ตอนที่5 สตรีน่าตาย

3369 Words
บทที่ 5 สตรีน่าตาย คืนยามค่ำอันเงียบสงัดภายในกระโจมที่ยังคงไม่ดับไฟ แสงไฟสีเหลืองนวลบนเชิงเทียนพลิ้วไหวส่องกระทบลงบนโต๊ะตัวใหญ่ สะท้อนลวดลายสลักบนหนังผืนใหญ่ที่ถูกเย็บติดต่อกันราวสี่ผืน ประกอบเป็นภาพแผนที่เมืองหยางโจว ภูมิทัศน์โดยรอบกินเนื้อที่ออกไปถึงป่าไผ่และขุนเขานอกอาณาเขตแคว้นจ้าว บางส่วนขาดหายและไม่ได้ลงรายละเอียดเพราะยังไม่มีการสำรวจหรือค้นพบ โดยเฉพาะช่วงบริเวณขุนเขาที่ปกคลุมด้วยป่าไผ่และต้นไม้สูงทึบ ฉึบ.. ปลายดาบปักลงตรงบริเวณส่วนที่ว่างเปล่า ไม่ห่างกันไกลมากนักปรากฏชื่ออารามจิ่วผี่ในแผนที่ ดวงเนตรสีดำดุจน้ำหมึกปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมขึ้นมาครู่หนึ่งคล้ายมองทะลุเรื่องราว ผินใบหน้ากลับมายังป้ายเหล็กประจำตัวแม่ทัพในมือ หวนนึกถึงสตรีกลับกลอกผู้หนึ่ง นิสัยนางเปลี่ยนไปจากเดิมจนผิดสังเกต มีสองทางที่จ้าวอวิ๋นหยางคาดเดา หากไม่ได้ทรยศตั้งแต่แรกก็อาจกลับใจจริงอย่างที่แสดงออก.. แน่นอนว่าเขาเทหน้าตักไปทางความคิดแรกแล้วกว่าครึ่ง เพียงแต่ต้องการเวลาจับตาดูนางมากอีกหน่อย ไม่แน่ว่าชายที่ใช้วิชาเปลี่ยนหน้าผู้นั้นอาจเป็นหนึ่งในพวกของนาง ซึ่งเขาได้สั่งให้ ‘เยี่ยนจิ้นหวง’ จัดการแล้ว “ว่ามา” จ้าวอวิ๋นหยางใช้ปลายนิ้วคลึงแผ่นป้ายเหล็กในมือเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ไม่ได้หันไปมองยังผู้มาใหม่ที่เร้นกายเข้ามาเงียบเฉียบ เยี่ยนจิ้นหวงย่อมมั่นใจในฝีเท้าเบาของตัวเองนักแต่อย่างไรก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาจ้าวอวิ๋นหยางได้ นั่นทำให้เขาชื่นชมคนผู้นี้และยอมสวามิภักดิ์ด้วยความเคารพ “เรียนอวิ๋นอ๋อง นามแฝงของพระชายานั้น กระหม่อมไม่พบว่าถูกใช้ในที่แห่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะ" เยี่ยนจิ้นหวงรายงานตามที่ได้รับมอบหมายเมื่อสามวันก่อน ว่าให้หาเกี่ยวกับนามแฝงที่พระชายาใช้ และเมื่อสืบเสาะหาเกี่ยวกับนามแฝง 'เชบบ้ะ' ถึงพยายามเติมตัวอักษรแฝงด้านหลังไม่ว่าจะเชบบ้ะฉี เชบบ้ะจื่อ เชบบ้ะจาง เชบบ้ะหวัง ใช้ตัวอักษรแฝงที่คาดว่าสกุลเฟิ่งจะใช้ในการลักลอบส่งข้อมูลกับแคว้นศัตรูแต่ก็ไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อย จ้าวอวิ๋นหยางฟังแล้วก็เพียงพยักหน้ารับ คาดว่านางอาจจะใช้นามนี้ในการทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การลักลอบส่งข้อมูล ก่อนจะกล่าวถามต่อ "แล้วอีกเรื่อง เจ้าได้ความว่าอย่างไร" หน้าที่ที่ได้รับมีถึงสองเรื่อง