Episode 1 แรกพบ
ตอนที่ 1 แรกพบ
เอี๊ยด อร๊าด เอี๊ยด
เสียงรถจักรยานยนต์วินเทจดังตลอดทาง คนตัวเล็กที่กำลังใช้งานมันอยู่เริ่มเหงื่อตก เธอไม่น่าไปตกปากรับคำเพื่อนสาวเลยว่าจะเป็นคนเอารายงานมาเอง เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่าน้องสีเทียนจักรยานลูกรักของเธอนั้นอาการไม่ค่อยดีเท่าไร
“สีเทียนลูกรัก อีกแค่นิดเดียว ลูกอย่ามาดับตรงนี้นะ”
เธอคอยให้กำลังใจลูกชายของเธอจนกระทั่งมันสามารถพาเธอมาได้ถึงหน้าคณะ
ด้วยความรีบร้อน เธอจึงจอดรถทิ้งไว้หน้าคณะแล้วรีบวิ่งเข้าไปส่งงานโดยลืมคำนึงถึงสถานที่จอด เพราะเหลืออีกเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น อาจารย์ก็จะปิดรับแล้ว
ผู้หญิงที่กำลังวิ่งหน้าตั้งทั้งที่ยังสวมหมวกกันน็อกอยู่นั้น ชื่อว่า ขนมปัง เธอไม่ได้ลืมถอดหมวกออกแต่เธอตั้งใจใส่ไว้แบบนี้เพราะใบหน้าของเธอตอนนี้กำลังมีปัญหา
ผิวหน้าที่เคยขาวเนียน เห่อแดง เป็นตุ่มเล็ก ๆ เต็มทั่วทั้งหน้าเนื่องจากเธอแพ้ครีมที่มีคนส่งมาให้รีวิว
“จะรีบวิ่งไปไหน วิริยา”
“รีบวิ่งมาส่งงานอาจารย์ค่ะ”
“เดี๋ยวเถอะ ยอกย้อนอาจารย์รึยังไง”
“ขอโทษค่ะอาจารย์”
อาจารย์กบส่ายหน้าไปกับท่าทางของลูกศิษย์ ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าแต่เธอก็พอจะรู้ว่าลูกศิษย์คนนี้คือใคร คงไม่มีใครกล้าใส่หมวกกันน็อกเข้ามาในห้องพักอาจารย์หรอก ถ้าไม่ใช่ วิริยา หรือขนมปัง
“แล้วเธอจะใส่หมวกนั่นเข้ามาทำไม”
“แหะ ๆ ช่วงนี้หนูกำลังรักษาหน้าเลยแต่งหน้าไม่ได้ค่ะอาจารย์ อาจารย์ก็รู้ว่าหน้าสดหนูแย่ขนาดไหน”
“เรื่องพวกนั้น เธอคิดไปเองทั้งนั้น เราทุกคนมีความสวยเป็นของตัวเองอยู่แล้ว”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์”
“กลับไปอ่านหนังสือได้แล้ว อีกไม่กี่วันก็สอบกันแล้วหนิ”
“ค่ะ หนูลานะคะอาจารย์”
ขนมปังยกมือไหว้อาจารย์ก่อนจะเดินคอตกออกมาจากห้อง เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบ ทั้งงานและการอ่านหนังสือจึงค่อนข้างรุมเร้าเธอส่งผลให้อาการแพ้ที่หน้าของเธอหนักกว่าเดิมนั่นทำให้เธอค่อนข้างเครียด
“หรือไปทำทรีตเมนต์ดีนะ เฮ้อ แต่หมอสั่งห้ามทำอะไรกับหน้านี่นา”
ขณะที่หญิงสาวกำลังเดินออกมาจากตึกคณะพลางคิดนู้นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย เสียงเหมือนมีอะไรชนกันก็ดังขึ้น
โครม!
เธอค่อย ๆ เงยหน้ามองตามเสียงนั่นก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นน้องสีเทียนของเธอล้มนอนอยู่กับพื้นถนน
ขนมปังรีบวิ่งไปหารถของตัวเอง ถอดหมวกกันน็อกทิ้ง ค่อย ๆ ดึงรถขึ้นอย่างยากลำบาก ผู้คนแถวนั้นต่างหยุดมองแต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยเธอเลย เธอถอนหายใจเมื่อเห็นใบหน้าตัวเองในกระจกรถ สภาพเยินขนาดนี้ คงไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
พรึบ
ใครบางคนเข้ามายืนด้านหลังเธอ แล้วดึงรถขึ้นให้ น้ำหอมกลิ่นอ่อน ๆ จากตัวเขาทำให้หญิงสาวเคลิ้มไปชั่วขณะแต่ก็สะดุ้งตื่นจากภวังค์เพราะเสียงกรี๊ดแหลม
“กรี๊ด นังบ้า แกกล้าเข้าใกล้เฮียเหมของฉันได้ไง”
ตัวเธอถูกดึงแยกออกมา หญิงสาวหันมองผู้หญิงสวยคนนั้นด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำของเธอที่แสนจะหยาบคาย
“เฮ้ย เธอเป็นบ้ารึไงมากระชากหัวคนอื่นแบบนี้”
ขนมปังหันไปตวาดใส่ผู้หญิงคนนั้นอย่างหัวเสี เธอสางผมตัวเองลวก ๆ เอามือเท้าสะเอว มองหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าหวงผัวมาก วันหลังก็ล่ามโซ่ไว้สิป้า!”
