ตอนที่ 10 คนโง่
ตอนที่ 10
ขนมปัง
วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันยังอยู่บ้านเฮียเหม ถ้านับตั้งแต่วันแรกที่ฉันมา วันนี้ก็นับเป็นวันที่ 7 แล้ว
ถ้าถามถึงความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ในตอนนี้นั้น ฉันคงตอบอะไรไม่ได้เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ รู้เพียงว่าอยู่แบบนี้ก็มีความสุขดี ขอเวลาอยู่แบบนี้อีกหน่อยแล้วกัน
“เฮียจะลากฉันมาซื้อของอะไรแต่เช้าเนี่ย”
ฉันหันไปบ่น เนื่องจากเฮียเหมลากฉันออกมาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เกตตั้งแต่เช้าโดยไม่บอกอะไรสักคำ
“อยากกินอะไร”
แทนที่เขาจะตอบคำถามฉัน เขากลับถามคำถามกลับมาแทน
“หมายความว่าไงคะ เฮียจะทำให้กินเหรอ”
“เปล่า เดี๋ยวมีคนมาทำ”
“หือ ?”
มีคนมาทำอย่างนั้นเหรอ เฮียเหมหมายถึงใครกัน
“เธอคนนี้ทำอาหารเก่ง อร่อยทุกอย่าง เธออยากกินอะไรก็เลือกมา จะได้ซื้อวัตถุดิบไป”
สีหน้าของเฮียเหมตอนที่พูดถึงผู้หญิงคนนี้แลดูอบอุ่นกว่าปกติ ทั้งที่เรื่องแบบนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับฉันแต่ไม่รู้ทำไม ถึงรู้สึกจุกอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ อะไรก็ได้ค่ะ”
เฮียเหมหันมามองฉันเล็กน้อย เหมือนไม่ค่อยพอใจในคำตอบ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา หันกลับไปเลือกของสดต่อ
ตั้งแต่ตอนที่เฮียเหมพูดถึงผู้หญิงคนนั้น สติฉันก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวจนโดนเขาดุอยู่หลายครั้ง ความรู้สึกของฉันในตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ เคว้งคว้าง ไร้หนทางจะไปต่อ
ตลอดเวลาที่ซื้อของ ฉันไม่ได้คุยกับเฮียเหมอีกเลย อธิบายไม่ถูกเหมือนกันแต่ฉันแค่ไม่รู้จะพูดอะไรดี หลังจากเราซื้อของเสร็จก็เดินกลับคอนโดกันเนื่องจากอยู่ไม่ไกลกันมาก
ปื้น ~~~
“เหม่ออะไรของเธอวะ!!”
แรงกระชากแขนฉันจากทางด้านหลัง เสียงแตรรถ และน้ำเสียงดุดันทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ ฉันหันมองรอบ ๆ ปรากฏว่าฉันเกือบไปยืนอยู่กลางถนนแล้ว แสดงว่าเมื่อครู่ฉันเดินเหม่อข้ามถนนไปอย่างนั้นหรือ
“เอ่อ คือขนมปัง”
“แม่ง ดูรถหน่อยสิวะ ถ้าอยากตายนักบอกฉันก็ได้ ไม่ต้องไม่ตัดหน้ารถให้ลำบากคนอื่นเขาหรอก”
ท่าทางเกรี้ยวกราดของเฮียเหม บวกเข้ากับอารมณ์อ่อนไหวของฉันในตอนนี้ ส่งผลให้น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ความรู้สึกน้อยใจ ประเดประดังเข้ามาจากไหนมากมายก็ไม่รู้
“น่าหงุดหงิดจริง ขึ้นไปรอบนห้องเลย”
“แล้วเฮียจะไปไหน ?”