เมื่อจ้าวอวิ๋นหยางถามถึงเยี่ยนจิ้นหวงจึงกล่าวต่อทันที "ชายผู้นั้นได้ใช้เส้นทางลับผ่านหุบเขาเข้ามายังหยางโจว พลหทารหน้าประตูคงไม่มีฝีมือมากพอจับผิดเขาได้จึงปล่อยให้เข้ามาและวันนี้ได้พบคนของเรานอนไม่ได้สติอยู่บริเวณตีนผาของป่าไผ่ เขายังคงมีลมหายใจอยู่ทว่าโดนพิษบางอย่างจึงทำให้ตอนนี้ยังไม่ได้สติเลยไม่สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเขาได้ ใกล้กันพบเศษผ้าถูกทิ้งไว้ชิ้นหนึ่ง คาดว่าตอนนี้อีกฝ่ายสวมรอยเป็นใครสักคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “อืม เจ้าพบร่องรอยของมันหรือไม่” จ้าวอวิ๋นหยางไม่ได้มีน้ำเสียงทุกข์ร้อน มือว่างข้างหนึ่งยกจอกชาขึ้นจิบหนึ่งอึก เมื่อสามวันก่อนก็เป็นเขาเองที่จงใจปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไป หากมันชะล่าใจสักหน่อยคงเผยแผนการออกมา คาดไม่ถึงว่าศัตรูจะใจเย็นกว่าที่คิดไว้มาก จนถึงตอนนี้ก็ยังซ่อนตัวเงียบ “พ่ะย่ะค่ะ พบร่องรอยของเขาไม่ไกลจากผาจิ่วผี่แต่ร่องรอยกลับหายไปหลังพ้นเขตสุสาน ซึ่งแปลกนัก กระหม่อมเข้าไปตรวจสอบกลับไม่พบร่องรอยของชายผู้นั้น เว้นเพียงแต่พระชายาและสาวใช้ของนางที่ปรากฏตัวในตอนนั้นพอดีพ่ะย่ะค่ะ” ฟังถึงตรงนี้หางคิ้วหนาพลันกระตุก ชะงักมือบนป้ายเหล็กแววตาเผยม่านเย็นชาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ก่อนวางถ้วยชาลงและกำป้ายเหล็กเก็บเข้าข้างลำตัวกล่าวเสียงเหี้ยม “หากนางเกี่ยวข้องกับชายผู้นั้นก็สังหารนางทิ้งซะ” เยี่ยนจิ้นหวงฟังแล้วก็มีท่าทีอึกอัก “..เรื่องนี้เกรงว่าอาจยังไม่สามารถตรวจสอบได้พ่ะย่ะค่ะ” “ทำไมถึงไม่ได้” สุรเสียงยิ่งกดต่ำ กลิ่นอายเข่นฆ่าแผ่ซ่านรอบกายจ้าวอวิ๋นหยางทำให้เยี่ยนจิ้นหวงอึกอักที่จะตอบ แต่กระนั้นก็พูดออกมาอย่างจำยอม “ตั้งแต่เมื่อสองคืนก่อนจนถึงตอนนี้ องครักษ์เงาไม่อาจแฝงตัวจับตาดูพระชายาอย่างใกล้ชิดได้นาน เพราะเมื่อเข้าใกล้เมื่อใดก็ต้องเผชิญกับควันพิษที่มีฤทธิ์ทำลายดวงตา และหากอยู่นานเกินไปก็ทำให้ขาดอากาศหายใจได้ เช่นนี้พวกเขาจึงสับเปลี่ยนตำแหน่งกันบ่อยครั้ง ทำให้ข้อมูลอาจมีผิดพลาดจึงไม่สามารถยืนยันได้พ่ะย่ะค่ะ” หัวคิ้วจ้าวอวิ๋นหยางจากที่ใกล้ประชิดกันยิ่งจรดจนแทบผูกเป็นปม “เจ้ากล่าวถึงควันพิษ ทว่าจนถึงบัดนี้นางเป็นผู้อาศัยอยู่อารามแห่งนั้นกลับไม่ตาย นางมิใช่ผู้ฝึกฝนวรยุทธ ร่างกายนางจะทนพิษได้นานกว่าพวกเจ้าได้อย่างไร” “เรื่องนี้..