บทที่ 4
นางจะรอดกี่โมง
กำหนดการส่งตัวนางรวดเร็วภายในสามวัน เมื่อแหงนมองท้องฟ้าก็พบว่าอีกไม่นานจะเริ่มมืด ดวงจันทร์เสี้ยวหนึ่งปรากฏขึ้นหลังม่านหมอกหนา อากาศเย็นในช่วงเวลาปลายฝนต้นหนาว ปล่อยหยาดพิรุณเม็ดเล็กเป็นละอองถมวิสัยทัศน์ทั่วหยางโจว เส้นทางขรุขระตลอดสายทำเอาร่างบางหลังแทบเดาะ ไม่พอต้องระมัดระวังไม่ให้ลื่นล่วงลงไปเพราะพื้นเริ่มเปียกจากละอองเม็ดฝน
“แฮ่ก.. ช้าหน่อย”
ในมือถือไม้ค้ำพยุงส่วนอีกมือเล็กกวักเรียกบุรุษฉกรรจ์ที่ทำเหมือนการเดินขึ้นผาชันง่ายเพียงดีดนิ้ว ในโลกยุคจีนโบราณที่ผสมผสานวิชายุทธทำให้พวกเขาสามารถใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินเดินอากาศ ผิดกับสตรีเช่นนางที่ต้องเรียนศาสตร์ทั้งสี่ หนึ่งวันเรียนเย็บปักถักร้อย อีกวันหนึ่งต้องคัดและท่องตำราหรือไม่ก็นั่งหน้าขาวอวดความสวยให้พ้นวัน เรื่องการจับดาบร่ำเรียนวรยุทธไม่มีทางได้แตะต้อง ตอนนี้นางจึงก้าวเท้าขึ้นหนึ่งขั้นพวกเขาก็โดดไปแล้วถึงสิบขั้น
สูนแท้เด้!!
“โอย ช้าก่อน ข้าเดินไม่ไหวแล้วหยุดก่อนเถอะ”
สาเหตุที่ต้องเดินขึ้นมาเพราะเส้นทางขึ้นไปนั้นทั้งแคบและชัน ยิ่งเดินขึ้นมาสูงเท่าไหร่ช่องว่างในการเดินยิ่งบีบลงให้เหลือแค่หนึ่งคนเดินผ่านได้เท่านั้น
ร่างบางหย่อนก้นลงนั่งพื้นไม่กลัวสกปรก ด้วยร่างกายเฟิ่งเซียนฮวาบอบบางดั่งกระดาษเปียก แม้จิตใจเป็นหญิงแกร่งที่เคยทำงานแบกหามฉาบปูน แต่เมื่อย้อนเวลากลับมาแล้วจึงเป็นร่างเดิมที่ไม่เคยต้องใช้ชีวิตบุกบั่นดั่งชายชาตรีเช่นเก่า จะอ่อนแอง่ายก็ไม่แปลก
ซูผิงเป็นกังวลตั้งแต่ย่างเท้าขึ้นผาเดินตามมาด้านหลังรีบขยับร่มกระดาษช่วยบังหยาดฝน สายตาระแวดระวังก้มลงเอ่ยกับเฟิ่งเซียนฮวาเสียงเบา “พระชายาหม่อมฉันได้ยินมาว่าแถวนี้วิญญาณร้ายชุมนัก ก่อนย้ายเมืองหลวงไปยังที่อื่น เมืองหยางโจวแห่งนี้ก็เคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน แต่เพราะมีผาเขาปิดล้อมรอบสี่ทิศไม่เป็นมงคล เชื่อกันว่าจะทำให้เกิดภัยและเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ช่วงเวลานั้นหยางโจวทำศึกไม่เคยชนะ หลายชีวิตถูกสังเวยในสงคราม”
เฟิ่งเซียนฮวาเบิกตากว้างกับความรู้ใหม่ ยิ่งน้ำเสียงซูผิงกระซิบเชื่องช้ายิ่งสร้างบรรยากาศวังเวง “และอารามจิ่วผี่นี่ ก็อยู่มาตั้งแต่เมืองหลวงเก่าสร้างขึ้น ว่ากันว่าบนนั้นมีบรรพบุรุษเรานับร้อยชีวิตหลับใหลอยู่ แต่เดิมเคยเป็นสถานที่ห้ามมีผู้ใดย่างกราย ภายหลังเกิดการกบฏขึ้นจึงถูกละทิ้งทรุดโทรม และนำกลับมาใช้ใหม่ โดยสนมหลายคนหรือแม้แต่กุ้ยเฟยในบางรัชสมัยก็ถูกส่งมาขังลืมไว้ที่นี่ และสิ้นใจลงโดยไม่มีใครรู้เพคะ”
ใบหน้าลุ้นในคราวแรกเปลี่ยนเป็นนิ่งงันโดยพลัน สามารถลืมเรื่องนี้ไปจากสมองทันหรือไม่.. “....”
