดีไหม”
“ข้าไปเองก็ได้เจ้าค่ะ อย่างไรขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
ฟู่เซียงเซียงเอ่ยลาแล้วรีบเดินไปตามทางที่เหมยลี่ชี้ นางเห็นแผ่นหลังของอี้เฉินอยู่ไม่ไกลนัก ทว่าเมื่อยื่นมือไปแตะด้านหลัง คนที่หันกลับมากลับไม่ใช่คนที่ตามหา
“ขออภัย ข้าทักคนผิดขอรับ” นางพยายามดัดเสียงให้เป็นเด็กหนุ่ม แล้วถอยหลังออกมาแต่คนผู้นั้นคว้าข้อมือนางแล้วกระชากเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นสุราเหม็นหึ่ง
“ข้าอนุญาตให้ไปแล้วรึ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่แววตาแข็งกร้าวคู่นั้นบ่งบอกได้ชัดว่าเขาไม่ได้ธรรมดาเหมือนเสื้อผ้าที่สวมอยู่ แม้อี้เฉินรูปร่างสูงใหญ่นิ่งเงียบตลอดเวลา แต่ไม่เคยมีท่าทีคุกคามเช่นนี้
ฟู่เซียงเซียงถอยหนีจนแผ่นหลังชิดประตูบานหนึ่ง นางกวาดตามองหาช่องทางหลบหนี ชายตรงหน้าดูพอใจกับท่าทางหวาดกลัวของนาง เขาหัวเราะและยื่นมือไปหมายเชยคางนางขึ้น แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสผิวเนียนละเอียดดุจหยกใส มือข้างนั้นก็ถูกกระชากไว้ก่อน คนถูกขัดจังหวะอ้าปากจะส่งเสียงต่อว่าแต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่พร้อมจะฆ่าคนได้ก็ทำให้หุบปากไปทันที
“อี้เฉิน” ฟู่เซียงเซียงยิ้มออกมาแม้หางตาจะมีประกายน้ำตาเอ่อคลอ นางกลัวว่าอี้เฉินจะบีบข้อมือคนผู้นั้นจนกระดูกแหลกจึงรีบก้าวออกไปแตะมือเขาไว้เป็นเชิงเรียกสติ
“เจ้ามาแล้ว เรากลับกันเถิด”
นางรีบเดินออกมาทำให้อี้เฉินปล่อยมือแล้วเดินตามนางอย่างเงียบๆ เด็กสาวเดินพ้นหอนางโลมพอสมควรแล้วจึงผ่อนฝีเท้าลงแล้วหันมายิ้มให้กับชายชุดดำที่เดินตามนางอยู่ไม่ห่าง
“เจ้าคงสมเพชข้าอยู่สินะ” นางยกหลังมือเช็ดหางตาอีกครั้งจนมั่นใจว่าจะไม่มีคราบน้ำตาแล้วจึงพูดต่อ “อย่าเล่าเรื่องนี้ให้แม่นมหวงกับจางลี่รู้นะ พวกนางเป็นหวงข้ามาก”
‘เจ้าลืมหรือไรว่าเจ้าทำให้ผู้อื่นคิดว่าข้าเป็นใบ้’
ทว่าเขากลับพยักหน้าตามที่นางร้องขอ
“เมื่อครู่...ขอบใจเจ้ามากนะ” นางหัวเราะออกมา “มีเจ้าเป็นผู้ติดตามก็ดีไม่น้อย อีกหน่อยไม่มีใครกล้ารังแกข้าแน่”
เสียงหัวเราะของนางกลับมาสดใสอีกครั้ง ทว่าภาพที่นางหวาดกลัวจนใบหน้าไร้สีเลือดยังคงติดตาทำให้อยากดูแลนางเหลือเกิน แต่ในเวลานี้เขามีหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง
หวังว่านางจะรอเขาได้.
เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำคุกเข่าลงเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มที่ยืนสงบนิ่งภายใต้จันทร์เสี้ยว แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่ไม่อาจกลบรัศมีความน่าเกรงขามได้เลย เพียงการยกมือส่งสัญญา ชายในชุดดำเหล่านั้นพลันหายไปราวกับภูติผี เหลือเพียงบุรุษหนุ่มตามลำพัง
ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นดู มุมปากกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว มือสองข้างนี้เปื้อนเลือดสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนไร้ความลังเล แต่เวลานี้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ เขาเดินฝ่าความมืดของรัตติกาลเข้าไปในเรือนหลังน้อยที่แสนทรุดโทรม ฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเท้าเข้าไปจนถึงเตียงนอนของเด็กสาววัยสิบสี่ ปลายนิ้วปัดม่านมุ้งออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามหลับใหล ร่างสูงใหญ่นั่งลงริมเตียง แม้มีเพียงแสงสลัวจากด้านนอกแต่เขากลับเห็นความงามเบื้องหน้าได้แจ่มชัด ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นเล็กน้อย เส้นผมดุจย้อมหมึกคลี่สยาย ผ้าห่มผืนเก่าแต่ถูกซ่อมแซมอย่างดีห่มครึ่งร่างของนาง ไม่ใช่คืนแรกที่เขาแอบเข้ามามองนางเช่นนี้ แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้มองนางในฐานะ ‘อี้เฉิน’
ตั้งใจเพียงเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม ทว่านิ้วมือกลับปัดผ่านริมฝีปากอย่างหลงใหล สายตามองเรื่อยมาที่ลำคอขาวผ่องที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเผลอบีบลำคออย่างไม่ตั้งใจ กลิ่นหอมละมุนจากกายนางทำให้เขาโน้มหน้าลงสูดดม
“เซียงเซียง”
ฟู่เซียงเซียงถูกรบกวนการนอนทำให้งัวเงียลืมตาขึ้น การตื่นของนางทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือกแล้วลุกพรวดไปซ่อนกายในเงามืดที่มุมห้อง ร่างบอบบางยันกายขึ้นนั่งแล้วเพ่งตามองไปที่มุมห้อง เพราะรีบร้อนลุกขึ้นจึงไม่รู้ว่าสาบเสื้อคลายออกเผยให้เห็นเนินเนื้อขาวโพลนที่ดุนดันเอี๊ยมบังทรงสีชมพูกลีบบัว ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มหายใจติดขัด คิดจะผละจากไปแต่เท้าไม่ยอมขยับ
“อี้เฉิน?” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย เงาในมุมมืดคล้ายจะสาวเท้าหนี นางจึงรีบร้อนก้าวลงจากเตียงทั้งที่ยังปรับสายตาในความมืดไม่ได้ ร่างเล็กเสียหลักหน้าคะมำลงพื้น แต่ชายหนุ่มเคลื่อนรวดเร็วคว้านางได้ทันแต่ใบหน้างามกลับซุกซบที่อกแกร่ง
ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เป็นฟู่เซียงเซียงที่ขืนตัวออก มือใหญ่คู่นั้นประคองไหล่นางไว้ให้นางได้นั่งลงปลายเตียงเรียบร้อยแล้วจึงขยับเท้าออกมายืนห่างเล็กน้อย แต่ยังใกล้พอได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวของนางที่ดังไม่ต่างจากเขา มุมปากยกยิ้มขึ้น ที่แท้นางก็หวั่นไหวไม่ได้ไร้ความรู้สึกสินะ
“เจ้า...จะไปแล้วหรือ?” นางเอ่ยถามและเพิ่งนึกได้จึงจับสาบเสื้อให้มิดชิด แม้อยู่ในแสงสลัวแต่อาจมองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น นางไม่ได้ยินเสียงตอบรับซึ่งก็เข้าใจได้ จึงเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเช่นทุกครั้ง
!