“นังหน้าผี กล้าดียังไงมากเรียกฉันว่าป้า เฮอะ หน้าตาน่าเกลียดแล้วยังหยาบคายอีก”
คำด่าของผู้หญิงคนนั้นเหมือนเป็นมีดปักลงกลางอกขนมปัง เธอเม้มริมฝีปากแน่น อยากจะตอบโต้กลับแต่คิดคำไม่ออก
“เอามือถือมา”
“ฮะ ?”
ขนมปังเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าหล่อนิ่ง ไม่เข้าใจในเจตนาที่เขาพูดแบบนั้น
“เอามือถือมา ฉันจะเมมเบอร์ฉันไว้ให้”
“เฮียเหมคะ อย่าไปสนใจยัยเด็กนี่เลย หน้าก็ปรุ รถก็จน เรารีบไปกันเถอะค่ะ”
“เธอไม่รู้เหรอ ว่าฉันไม่ชอบให้ใครพูดแทรก”
ผู้หญิงคนนั้นหน้าสลดลงเมื่อโดนเหมราชต่อว่า ขนมปังยกยิ้ม สมน้ำหน้าใส่อย่างไม่ปิดบังก่อนจะยื่นมือถือของเธอให้เหมราช
“ถ้าต้องการให้รับผิดชอบยังไงก็โทรมา”
“เอ่อ ค่ะ”
พูดเพียงเท่านั้น เหมราชก็เดินออกไป
ขนมปังมองเบอร์ในมือถือพร้อมทั้งยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในมหาวิทยาลัยมีผู้ชายหน้าตาดีขนาดนี้ด้วย อีกอย่างตั้งแต่เข้าปี1มา เขาถือเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนแรกที่ยอมคุยกับเธอ
“ยิ้มทำไมขนมปัง เขาชนรถแกนะ”
เมื่อนึกขึ้นได้ ขนมปังเลยรีบหันไปสนใจรถของตัวเองอีกครั้ง เธอลองสตาร์ตรถดูแต่ชิ้นส่วนด้านหน้ากลับหลุดออก
“ฮือ สีเทียนลูกแม่”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง นั่งลงกอดลูกชายคันโปรดด้วยความเศร้าใจ จะให้โทษอีกฝ่ายก็ไม่ได้เพราะเธอเองก็จอดรถในที่ห้ามจอดเหมือนกัน
———————
ขนมปังยืนไว้อาลัยลูกชายของเธออยู่ที่อู่ข้างมหาวิทยาลัย ช่างบอกว่าอาจต้องใช้เวลาซ้อมนานถึงสามเดือนเนื่องจากรถเป็นรถวินเทจ อายุการใช้งานค่อนข้างเยอะ อะไหล่เลยหายากไปด้วย
“พี่โจ้ พี่สัญญานะว่าจะดูแลสีเทียนดี ๆ”
“พอเลยยัยขนมปัง แกย้ำคำนี้กับช่างเป็นรอบที่ร้อยแล้ว”
อาร์มมี่ สาวสองเพื่อนสนิทของขนมปังเข้าไปดึงเพื่อนออกมาจากอู่
“ฮือ สีเทียน แม่ลาก่อน”
“เฮ้อ กูละปวดหัวกับมึงจริง ๆ รีบไปได้แล้ว ป่านนี้ไอ้บีมโมโหหิวจนตาลายไปแล้วมั้ง”
ขนมปังโบกมือลาลูกรักด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์แต่คงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากรอให้ลูกรักของเธอฟื้นคืนชีพ
ทั้งคู่เดินทางมายังร้านหมูจุ่มหลังมหาวิทยาลัยด้วยรถของอาร์ม ซึ่งมีบีม เพื่อนอีกคนรออยู่ก่อนแล้ว
“กลิ่นนี้ที่คิดถึง”
กลิ่นหอมจากหมูจุ่มทำให้สภาพจิตใจของขนมปังฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็ว เธอรีบเดินไปยังโต๊ะที่บีมนั่งรออยู่ด้วยความกระตือรือร้น
“เมื่อกี้เศร้าแทบตาย พอเห็นของกินแล้วดี๊ด๊าขึ้นมาเชียวนะชะนี”
“แกจะไปบ่นมันทำไมวะอาร์มมี่ ไปเลยไปตักหมูสามชั้นมาเพิ่มเลย”
ขนมปัง บีม และอาร์มมี่รู้จักกันตอนรับน้อง และพวกเธอทั้งสามคนก็คบกันมาจนถึงตอนนี้
ทั้งสามคนกำลังเรียนปีหนึ่งเทอมสอง คณะนิเทศศาสตร์ด้วยความที่เรียนด้วยกันเลยทำให้พวกเธอสนิทกันอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่มึงไปทำท่าไหน ลูกชายมึงถึงได้อาการโคม่าขนาดนั้น”
“เฮอะ ฉันไม่ได้ทำหรอก มีคนทำ”
“หือ เรื่องมันยังไง ?”