“ฉันจะไปรับพอใจ ป่านนี้รอแย่แล้ว”
น้ำเสียงหงุดหงิดของเขายิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่เข้าไปอีก น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลลงมาแต่อีกฝ่ายไม่เห็นเพราะเขาเดินหันหลังออกไปโดยไม่สนใจฉันด้วยซ้ำ
“เฮ้อ เป็นอะไรของแกวะขนมปัง”
ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองทิ้ง แล้วเดินตรงเข้าไปในคอนโด กดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นห้องพักของเฮียเหม
“นี่แกรู้ไหมว่าเฮียเหมพาผู้หญิงมาคอนโด”
ผู้หญิงสองคนที่อยู่ในลิฟต์เริ่มพูดกัน เมื่อได้ยินชื่อคนในบทสนทนา ฉันเลยรีบเงี่ยหูฟังทันที
“คู่หมั้นเขาคนนั้นน่ะเหรอ เธอไม่ได้เรียนอยู่อังกฤษเหรอ”
พรึบ
ของในมือที่ฉันกำลังถืออยู่ร่วงลงบนพื้นทันทีที่ได้ยินคำว่า คู่หมั้น
“เอ่อ ขอโทษค่ะ”
ทั้งสองคนหันมองฉันเล็กน้อยก่อนจะหันไปเข้าบทสนทนาต่อ ส่วนฉันก็เก็บของบนพื้นขึ้นมาพร้อมทั้งฟังพวกเธอพูดไปด้วย
“ฉันได้ข่าวว่าเธอกลับมาแล้วนะ”
“เฮ้อ เสียดายเฮียเหมว่ะ ผู้ชายอะไรหล่อก็หล่อ หุ่นก็ดี แถมยังสุขุมอีก”
“เลิกฝันไปเลยย่ะ ฉันได้ยินมาว่าคู่หมั้นของเฮียเหมเริ่ดสุด ๆ ทั้งสวยทั้งรวยแถมยังเรียนเก่งอีก ผู้หญิงธรรมดาแบบเราเฮียเหมไม่แลหรอก”
“เฮ้อ นั่นสินะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าที่เฮียเหมไม่เคยคบใครจริงจังเพราะเขารอคู่หมั้นคนนี้กลับมา”
ติ๊ง
ประตูลิฟต์เปิดออกสองสาวก็เดินออกไป เหลือเพียงแค่ฉันที่ยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์ ประตูลิฟต์ค่อย ๆ ปิดพร้อมทั้งน้ำตาของฉันที่ค่อย ๆ ไหลลงมา
ถ้าเฮียเหมมีคู่หมั้นอยู่แล้ว อย่างนั้นตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน มันคืออะไรกันแน่
“ใจเย็นนะขนมปัง เราค่อยคุยกับเฮียเหมเรื่องนี้ก็ได้”
ฉันพยายามปลอบใจตัวเอง บางทีเรื่องพวกนี้อาจจะเป็นข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้
———————
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ฉันนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องรับแขก เฮียเหมบอกว่าเขาไปรับใครสักคน ใช้เวลานานขนาดนี้เชียวเหรอ
ติ๊ด
“ฮ่า ๆ เฮียเหมยังขี้บ่นเหมือนเดิมเลยนะคะ”
เสียงกดรหัสประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงหัวเราะสดใสของใครบางคน ฉันรีบหันไปมองปรากฏว่าเป็นเฮียเหมและหญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้อง
“เฮอะ เราก็ดื้อให้น้อยลงหน่อยเถอะ”
ภาพที่เฮียเหมยิ้มเอ็นดูผู้หญิงคนนั้น และโยกศีรษะเธอนั้นทำให้ความรู้สึกฉันหยุดนิ่ง หัวใจชาไปราวกับโดนแช่ลงไปในน้ำแข็ง
“จะดื้อค่ะ จะดื้อให้มากกว่านี้อีก”
ขนาดฉันเป็นผู้หญิง ฉันยังรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนั้นน่ารักเลย เธอทั้งน่ารักและสดใส ไม่มีอะไรที่ฉันจะเทียบเธอได้เลยสักนิด
ทั้งคู่เดินผ่านห้องรับแขกตรงไปยังห้องครัวเหมือนกับไม่มีใครเห็นฉันเลย ซึ่งพวกเขาคงไม่เห็นจริง ๆ นั่นแหละเพราะทั้งคู่มัวแต่คุยกัน
“เอ๊ะ แล้วผู้หญิงคนนั้นที่เฮียเล่า อยู่ไหนคะ”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนเอ่ยถึง นี่เฮียเหมเล่าเรื่องฉันให้เธอฟังด้วยอย่างนั้นเหรอ
“ในห้องนอนมั้ง เดี๋ยวทำเสร็จค่อยไปตามก็ได้ เธอไม่ค่อยสบาย”
“แล้วเรื่องที่เฮียเหมเล่าว่าเธอมาขอเป็นแฟนล่ะคะ เฮียจะเอายังไงต่อ”
ฉันกำลังจะเดินออกไป ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด เธอรู้เรื่องข้อตกลงนี้ของฉันและเฮียเหมด้วยหรือ
“เอายังไง อะไร ?”