ไม่ทราบว่าพระชายารู้หรือคาดเดาเก่ง ควันเหล่านั้นถูกพัดมายังทิศทางที่องครักษ์เงาซ่อนกายไว้อย่างแม่นยำ อีกทั้งนางยังสวมผ้าป้องกันหลายชั้น บางครั้งกระหม่อมแอบเห็นนางน้ำตาไหลอยู่บ้างและกล่าวขมุบขมิบอะไรบางอย่าง เมื่อตั้งใจฟังให้ดีถึงรู้ว่ากล่าวสาปแช่งพระองค์ไม่หยุดพักตลอดจนควันหมด... พ่ะย่ะค่ะ” เสียงกล่าวสุดท้ายของเยี่ยนจิ้นหวงแทบไม่ออกลำคอ เมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่ารายงานครั้งนี้ตนเล่าละเอียดยิบย่อยไปหรือไม่ ดูจากพระพักตร์อวิ๋นอ๋องเริ่มเขียวคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ จึงเก็บปากเงียบเชียบ ไม่เล่าต่อด้วยว่าพระชายาหัวเราะเสียงแหลมหูสะใจได้น่ากลัวเพียงใด... “หึ.. ดี” ร่างสูงผุดลุกขึ้นโดนพลัน “เช่นนั้นข้าจะเป็นผู้ตรวจสอบเองว่านางสมควรตายหรือไม่!!” หน้าจ้าวอวิ๋นหยางยามนี้เขียวคล้ำจนเกือบม่วง สะบัดตัวเดินออกจากกระโจมไปรวดเร็ว ด้านเยี่ยนจิ้นหวงได้แต่ก้มหน้าเหงื่อแตกพลั่กภาวนาให้พระชายายังปลอดภัย.. อีกทางด้านหนึ่ง.. แสงเทียนสองแท่งน่าอดสู่ถูกจุดให้ส่องเป็นแสงสลัวในความมืด มันสะท้อนเงาผู้ที่อยู่ ๆ ก็ถูกหมายหัวกำลังนั่งจ๋องตัวสั่นเบียดเสียดกับซูผิง โดยมีพื้นหลังเป็นพระพุทธรูปและภาพวาดใบหน้าคนจำนวนกว่าร้อยชิ้นเป็นสิ่งประดับ ยิ่งตอกย้ำว่าที่แห่งนี้เหมาะแก่การเป็นสุสานอย่างถึงที่สุดและมันคือสุสานจริง ๆ นางไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำ! “แฮ่ก.. ฮือ ฮัดชิ้ว! ซ..ซูผิงข้ารู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูก” จู่ ๆ นางก็รู้สึกหนาวเข้ากระดูก เฟิ่งเซียนฮวาทั้งหอบทั้งหนาวกอดผ้าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม มีเพียงจมูกและดวงตาขาววาวในความสลัวเท่านั้นที่โผล่พ้นผ้าออกมา ซูผิงที่กำลังหันมาตอบก็ชะงักกับภาพที่เห็นเกือบสิ้นชีพเสียให้ได้ แต่ก็มีคำตอบให้กับนาง “เข้าช่วงฤดูกาลอากาศหนาวแล้ว ที่นี่จึงหนาวขึ้นเป็นธรรมดา.. เพคะ” “อ..ไอลูกเต่านั่น รู้อยู่แล้วแน่ว่าที่แห่งนี้เป็นอย่างไรถึงส่งข้ามา ใจร้ายจริง ๆ” เฟิ่งเซียนฮวากล่าวด้วยเสียงเหนื่อยหอบ ย้อนนึกถึงวันที่เขาส่งตัวนางถึงอารามจิ่วผี่ และเหมือนรีบร้อนหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบถึงโยนตัวนางทิ้งลงพื้นราวกับรังเกียจ ก่อนไปก็ขู่นางไว้ให้ขวัญหนีดีฝ่อ และสาเหตุที่นางกล่าวว่าเขาเช่นนี้เป็นเพราะราวหนึ่งก้านธูปที่ผ่านมา นางเพิ่งพบเจอเรื่องน่าสยองที่สุดในชีวิตมาหมาด ๆ ! ก่อนหน้านี้ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจออกกำลังกายประจำวันโดยการหยิบพริกหยิบเกลือที่หลงเหลืออยู่ในอารามมาเผาสาปส่งพ่อพระเอกที่จับฉลากได้ตัวร้ายผู้นั้น