“ก็มีคนถอยรถมาชนรถฉันแต่เขาก็รับผิดชอบดีนะ ฉันเลยไม่ติดใจอะไร”
“รับผิดชอบยังไง แล้วมึงรู้จักชื่อเขาไหม”
อาร์มมี่ถามขณะคีบหมูสามชั้นเข้าปาก
“เขาบอกให้ฉันบอกได้เลยว่าต้องการให้รับผิดชอบยังไง เหมือนจะชื่อเหมราชนะ”
ตะเกียบในมืออาร์มมี่ร่วงลงทันทีเมื่อได้ยินชื่อ เหมราช เธอรีบเงยหน้ามองเพื่อนสาวพร้อมทั้งคาดคั้นเอาคำตอบ
“มึงจะบอกว่า เฮียเหม เป็นคนชนรถมึงและบอกจะรับผิดชอบยังไงก็ได้เหรอ”
“อือ”
“ปังมากแม่ กะเทยอยากกรีดร้อง แห่เสลี่ยงให้จริง ๆ”
“อะไรของมึงวะ อาร์มมี่ ทำไมต้องดีใจอะไรขนาดนั้นด้วย”
อาร์มมี่กอดอก เชิดหน้าพร้อมทั้งอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับเหมราชให้พวกเธอฟัง
“เฮียเหมเรียนวิศวะ ปี3 เป็นนักบาสของมหาวิทยาลัย ความหล่อระดับพระเจ้าประทานพร อีกอย่าง เขาไม่เคยสนใจใครเลยแต่เขากลับให้เบอร์ส่วนตัวกับขนมปัง”
“เขาชนรถฉัน เขาก็ต้องให้ปะวะ”
“เพื่อนสาวคะ บ้านของเฮียเหมเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้ารถ เรื่องแบบนี้เขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเองด้วยซ้ำ ปกติเขาต้องให้เบอร์คนดูแลเขาสิ ไม่เห็นต้องให้เบอร์ส่วนตัวเลย”
เพื่อนทั้งสองคิดตามคำพูดของอาร์มมี่ ถึงแม้จะฟังดูเป็นไปได้อย่างที่อาร์มมี่พูดแต่ขนมปังก็สลัดความคิดพวกนั้นออกจากหัว
“คนหล่อฟ้าประทานแบบนั้นจะมาสนใจผู้หญิงหน้าผี จน ๆ อย่างฉันได้ไง มึงเลอะเทอะ”
“อย่ามาตลกค่ะชะนี มึงคือคนรวย ลูกราชนิกูล และหน้านี่แค่เป็นผื่นย่ะ รักษาเดี๋ยวก็หายแล้ว”
“จริง อย่าคิดมาก กินกันต่อดีกว่า”
ขนมปังยิ้มให้เพื่อนรักทั้งสอง ทั้งคู่รู้จักเธอตอนที่หน้าของเธอเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาจึงไม่เคยเห็นหน้าจริงของเธอแต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่เคยเหยียดหน้าตาของเธอเหมือนคนอื่นเลยสักครั้งแถมยังคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ
บางทีขนมปังก็แอบคิดว่าการที่หน้าเธอเป็นแบบนี้ก็มีข้อดี เพราะเมื่อก่อนคนที่เข้าหาเธอล้วนแต่เข้ามาเพราะหน้าที่ของเธอ และผลประโยชน์ทั้งนั้น การที่เธอเป็นแบบนี้เลยเสมือนว่าเธอได้คัดคนที่เข้ามาในชีวิตไปด้วย