เมื่อฟังจบเฟิ่งเซียนฮวาเริ่มคิดหนักแล้วว่า ซูผิงนั้นใสซื่ออยากเล่าสู่กันฟังหรือต้องการสาปแช่งนางกันแน่ ทั้งยังกล่าวซ้ำด้วยใบหน้าขลาดกลัวนั่นอีกว่า “น่ากลัวยิ่งเพคะ”
“อื้ม!!”
นางต่างหากที่ต้องกลัว! สรุปแล้วนางกำลังจะถูกทิ้งให้แห้งกรังเบื้องหลังอารามนั่นใช่หรือไม่! อีกทั้งยังมีวิญญาณผีร้ายสิงสู่ต่อให้พิสูจน์ได้หรือไม่ได้ ให้ตายนางก็ไม่อยู่!
ชิส์ เจ้าลูกหมานั่นคิดฝากขังลืมนางหรือ!
“พระชายา ขออภัยที่ต้องขัดบทสนทนาพ่ะย่ะค่ะ”
“!!”
ระหว่างครุ่นคิดเกิดตาชั่งน้ำหนักภายในใจระหว่างช่างหัวพระเอกจ้าวอวิ๋นหยางผู้นั้นกับตั้งใจเป็นคนเชื่องไม่ให้มีผลกระทบต่อตัวนางในภายหลัง เวลาเดียวกันองครักษ์ผู้หนึ่งสวมชุดสีดำสนิทยิ่งในความมืดยิ่งกลมกลืนมองไม่เห็น ใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าสีดำเช่นเดียวกับสีชุดปิดมิดชิดหลงเหลือเพียงลูกตาขาวในความมืด เขาปรากฏกายขึ้นเงียบเฉียบข้างตัวนาง ขนาดซูผิงยังตกใจเผลอทำร่มกระดาษหลุดมือ
เฟิ่งเซียนฮวาขนลุกเกรียวทั่วทั้งตัวเกือบตะโกน บักห่าเมิงงง!!
หัวใจดวงน้อยแทบทะลุออกจากอก มือเล็กตบอกเบา ๆ เรียกขวัญตัวเองปอย ๆ เอ่ยตอบเสียงสั่น “มีอะไร”
ผู้มาใหม่ตอบกลับเสียงนิ่ง “ผาชันจิ่วผี่นี้อยู่ห่างจากป่าไผ่ไม่มาก ด้านหลังป่าไผ่เป็นที่ซุกซ่อนของโจรอย่างดี อยู่กลางแจ้งในที่มืดเช่นนี้ไม่ปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจำต้องเร่งความเร็วขึ้น ไม่ไกลนักราวสี่ลี้จึงใกล้ถึงจุดหมาย พระองค์ช่วยลุกขึ้นมาเถอะ”
“...”
เฟิ่งเซียนฮวาเบิกโพลงนั่งนับทวนเลขภายในใจ..หากเทียบอัตราการวัดระยะในปัจจุบันแล้ว หนึ่งลี้จะเท่ากับห้าร้อยเมตรเท่ากับว่าสี่ลี้จะเท่ากับสองพันเมตร บวกลบกับระยะทางที่เดินมาร่วมสามลี้เบ็ดเสร็จแล้วอารามที่ว่าจะอยู่สูงขึ้นไปทั้งสิ้น
“สองพันห้าร้อยเมตร!!”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยมองนิ้วมือเล็กถูกยกขึ้นมาหักลบกับวิธีการเรียกที่แปลกหู กระนั้นก็ตอบอย่างนิ่งเฉยเช่นเดิม
“พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วข้าต้องเดินขึ้นไป” ปลายนิ้วกลมมนชี้ขึ้นไปเหนือศีรษะ ที่ต่อให้เพ่งมองเท่าไหร่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอารามจิ่วผี่ที่ว่า เขากลับบอกให้นางเดินขึ้นไป แล้วมันจะถึงกี่โมง..?