กว่าควันจะหายก็ค่ำเสียแล้วและวันนี้ซูผิงได้เนื้อปลามา หลังจากต้องกินแค่มันเทศเผาจิ้มพริกเกลือมาถึงสองวันนางจึงกินเยอะมากกว่าปกติ ที่หาปลามาได้ ต้องกล่าวก่อนว่าอารามซิ่วผี่แห่งนี้ไม่ได้รันทดเสียทีเดียว ด้านหลังอารามยังพอมีธารน้ำไหลและมีปลาในนั้นเยอะมาก อีกทั้งบริเวณหนึ่งยังมีสมุนไพรที่ใช้ทำอาหารได้โตขึ้นเต็มไปหมด แต่ที่มันแย่เพราะเฟิ่งเซียนฮวาได้สำรวจแล้วและพบว่าไม่มีทางไหนที่จะพานางออกจากที่แห่งนี้ได้เลย เมื่อเดินพ้นธารน้ำไปก็เป็นน้ำตกสูงสู่ด้านล่าง น่ากลัวที่สุด! นางไม่เกี่ยงที่ต้องใช้ชีวิตสมถะอยู่ที่นี่หรอก แต่เพราะไม่มั่นใจว่าจะมีเรื่องร้ายใดยามเกิดสงครามขึ้น มันเป็นการดีกว่าหากนางได้กลับจวนสกุลเฟิ่งตามเนื้อเรื่อง ทว่า..อาการปวดหนักเริ่มทำลายสมาธิหาวิธีกลับเนื้อเรื่องเดิมของนาง เฟิ่งเซียนฮวาจึงชักชวนซูผิงไปเข้าส้วมที่ตั้งอยู่ด้านหลังนอกตัวเรือน แต่เหมือนโชคชะตาจะกลั่นแกล้งไม่ให้นางได้พักผ่อน เมื่อตอนเดินไปเข้าห้องส้วมก็เหลือบไปเห็นพื้นที่ชันลาดลงไปด้านล่าง ก็ได้เตือนตัวเองในใจแล้วว่าบางอย่างไม่รู้ย่อมดีกว่าเสมอ แต่!.. ดันเป็นคนขี้เผือกมากประกอบกับต้องการหาทางหนีทีไล่ จึงเดินไปดูพร้อมซูผิงแต่จำต้องผ่านซุ้มต้นไพ่สูงเหนือหัวไปเสียก่อนและทันทีที่หน้าพ้นดงไผ่มาได้นางก็ได้เสียงกร๊อบที่เท้า.. กรอบ.. เสียงบางอย่างหักคาเท้าทำให้ต้องก้มลงมอง “ก..กรี๊ดดดดดดดดด” และนางก็แหกปากกรี๊ดแตกเสียตรงนั้น เมื่อสิ่งที่พบมันคือซากกระดูกใต้ฝ่าเท้าของนาง! ไม่ต้องมองอย่างละเอียดก็เดาได้จากส่วนที่หลงเหลือโผล่ขึ้นมาเหนือดินเป็นส่วนโครงไหล่ช่วงบน หญิงสาวหลับแต่แน่นน้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มเพราะสิ่งที่นางเหยียบไปเต็มเท้าคือหัวกะโหลกไม่ผิดแน่ โอม้าย!! ..นางเผลอไปเหยียบหัวบรรพบุรุษผู้ใดเข้ากัน! “พ..พระชายาเกิดอะไรขึ้นเพคะ!” ซูผิงเร่งตามมาติด ๆ หลังได้ยินเสียงร้องของเฟิ่งเซียนฮวา ภาพที่เห็นคือพระชายายืนนิ่งขาสั่นอยู่หลังป่าไผ่ ซูผิงหันซ้ายขวาก็เห็นพื้นที่โล่งที่มีหญ้าปกคลุมและมีป้ายหินวางเรียงกันนับร้อยชิ้น จวบจนเสียงพระชายาร้องขึ้นมาอีกหนนางจึงละความสนใจจากสิ่งตรงหน้า "ซูผิ๊งงงงง ห..