“ก็เฮียบอกเธอขอแค่ไม่กี่วัน นี่มันก็เจ็ดวันแล้วไม่ใช่เหรอ เฮียจะยังเป็นแฟนกับเธอต่อปะ”
“พูดอะไรเลอะเทอะ ทำกับข้าวไปเลย”
ก่อนหน้านี้ฉันสงสัยมาตลอดว่าสถานะระหว่างเราคืออะไร สงสัยมาตลอดว่าที่เฮียเหมทำคืออะไร
ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว เรื่องระหว่างเราที่เกิดขึ้นเป็นเพราะข้อตกลงบ้า ๆ นั่นที่ฉันเป็นคนขอเอง
“โอ๊ะ สวัสดีค่ะ”
ระหว่างที่ฉันยังยืนอยู่ที่เดิม อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เดินมาพอดี เธอเจอฉันและทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
“สวัสดีค่ะ”
ฉันยิ้มบาง ๆ และทักทายเธอกลับไปเช่นกัน ยิ่งเธอยิ้มให้ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ฉันทำลงไปก่อนหน้านี้
“ตามสบายเลยนะคะ พอใจขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
ผู้หญิงคนนั้นเดินตรงไปทางห้องน้ำด้วยท่าทางร่าเริง ฉันสูดลมหายใจเข้าปอด พยายามรวบรวมสติตัวเองให้ได้มากที่สุด
ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว ตอนนี้ฉันก็ต้องพยุงตัวเองออกไปจากที่นี่ให้ได้
“เธอจะไปไหนขนมปัง”
เสียงทุ้มที่ดังก้องข้างหูฉันมาตลอดเจ็ดวันดังขึ้นทางด้านหลัง ฉันพยายามกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้ ขอร้องละน้ำตา อย่าเพิ่งไหลลงมา อย่างน้อยก็ให้เขาหันหลังไปก่อน
“ฉันถามว่าจะไปไหน ?”
“ขนมปังอยากกินไอติมค่ะ ขอลงไปซื้อแป๊บหนึ่งนะคะ”
ไม่รอให้เขาตอบรับใด ๆ ฉันก็เดินออกมาจากห้อง รีบวิ่งไปถึงลิฟต์ให้เร็วที่สุด
ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดฉันก็ทรุดตัวลงกับพื้นปล่อยโฮออกมา น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลลงมาไม่ขาดสาย
“ฮึก ทำไมแกโง่แบบนี้วะขนมปัง”
ถ้าฉันรู้ว่าการทำข้อตกลงเป็นแฟนกับเฮียเหมจะเจ็บขนาดนี้ ฉันไม่ทำหรอก
“ฮึก คนอย่างเฮียเหมจะมาชอบคนอย่างแกได้ยังไง”