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่วงท่าที่แสดงออกรวมถึงคำพูดแข็งกระด้างราวกับไม่ระแคะระคายสักนิดว่านางผู้ไม่มีวรยุทธเช่นพวกเขาจะเร่งตามทันความเร็วได้อย่างไร ปกติแล้วนางคงไม่ถือสาและพยายามทำตามเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อน ทว่าดวงตาคู่คมภายใต้ผ้าสีดำปกปิดนั้นดูคล้ายผู้ที่ส่งนางมาขังลืม มันทำให้นางอารมณ์เสียขึ้นมาเล็กน้อย
“แล้วข้าต้องเร่งฝีเท้าตามความเร็วพวกเจ้าให้ทัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วข้าไม่มีวรยุทธ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดเป็นอยู่คำเดียวหรืออย่างไร” ดวงตากลมโตช้อนขึ้นค้อนมองอีกฝ่าย ไม่รู้เพราะเขาสูงมากหรือเป็นนางที่เตี้ยเกินไป ดวงตาของอีกฝ่ายถึงกดต่ำจวนจะหลุดจากเบ้า
แล้วเขาก็ตอบกลับมาแทบจะทันทีว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“...” ยามปกตินางเป็นคนควบคุมสติได้ดี แต่เมื่อพบคนกวนประสาทก็อาจทำให้ปรีดแตกได้..
เฟิ่งเซียนฮวาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหลังจากนั่งอยู่นาน ริมฝีปากอิ่มเม้มจนเป็นเส้นตรงหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ
ดูก็รู้ว่าบุรุษผู้นี้กำลังกวนประสาท!
นางพยายามกล่าวกับตัวเองว่าอย่าให้ความโกรธเข้าครอบงำ มุมปากสวยได้รูปถึงฝืนยิ้มออกมาได้แม้ดวงตาจะไม่ได้ยิ้มตามก็ตาม..
“ดี ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีทั้งวรยุทธและหมดแรงแล้ว คงเร่งฝีเท้าตามความเร็วเจ้าไม่ทันแน่” นางเว้นช่วงคำไว้ครู่หนึ่งเพื่อดูว่าชายตรงหน้ามีท่าทีอย่างไร แล้วเห็นว่าเขากำลังสงสัยนางจึงได้เอ่ยถึงสิ่งที่คาดไม่ถึง
“เมื่อเจ้าเร็วกว่าข้ามาก ฉะนั้นก็แบกข้าไปเสียสิและแบกซูผิงด้วยเพราะนางก็ใช้วรยุทธไม่เป็น”
“แค่ก..”
“พะ พะ พระชายา!”
สิ้นวาจาทั้งซูผิงและบุรุษตรงหน้าต่างมีสีหน้าราวกับเห็นผี ซูผิงหน้าแดงก่ำในขณะที่ชายไร้นามตรงหน้าสำลักลมหายใจเปลี่ยนท่าทีแข็งกระด้างเป็นถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แล้วดูแววตาที่หรี่มองนางอย่างกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดนั่นสิ ยิ่งทำให้นางชอบใจนัก
ก่อนนางจะกล่าวต่ออย่างไม่ยี่หระพลางจิ้มไปทีละส่วนตามคำพูดตัวเอง ทำให้ชายหนุ่มต้องเบือนหน้าหนีรวดเร็ว!
“ข้าเอวบางยี่สิบหกอกสามสิบห้า เชบบ้ะไม่มีผู้ใดเกิน ตัวก็เบาราวกับนุ่นอุ้มง่ายพกพาง่าย ตัวเจ้าที่แข็งแรงคงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพราะแบกสตรีเพียงสองคนกระมัง”
“...”
ระหว่างที่นางพูดบุรุษชุดดำตรงหน้ายืนนิ่งแข็งเป็นหินไปก่อนแล้ว พร้อมกับคำถามในหัววนเวียนไม่รู้จบ เชบบ้ะคือผู้ใด..