หัว” ใบหน้างดงามเปื้อนด้วยน้ำตาค่อย ๆ หันมาเชื่องช้าเรียกซูผิงเสียงสั่น พยายามขยับแขนชี้บางอย่างบนพื้นทำให้ซูผิงงุนงง ก่อนนางจะมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ลงไปยังเบื้องล่าง และดวงตาต้องเบิกโพลงเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นเศษชิ้นใหญ่บ้างเล็กบ้างสีเทาหม่นใต้ฝ่าเท้าของเฟิ่งเซียนฮวา “นะ.. นะ นะ นั่น หัว” ซูผิงรู้แล้วว่านั่นคือกะโหลกคนจะอ้าปากออกเสียงร้องก็ร้องไม่ออกเพราะตกใจมาก ด้านเฟิ่งเซียนฮวาก็ดันขาแข็งเกิดเป็นตะคริวขึ้นมากะทันหัน ในอากาศหนาวจนหมอกลงเช่นนี้กลับมีเม็ดเหงื่อโชกเต็มกรอบหน้างาม มือเริ่มแข็งและเย็นเยียบ นางต้องใช้แรงเกือบทั้งหมดในการยกขาขึ้นมา “ซูผิง ห...หัว ข้าเหยียบหัวพ่อใครไม่รู้วววว!!” เสียงเฟิ่งเซียนฮวาฟังดูคล้ายโหยหวนเสียคนฟังอดสู่ ซูผิงก็พยักหน้ารู้ตัวสั่นไหวกลั้นเสียงสะอื้นเดินตรงเข้ามาเพื่อช่วยเหลือ แต่แล้วในช่วงลมโกรกพัดพากลิ่นสาบดินชื้นขึ้นจมูก ใบไผ่กระทบกันจนเกิดเสียงทว่ามันกลับมีเสียงซ้อนดังขึ้นเป็นจังหวะหนักหน่วงคล้ายอะไรบางอย่างวิ่งตรงมาทิศทางที่พวกนางยืนอยู่ สวบ..สวบ “!!!!!” บรรยากาศวังเวงในยุคจีนโบราณกับสองสตรีที่เผลอย่างกรายเข้ามาพบหลุมฝังศพนับร้อยชีวิต และกำลังพบกับเรื่องน่าอัศจรรย์ใจเมื่อลมกรรโชกที่พัดมาระลอกหนึ่งหยุดลงแล้ว แต่เสียงสวบสาบกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งเหนือจินตนาการเหล่านี้ทำให้คิดถึงประโยค ‘มันคืออย่างงี้ครับพี่แจ็ค’ เฟิ่งเซียนฮวาร่ำไห้ดันมานึกถึงเรื่องไร้สาระอะไรตอนนี้! ไม่พูดพร่ำทำเพลงขาที่ไร้เรี่ยวแรงก็พาวิ่งตัวปลิวติดลมไปอย่างไม่คิดชีวิต เพียงเสี้ยววิร่างบางก็มาถึงด้านหน้าอารามที่มีแสงสว่างจากเชิงเทียนจุดอยู่ให้อุ่นใจ นางโก่งตัวหายใจหอบหนักทรุดตัวลงนั่งไปกองกับพื้น ไม่นานมากนักซูผิงก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมา และเพราะมันมืดมากเฟิ่งเซียนฮวาถึงไม่ทันสังเกตสิ่งผิดปกติ ซูผิงที่วิ่งตามมาดูคล้ายจะตัวใหญ่ขึ้นบึกบึนขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่เฟิ่งเซียนฮวาไม่รู้และไม่อาจเดาถูกนั่นคือ ลั่วเสวี่ยนได้ปลอมแปลงตัวเองเป็นซูผิงสาวใช้ของนาง การแฝงกายเป็นสตรีเป็นสิ่งที่ยากและอันตรายที่สุด หากจัดกระดูกผิดจุดจะทำให้ทับเส้นชีพจรเสียหาย และหากทำลายตัดแต่งเส้นเสียงผิดก็อาจทำให้เป็นใบ้ไปเลย ซึ่งลั่วเสวี่ยนลองทำครั้งแรกและต้องเร่งมือให้เสร็จด้วยความรวดเร็วเพราะกำลังถูกไล่ต้อน เขาถึงกับต้องยอมรับว่าองครักษ์ในอวิ๋นอ๋องล้วนแต่มีผู้มีฝีมือฉกาจ โดยเฉพาะชายที่ใช้กระบี่ท่วงท่าอ่อนพลิ้วนั้นประมือด้วยยากยิ่ง หากจำไม่ผิดเขามีนามว่า เยี่ยนจิ้นหวง ตระกูลนักดาบมีไม่กี่ตระกูลที่ถูกยกย่องว่ามีฝีมือเก่ากาจ ตระกูลเยี่ยนเป็นหนึ่งในนั้นซึ่งลั่วเสวี่ยนชื่นชอบผู้มีฝีมือเป็นทุนเดิมนึกอิจฉาจ้าวอวิ๋นหยางนักที่มีผู้ติดตามมีความสามารถหาตัวจับยากเช่นเขา แต่ก็เพียงอิจฉาสิ่งที่ควรสนใจคือการหลบหนีไปจากที่นี่ จวบจนเสียงหวานดังขึ้นข้างกาย “ซูผิง.. เจ้าใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบากขนาดนี้เชียวรึ ผิวเจ้าแห้งกร้านเชียว” “...” ลั่วเสวี่ยนในคราบซูผิงหันกลับมามองยังใบหน้างดงามพลางคิ้วกระตุกถี่ที่บังอาจมาต่อว่าผิวกายบุรุษ และออกจะเกร็งตัวจนแข็งทื่อเมื่อคนตัวเล็กข้างกายชักชวนให้เข้ามาซุกใต้ผ้าห่มด้วยกัน.. ลั่วเสวี่ยนไม่รู้ควรทำอย่างไรก็เดินตามมานั่งด้วยอย่างว่าง่าย แต่เขาไม่อาจเดินได้เร็วเพราะเจ็บร้าวเข้ากระดูกไปหมด ทว่ายังคงข่มความเจ็บไว้ได้อยู่ เฟิ่งเซียนฮวาที่เห็นซูผิงเงียบผิดปกติก็หรี่ตามองอย่างสงสัย สำรวจสาวใช้ตัวเองเล็กน้อย และคิดว่านั่นนางเมื่อยขาหรือถึงอ้าขาออกเสียอ้าซ่า กระโปรงตึงจนลมกะพรือพัดเข้าด้านใน ก่อนบางอย่างจะสะกิดความสนใจให้ใบหน้าเล็กเอียงคอมองอย่างสงสัย มันมาพร้อมกับสายตาเกือบรังเกียจจากคนที่นางคิดว่าเป็นซูผิง ลั่วเสวี่ยนสลับมองสายตาของนางที่จ้องไปยังใต้กระโปรงของเขาก็รีบหุบขาโดยพลัน วิชานี้สอนมาเพื่อหลอกลวงสายตาผู้คน จึงเปลี่ยนได้ทุกอย่างที่ใช้เพื่อหลอกลวงประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่จุดอ่อนเดียวของมันก็คือ.. เขาไม่สามารถหักตัดตอนของคู่กายคู่ใจตั้งแต่กำเนิดได้ไงเล่า!! สตรีหน้าไม่อาย! “พระชายามองอะไร...เพคะ” ประโยคต่อท้ายเพคะตามมาด้านหลังช้าหลายอึดใจ ลั่วเสวี่ยนไม่คุ้นชินในการปลอมตัวเป็นสตรีจึงทำตัวไม่ถูก แต่โชคดีที่นั่นไม่ได้อยู่ในความสนใจของเฟิ่งเซียนฮวา ขณะนั้นคิ้วเรียวสวยของสตรีขมวดม้วนเป็นปมขณะขยับเข้ามาใกล้ลั่วเสวี่ยนเรื่อย ๆ “ซูผิง..นี่เจ้า” นางคลานมาหยุดตรงหน้าลั่วเสวี่ยนที่หนีบผ้าและกระโปรงจนรวมเป็นเนื้อเดียวกันปกปิดสิ่งลับและถอยหลังกรูดชิดผนัง โดยมีสายตาของสตรีหน้าไม่อายจับจ้องตรงส่วนลับส่วนหวงไม่ละสายตา! มันน่าเจ็บใจนักเพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาถึงยี่สิบหกปีเขาไม่เคยประสบภัยเช่นนี้มาก่อนในชีวิต!! และในตอนที่ลั่วเสวี่ยนคิดว่าสับคอนางให้สลบเลยดีหรือไม่ บางอย่างบนขาก็ถูกกระชากออกเป็นกระจุก! ความเจ็บปวดแล่นจนเขาอดกลั้นเสียหน้าแดง จึก!! “!!!” อ้ากกก... ตะโกนแบบไร้ซึ่งเสียง.. “เจ้ามีขนขาเยอะรุงรังขนาดนี้เลยเหรอ สตรีนั้นต้องสะอาดเกลี้ยงเกลาถึงจะเผยผิวงดงามได้” เส้นขนจำนวนเกือบสิบเส้นถูกยื่นส่งมาตรงหน้าลั่วเสวี่ยนด้วยมือเล็กเป็นผู้ขยุมมันขึ้นมา เขากัดฟันอดกลั้นจนหน้าคล้ำเขียว