และเพื่อที่นางไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเดินต่อถึงสามสี่ลี้ข้างหน้า ร่างบางจึงกล่าวหว่านล้อมไม่พอยังทำเสียงออดอ้อนเอาใจเล็กน้อยพร้อมกับยกแขนสองข้างขึ้นมากระดิก ๆ เรียก เพราะเข้าใจเอาเองว่า สาเหตุที่ชายผู้นี้ไม่ยินยอมต้องเป็นเพราะนางยังอยู่ในสถานะพระชายาอวิ๋นอ๋องแน่
“โดนตัวข้าสักหน่อยคงไม่มีผู้ใดโกรธเจ้าหรอก คนผู้นั้นจิตใจอำมหิตเขี่ยข้าทิ้งแล้ว เจ้าจะหวาดกลัวความผิดไปทำไม นี่ก็เหตุจำเป็น มิใช่ว่าเราต้องรีบขึ้นไปรึ”
ผู้ใดที่ว่านางหมายถึงจ้าวอวิ๋นหยาง ถึงขนาดใจดำส่งนางมาขังลืมที่นี่คงไม่มีจิตใจจะเฝ้าตามดูนางเช่นกัน แล้วผู้ใดจะล่วงรู้ต่อให้ล่วงรู้เขาก็คงไม่ติดใจเอาความเพราะนางมิได้อยู่ในความสนใจของผู้เป็นสวามีแม้แต่เสี้ยวเดียว อีกอย่างนางจะยอมถือตัวเพื่อให้ขาหักทำไม ในเมื่อก็มีคนที่ใช้งานได้อยู่ตรงหน้า!
...ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบที่ต้องการ จู่ ๆ ก็มีมือปริศนาเอื้อมมาจากด้านหลังเฟิ่งเซียนฮวา จับเข้าที่คอเสื้อแล้วหิ้วตัวนางขึ้นฉับพลัน!
ฟึบ!
“กรี๊ด!” ครั้งนี้นางตกใจและร้องออกมาจริง ๆ
คนถูกหิ้วลอยขึ้นเหนือพื้นราวกับถูกเด็ดขึ้นมาจากริมทางแสนง่ายดายด้วยแขนแกร่งเพียงข้างเดียว นางร้องได้เพียงหนึ่งแอะและเงียบเสียงไปเมื่อพริบตาเดียวที่ถูกจับหมุนกลับมาต้องเผชิญหน้ากับพระพักตร์หล่อเหลาและพระเนตรคู่คมอันแสนคุ้นเคย
แล้วมาตั้งแต่ตอนไหนเอ่ย...
เท่าทันความคิด จ้าวอวิ๋นหยางได้ตอบคำถามนางในหัวด้วยสุรเสียงเยือกเย็นทันทีว่า “แม่นางเอวยี่สิบหกอกสามสิบห้า คนจิตใจอำมหิตผู้นี้จะเป็นคนพาเจ้าไปส่ง”
เยี่ยม..ชัดเจน ถึงตอนนี้เริ่มจะแน่นลำคอเพราะถูกผ้ารัดก็ทำได้เพียงตอบกลับเสียงแหบแห้งว่า
“เพคะ..อวิ๋นอ๋อง”
ค๊อก..แง T^T
ในขณะเดียวกัน องครักษ์ผู้นั้นคุกเข่าก้มหน้าลงเบื้องหน้าจ้าวอวิ๋นหยางทันทีตั้งแต่เขามาถึง รวมถึงองครักษ์คนอื่นที่เพียงพริบตาเดียวก็มาคุกเข่าทำความเคารพตามมาติด ๆ
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะอวิ๋นอ๋อง”
นั่นทำให้จ้าวอวิ๋นหยางต้องขยับตัวไปเสวนาด้วย และเพราะแบบนั้นตัวเฟิ่งเซียนฮวาที่ถูกเขาหิ้วคออยู่ก็ถูกเหวี่ยงมาด้านข้าง
“อาทิตย์เพิ่งตกดินไปได้ไม่นาน ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ หากในป่ามีโจรก็สังหารโจร หากมีศัตรูก็สังหารศัตรู ผู้ใดที่วางมือบนของของข้าเท่ากับท้าทายข้า ไม่จำเป็นต้องละเว้นชีวิตมัน”
ลั่วเสวี่ยน ชะงัก คำพูดอีกฝ่ายไม่มีความลังเลที่จะสังหารคนอย่างเลือดเย็นและพูดกับเขาแน่ ถึงมองไม่เห็นอีกฝ่ายแต่ก็รู้ว่าจ้าวอวิ๋นหยางผู้นี้มีสายตาเฉียบคม ก่อนแฝงตัวเข้ามาลั่วเสวี่ยนได้ยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวอวิ๋นหยางและพระชายาของเขานั้นเข้าขั้นย่ำแย่ แต่เพราะตระกูลเฟิ่งมีความสำคัญทำให้ตัวเฟิ่งเซียนฮวามีความสำคัญไปด้วย
ขณะนี้ศึกระหว่างหยางโจวและหานชิ่งใกล้ปะทุขึ้นทุกทีแต่หานชิ่งยังไม่เห็นหนทางชนะ ทางนั้นจึงจงใจใช้วิธีสกปรกหาหนทางทุกอย่างเพื่อปั่นป่วนจากภายในซึ่งเขาไม่เห็นด้วย ถึงอย่างนั้นแม้ไม่ได้มีส่วนได้เสียในศึกครั้งนี้แต่เพราะสถานะยังคงเป็นอ๋องฝ่ายศัตรูหากพ่ายแพ้ลงคงได้ตกเป็นเฉลยแคว้นจ้าวให้อับอาย อีกทั้งผู้เป็นสหายคนหนึ่งต้องลำบากแน่หากจ้าวอวิ๋นหยางไม่มีภาระห่วงอันใดให้บั่นทอนกำลัง เช่นนั้นจึงคิดยื่นมือเข้าช่วยเล็กน้อยกะเอาไว้ว่าจะหยิบยืมพระชายาตัวน้อยของอวิ๋นอ๋องไปเที่ยวเล่นสักหน่อย ต่อให้เขาดูคล้ายไม่ใส่ใจแต่เฟิ่งเซียนฮวาย่อมมีความสำคัญไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ท้ายที่สุดต้องมีรับสั่งให้ออกตามหาแน่
แต่คาดไม่ถึงว่าจ้าวอวิ๋นหยางจะกล้าปรากฏตัวในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ หรือเป็นเพราะลำพองใจมากว่าตนเองจะชนะศึกถึงดูไม่ทุกข์ร้อน ยิ่งไปกว่านั้นลั่วเสวี่ยนมาถึงถิ่นศัตรูย่อมมั่นใจในวิชาฝังเข็มสับเปลี่ยนใบหน้าแต่วิชานี้มีเวลาจำกัด เช่นนั้นจึงหลบเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าไว้เป็นการดีที่สุด แม้ไม่ได้เกรงกลัวหากต้องประมือกันสักหนึ่งครั้งเพียงแต่เขาอยู่ในบ้านศัตรูจึงไม่เห็นว่าควรเสี่ยงสักเท่าไหร่
ด้วยลั่วเสวี่ยนเกรงว่าอยู่นานจ้าวอวิ๋นหยางอาจจับสังเกตได้จึงตอบรับสั่งและประสานมือทำความเคารพรวดเร็ว
“พ่ะย่ะค่ะอวิ๋นอ๋อง”
ทว่า... “แต่ช้าก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ..”
ลั่วเสวี่ยนจะเดินออกไปอยู่แล้วแต่กลับถูกรั้งเอาไว้ น้ำเสียงจ้าวอวิ๋นหยางสงบนิ่งก็จริงอยู่แต่ลั่วเสวี่ยนกลับรู้สึกไม่สบายใจมากอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายหากอีกฝ่ายรู้ตัวตนเขาแล้ว ลั่วเสวี่ยนจึงเตรียมมือตั้งรับกำลังจะหยิบอาวุธลับใต้แขนเสื้อออกมา หากอีกฝ่ายตรงเข้ามาก็ว่าจะสังหารในทันที
ส่วนจ้าวอวิ๋นหยางมองขาดตั้งแต่แรก คิดไว้แล้วส่วนหนึ่งว่าข่าวเรื่องส่งตัวเฟิ่งเซียนฮวามานี่ที่ควรเป็นความลับอาจรั่วไหลจึงเฝ้าตามดู นึกไม่ถึงว่าจะมีชายผู้มีทักษะที่ดีเยี่ยมเกือบหลอกสายตาเขาได้ก็ยกคิ้วคล้ายสนใจ
ทว่าในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุย.. เฟิ่งเซียนฮวาแทบอยากกำหมัด ไม่ทราบว่าพวกเขาลืมนางที่ห้อยโต่งเตงอยู่ตรงนี้หรือไม่ ผ้าก็เริ่มรัดคอแน่นขึ้นจนมือที่พยายามเกี่ยวคั่นกลางระหว่างผ้าและลำคอแรงรัดมันดันจนกำปั้นแทงคอหอยไปแล้ว
อึก..ค๊อก.. จะตายแล้วเว้ย!!
แต่บุรุษสองคนยังไม่วายเสวนากันต่อ.. “เมื่อมีคนเรียก เจ้าขานแต่ไม่หันมามองผู้พูดจะไม่ดูเป็นการเสียมารยาทไปหน่อยหรือ”
“..อวิ๋นอ๋องเรียกกระหม่อมไว้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใด”
คราวนี้ลั่วเสวี่ยนหันกลับมาเผชิญหน้า ทั้งสองประสานสายตากันอย่างมิมีใครยอมใคร ในระหว่างที่อีกคนถูกเมินไปราวกับว่าไม่มีตัวตนทั้งที่นางกำลังลอยตัวหัวโด่อยู่ตรงหน้าพวกเขาแท้ ๆ !!
เฟิ่งเซียนฮวาไม่รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้ากำลังเกิดอะไรขึ้น เพราะในนิยายไม่เคยกล่าวถึงเหตุการณ์เช่นนี้หรือนางจำไม่ได้ก็ไม่อาจรู้ เนื่องจากนางต้องเป็นแสตนอินในบทนางเอกและเข้าเพียงฉากต่อสู้จึงจำได้ไม่ทั้งหมด แต่ดูทีท่าตรงหน้าแล้วคล้ายจะมีเรื่อง.. นางจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียง
ชั่วอึดใจบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มกดดันขึ้นเรื่อย ๆ องครักษ์ด้านหลังเองก็คล้ายสับสนจึงไม่มีผู้ใดขยับตัว และระหว่างที่ทั้งสองบุรุษกำลังก้าวเท้าเข้าหากัน เสียงหนึ่งก็ดังเล็ดลอดออกมาสวนทางบรรยากาศอึมขรึมเสียน่าตบ
“..ค..ค๊อก..”
“...”
“...”
“คึ้ก.. TOT”
บัดซบ!! แต่..แต่ว่านางหายใจไม่ออกแล้ว
นอกจากเสียงเล็ดลอดน่าสังเวช ใบหน้าคมคายที่หันกลับมามองยังเบะปากรังเกียจอีกด้วยเมื่อเห็นข้างริมฝีปากอวบอิ่มมีน้ำใสกำลังไหลย้อยลงตรงมุมปาก เฟิ่งเซียนฮวาอับอายขายขี้หน้าเป็นที่สุด! แต่จะร้องก็ร้องไม่ออกจะโกรธก็โกรธไม่ไหว
ได้แต่ก่นด่าไอคนหน้าขาวตรงหน้าขอให้ฟ้าเป็นสักขีพยานว่าไอบ้านี้เบะปากรังเกียจใส่นางตอนนางใกล้ตาย!!
จ้าวอวิ๋นหยางสัมผัสได้ถึงแรงสั่นแผ่วเบาใต้ฝ่ามือกับเห็นแก้มขาวอมลมกลั้นเสียงจนแก้มป่อง ยามใบหน้าเล็กเริ่มแดงขล้ำจนเกือบม่วงก็ขบสันกรามแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วดวงตากลมโตก็ต้องเบิกโพลง เมื่อจู่ ๆ จ้าวอวิ๋นหยางก็ช้อนตัวนางขึ้นด้วยสองมือแทน
“สตรีเช่นเจ้าสร้างความวุ่นวายต่อข้าไม่เลิก เจ้าจะใช้นามแฝงว่าเชบบ้ะเพื่อการใดข้าไม่รู้ แต่อย่าให้มันเดือดร้อนมาถึงข้าแล้วกัน”
“...”
แน่นอนว่านางขอบคุณเขาที่ช่วยคืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายมาให้ แต่ขอโทษนะเพคะใครมันอัญเชิญพระองค์มาตรงนี้ไม่ทราบ แล้วใครเขาอยากมีนามแฝงว่าเชบบ้ะ ไม่ต้องพูดดดด! เฟิ่งเซียนฮวาอยากจะกล่าวออกไปเช่นนั้น เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายไม่รีรอให้นางได้คิดเปิดปากด่าก็กระโดดขึ้นเหนือพื้นพุ่งไปยังทิศทางด้านหน้ารวดเร็วจนผมนางกระพือลมตีหน้าแสบทั้งแถบเลยทีเดียวเชียว.. และกว่าจะถึงอารามจิ่วผี่ หน้านางก็แดงสุกประหนึ่งเอาหน้าจุ่มแดด..
..ขอบคุณ แต่ทีหลังอย่าดีกว่า