แน่นอนว่าความเจ็บแค่นี้ไม่ระแคะระคายหากไม่ใช่ว่าเขาบาดเจ็บจากการใช้วิชามา แต่ไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้านี้จงใจแกล้งเขาหรือไม่ถึงได้กล่าว “หื้ม.. เจ้าเจ็บมากเหรอเนี่ย อดทนหน่อย” “!!” ลั่วเสวี่ยนส่ายหน้าพรืด ดวงตาเขียวปั๊ดเพราะความโกรธสลับแดงก่ำ น้ำตาบุรุษผู้ไม่เคยหลั่งให้ผู้ใดกำลังทยอยไหลเอ่อคลอรอบดวงตา สวรรค์ช่วยเขาด้วยช่วยพาเขากลับบ้านที!! และในตอนที่ลั่วเสวี่ยนกำลังถูกนางมารร้ายเฟิ่งเซียนฮวารุมทึ้งก็มีเสียงสวรรค์เอ่ยขัดขึ้นกลางขัน “เฟิ่งเซียนฮวา.. เจ้านี่เองที่กล้าซุกซ่อนศัตรูไว้ใต้จมูกข้า” “!!” สตรีเจ้าของชื่อเด้งตัวลุกจากพื้นโดยสัญชาตญาณเนื่องจากจดจำเสียงมัจจุราชได้ดีเพราะก่อนหน้านี้มีคนได้ขู่ด้วยเสียงแบบนี้ กดต่ำประมาณนี้และให้ความรู้สึกอันตรายเย็นยะเยือกประมาณนี้ว่า ‘หากก่อเรื่องให้ข้าอีกเมื่อใด ข้าจะสังหารเจ้าเองกับมือ’ ร่างสูงของบุรุษเดินเข้ามาใบหน้าฉายชัดถึงความโกรธเกรี้ยว ผ้าคลุมสีดำขยับรุนแรงตามการเดินหนักหน่วง จวบจนประชิดร่างเล็กที่ยืนตกตะลึง และเฟิ่งเซียนฮวาต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเก่าเมื่อคิดว่าต้องตายแล้ว มือหนากลับรวบตัวนางดันเข้าหาอกแกร่งของเขา ช่วงเวลาเดียวกันกระบี่เล่มยาวก็ถูกชักออกมาชี้ไปยังซูผิงที่อยู่ด้านหลังของนาง เอ๋..... นางตกอยู่ในความงุนงงและสับสน กระทั่งความจริงก็ได้ปรากฏ เมื่อเห็นแสงจากเชิงเทียนสะท้อนเงาบนพื้น เงาเทียบเท่าโครงสร้างร่างกายสตรีกำลังค่อย ๆ ขยายขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ เฟิ่งเซียนฮวาตาเบิกโพลงงุนงง จวบจนเสียงหวานของซูผิงที่นางเคยได้ยินยามเอ่ยขึ้นมาคราวนี้กลับเป็นเสียงทุ้มต่ำของบุรุษเสียอย่างนั้น “ไม่คิดว่าคนเช่นข้าจะโดนจับได้รวดเร็วเช่นนี้ อวิ๋นอ๋องเฉลียวฉลาดยิ่งนักมองครั้งเดียวก็จับผิดข้าได้แล้ว” "ข้าแค่เก่ง.." จ้าวอวิ๋นหยางตอบเสียงนิ่ง แต่เกิดเป็นความเงียบขึ้นมาหลายอึดใจ.. ทั้งสองคนในที่แห่งนี้คิดเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเจอคนเช่นนี้!! แต่สิ่งที่เฟิ่งเซียนฮวาสนใจเป็นชายที่อยู่ด้านหลังมากกว่า ดังนั้นจึงค่อย ๆ เหลือบตาหันไปมอง “ (0.0) ” และเกือบหลุดขำในสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อเห็นว่าซูผิงกำลังเปลี่ยนไป.. มีบุรุษรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่งแทนที่ เขามีร่างกายหนากำยำแต่ดันมีชุดกระโปรงสีเขียวของสตรีหดเล็กอยู่บนลำตัว... อย่าขำนะเฟิ่งเซียนฮวา!!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD