ตอนที่3 อย่างน้อยก็รอดหวุดหวิด

2391 Words
บทที่ 3 อย่างน้อยก็รอดหวุดหวิด! “.....” ถึงแม้ใจจะห้าวหาญแต่คนเตี้ยกว่ายังยืนนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อนเพียงเห็นสายตาเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใด “.....” จ้าวอวิ๋นหยางยังคงเงียบและเฝ้าดูนางเช่นนั้นราวกับต้องการสำรวจเจ้าแมวขโมยตัวน้อยนี่ให้ละเอียด ท่าทางนิ่งค้างไม่ขยับเขยื่อนแม้ว่ามือและเท้าจะอยู่ในท่าเตรียมเดินของนางมันทำให้เขางุนงงเล็กน้อย เมื่อหลายวันก่อนที่นางจะบาดเจ็บ ไม่รู้ว่านางไม่มีหัวคิดหรือมีความอาจหาญผิดวิสัยสตรี ถึงกล้าลอบเข้ามาในห้องของเขาโดยไม่รู้ว่าเขาเองก็อยู่ในห้อง และเห็นการกระทำของนางทุกฝีก้าว เจ้าตัวทำเหมือนโจรเด็กเล่นที่สำรวจข้าวของของเขาไปทั่ว กระทั่งพบกับแผ่นป้ายประจำตัวบนโต๊ะ นางเหมือนชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบมันออกไป เมื่อให้คนตามสืบเรื่องของเฟิ่งเซียนฮวาย้อนหลังก็พบว่านางใช้ป้ายของเขาเพื่อลอบเข้าตำหนักโคมแดงในตอนกลางดึกก็เท่านั้น ทั้งตัวของนางและป้ายประจำตัวทั้งสองสิ่งไม่เคยอยู่ในความสนใจของจ้าวอวิ๋นหยาง เขาเพียงอภิเษกกับนางตามคำสั่ง ต่างคนต่างอยู่เป็นการดีที่สุดและเฟิ่งเซียนฮวาก็ให้ความร่วมมือย่างเต็มที่ที่จะไม่เกี่ยวข้องกัน ถึงอย่างนั้นการลักลอบเข้ามานับว่าเป็นความผิด หากไม่สั่งสอนสักคราวันหน้าเจ้าแมวขโมยน้อยตัวนี้อาจไม่หลาบจำ.. ในขณะที่จ้าวอวิ๋นหยางกำลังครุ่นคิดถึงวิธีการลงโทษนาง เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่ว่าก็ยังไม่กล้าปริปาก เฟิ่งเซียนฮวาไม่เคยเข้าใจบุรุษผู้นี้อย่างท่องแท้ แต่งเข้าจวนมาได้ร่วมครึ่งปีพูดกับผู้เป็นสวามีนับครั้งได้ กระทั่งรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นางและเขาเกลียดชังกันเข้าไส้ แล้วจบลงด้วยการทรมานนางจนตาย! ยามในสถานการณ์เป็นปกติเช่นนี้ไม่เคยพบไม่เคยเจอเช่นเดียวกัน!! ฮือ.. กดดันชะมัดเลยวุ้ย T^T เมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบ สุดท้ายเฟิ่งเซียนฮวาก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนเพื่อทำลายความอึดอัดนี้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พลางมองหาตัวช่วยอย่างซูผิง ก่อนจะพบว่าเบื้องหน้าประตูบานนั้นที่ควรมีซูผิงยืนอยู่กลับไม่มีวี่แววคนให้เห็นแม้แต่เงา!! ซูผิ๊ง!! “อ..อวิ๋นอ๋อง หม่อมฉันกำลังตามหาพระองค์ ได้ยินว่าพระองค์กำลังทำศึกในไม่ช้า หม่อมฉันที่เป็นพระชายาของพระองค์อาจไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก จึงคิดว่านอกจากคำอวยพรจากหม่อมฉันจึงไม่น่ามีสิ่งอื่นใดแล้ว อีกทั้งพระองค์ยังให้ความเมตตาหม่อมฉัน...” ดวงตากลมโตลอบมองอีกฝ่ายขณะพูด เมื่อยังเห็นความนิ่งเงียบ ก็คิดในใจว่า เอ้อไม่รู้มันแล้วพูด ๆ ไปก่อน แต่มันก็เป็นความจริงนะ! “....” “เรียกหมอยาฝีมือดีที่หายากในเมืองนี้มาให้เป็นการด่วน หลังจากฟื้นขึ้นและรู้เรื่องจากปากซูผิง หม่อมฉันก็รีบร้อนออกมาหาพระองค์ทันที โดยไม่ทันฉุกคิวว่าพระองค์อาจไม่อยู่ในเรือนในวันที่วุ่นวายเช่นนี้จึงถือวิสาสะเข้ามา อวิ๋นอ๋องโปรดให้อภัย คราวหน้าคราวหลังหม่อมฉันจะไม่กระทำเช่นนี้อีก” ศีรษะค้อมลงเพื่อแสดงออกว่านางสำนึกผิดจากใจจริง ทว่าเสียงทุ้มเล็ดลอดผ่านลำคอก็ดังขึ้นมาให้หัวใจสั่นอีกครา “หึ” “0-0!” เฟิ่งเซียนฮวาตาเหลือกโตเท่าไข่ห่าน ใจนี้ล่วงไปกองที่ตาตุ่ม ยังดีที่ก้มหน้าอยู่จึงสามารถลบสายตาจ้าวอวิ๋นหยางไว้ได้ ขณะที่เงาร่างสูงเดินผ่านตัวนางไปด้านหลัง ความร้อนในกายพลันพลุ่งพล่านพร้อมกับเลือดที่สูบฉีดเพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าด้านหลังที่เขาเดินตรงไปนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่! “เจ้า..ตามหาข้า” เพียงเสียงทุ้มต่ำไร้ความรู้สึกใดเจือปนเอ่ยราบเรียบก็พาลให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ภายในใจของเฟิ่งเซียนฮวารู้ตัวแล้วว่า ตายหยั๋งเขียด! “อืม..คาดไม่ถึงว่าพระชายาจะตามหาข้า ...หลังจากผ่านมาร่วมครึ่งปี” “...” นิ้วหนาลากผ่านเนื้อกระดาษตำราเล่มเก่าไปทีล่ะเล่มจนเกิดเป็นเสียงสัมผัสสากแผ่วเบาเบื้องหลังค่อย ๆ เสียดแทงผิวนางทีละน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าคิดว่าพระชายารังเกียจข้าเสียอีก ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะใส่ใจถึงเพียงนี้” "..." ตุ้บ!! ไม่ต้องรอคำถากถางจากอีกฝ่ายเพิ่มเติม มองจากมุมตะแคงนี้ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายรู้ถึงสาเหตุที่นางลักลอบเข้ามาในเรือน ถึงอ้างสาเหตุอื่นคงไม่ดีเท่าไหร่นัก จะรออะไรอยู่เล่า.. เป็นเช่นนั้นร่างบางก็พร้อมสไลด์เข่าไปหาจ้าวอวิ๋นหยางยอมรับความผิดโดยพลัน!! “!!” “ขออภัยเพคะอวิ๋นอ๋อง” นางแอบเห็นไหล่เขาสะดุ้งด้วยล่ะ.. จ้าวอวิ๋นหยางทำใจสงบเพียงครู่ ก่อนเลิกคิ้วเล็กน้อยมองเฟิ่งเซียนฮวาอย่างแปลกใจ ใบหน้างดงามที่มักปรากฏความเย่อหยิ่งให้เห็นทุกครั้งกลับอ่อนลงให้เขาอย่างเห็นได้ชัด หากมองอย่างตั้งใจก็พบว่ามีแต้มสีกุหลาบบนแก้มขาวของนาง เป็นเพราะอากาศหนาวยามฤดูกาลปลายฝนหรือผ้าบนเรือนร่างเล็กบางจนเห็นผิวขาวเนียนละเอียดหรือไม่ แต่จ้าวอวิ๋นหยางก็หยุดสำรวจนางเพียงเท่านั้น ก่อนเลื่อนไปยังจุดที่เห็นคนตัวเตี้ยเขย่งเท้ายัดบางอย่างเข้าไป “เจ้ารู้หรือไม่ การหลอกลวงผู้เป็นอ๋องเช่นข้ามีโทษอย่างไร” ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึมเริ่มให้บรรยากาศคุกคามน่าหวาดกลัว ไอสังหารขนาดหย่อมเพียงเล็กน้อยก็ทำเอาร่างบางหายใจติดขัด ประกอบกับสิ่งของในมือจ้าวอวิ๋นหยางเป็นดั่งหลักฐานมัดตัว “หม่อมฉัน..ทราบเพคะ แต่โทษที่ว่า..คงไม่ถึงกับฆ่าแกงกันใช่หรือไม่” ริมฝีปากเล็กเริ่มเบะปากคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ และกำลังจะร้องไห้ขึ้นมาจริง ๆ เมื่อจ้าวอวิ๋นหยางเพียงกระตุกยิ้มเย็นชาส่งมาให้พร้อมกับคำพูดปักธงตายให้แก่นาง! “ข้าไม่มั่นใจนักว่าสมควรละเว้นหัวขโมยเช่นเจ้าไว้..” มันต้องได้สิ! ฮืออออ... และแล้วน้ำตาก็ไหลร่วงแหมะอย่างไม่อาจห้าม ปากเล็กสั่นจนฟันกระทบกันพลางสูดน้ำมูกที่ไหลออกมาดังฟืดดูน่าสงสารยิ่ง และนางก็สงสารตัวเองเช่นกันที่ต้องพยายามกลั้นเสียงเพราะหวาดกลัวว่าพ่อพระเอกตรงหน้าจะรำคาญ! เป็นดั่งคาด พ่อหนุ่มหน้าหล่อตรงหน้าไม่สะทกสะท้านต่อน้ำตาสตรีแม้แต่น้อยกลับกันยังยิ่งขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง เฟิ่งเซียนฮวาเคยอ่านพบเจอมาว่าจ้าวอวิ๋นหยางผู้นี้มีกำแพงต่อต้านสตรีอันแข็งแกร่งขนาดที่ว่า ต้านทานน้ำตาแม่นางเอกวาสดอกท้อผู้นั้นได้เกือบครึ่งเรื่อง! แล้วนางร้ายสุดอาภัพไม่มีบัพเช่นแม่นางเอกจะไปสู้ได้อย่างไร! ไม่เท่าขี้เล็บแม่นางเอกนั่นด้วยซ้ำ.. เฟิ่งเซียนฮวาตีน้ำตากลับเข้าที่รีบหาทางเอาตัวรอดในสถานการณ์นี้อย่างรวดเร็ว กระทั่งฉากหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ไม่รอช้านางรีบปฏิบัติตามฉากที่ว่าโดยทันที หากในนิยายทำแล้วได้ผลแปลว่ามันก็ต้องได้ผลตอนนี้เหมือนกันสิ!! คนตัวเล็กวางมือขนาบข้างลำตัวด้านหน้าก่อนจะ ปัก! ศีรษะเล็กโขกลงบนพื้นหนึ่งทีดังสนั่นทั้งเรือน “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ท่านอ๋องผู้ประเสริฐผู้มีเมตตาได้โปรดละเว้นโทษข้าน้อยสักครั้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ เอ้ยเพคะ! ความเมตตาครั้งนี้ของพระองค์ข้าน้อยผู้นี้จะไม่ลืมอย่างแน่นอน” เฟิ่งเซียนฮวากัดฟันแน่นเกือบโปะแตกเพราะนางจดจำและดันท่องประโยคออกมาทั้งดุ้น! ส่วนการกระทำนี้ของนางทำให้หว่างคิ้วที่หย่นเข้าหากันแต่แรกประชิดยิ่งกว่าเดิม คำกล่าวระรื่นหูจากเฟิ่งเซียนฮวาสตรีที่มักดูแคลนเขากำลังเอ่ยปากขอร้องช่างเป็นเรื่องที่น่าขัน จ้าวอวิ๋นหยางเพียงมองรูปลักษณ์ราวกับจิ้งจอกจำแลงกายของนางเพียงครู่หนึ่ง เฟิ่งเซียนฮวานางนับว่าเป็นสตรีงดงามหาตัวจับยากผู้หนึ่ง ทว่าอ๋องเช่นเขาไม่นิยมสตรีที่สวยเพียงรูปแต่ด้านในเน่าเฟะ อยู่ร่วมชายคากับนางเพียงหกเดือนก็พบความชั่วร้ายจากสตรีผู้นี้นับร้อยอย่างจนไม่อาจนับ คิดถึงตรงนี้จากความคิดที่จะปล่อยนางไปก็เปลี่ยนไปทันที ร่างสูงย่อตัวลงมือช้อนใบหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา จวบจนมุมปากได้รูปกระตุกยิ้มเยือกเย็นไร้แววความปรานี เฟิ่งเซียนฮวาเห็นเข้าก็กลายเป็นแมวตัวน้อยตัวหดหางหด หน้าตาเหลอหลา คิดว่าเหตุใดนางทำวิธีนี้ถึงไม่ได้ผลแต่คนอื่นทำแล้วได้ผล!! “เจ้าอย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะรอด ที่ผ่านมาข้าเพียงยอมปิดตาข้างหนึ่ง หาใช่เพราะข้าอดทนต่อเจ้า ข้าเพียงไม่เห็นความสำคัญอันใดให้ใส่ใจ แต่เมื่อเห็นเจ้าขอร้องวิงวอนด้วยน้ำตาเช่นนี้แล้ว มันคงไม่ยุติธรรมกับข้าเท่าไหร่นักหากให้อภัยเจ้าง่ายดายเกินไป เจ้าว่าหรือไม่” “.....” เฟิ่งเซียนฮวาไม่กล้าตอบ ฮือออ! เพียงเม้มปากกลั้นน้ำตา คิดในใจว่าหนีไปแต่แรกก็จบแล้ว ไม่น่ามีความคิดอยากเป็นศรีภรรยาที่ดีเลยให้ตายเถอะ! “ทหาร!” “อวิ๋นอ๋อง! งือออ!” คนตัวเล็กร้องเสียงหลง หน้าตาเหลอหลาหลังเห็นทหารชายฉกรรจ์ร่างกำยำเดินเข้ามาถึงหกคน ยืนเรียงรายอยู่ด้านหลังให้ความรู้สึกกดดัน พระพักตร์จ้าวอวิ๋นหยางยามนี้นิ่งสงบเสียน่ากลัว ตาแดงช้ำของสตรีช้อนมองขึ้นมาสบดวงตาคมกล้าทว่าไม่มีความรู้สึกเห็นใจสะท้อนให้เห็นผ่านใบหน้ารูปงามนั้นแม้สักนิด! ใจร้ายที่สุด! “อวิ๋นอ๋อง อวิ๋นอ๋องผู้มีเมตตา หม่อมฉันผิดไปแล้วที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากนี้หม่อมฉันจะไม่ขัดพระองค์แม้แต่ครึ่งคำ สั่งอะไรก็ทำทั้งนั้น รับปากพระองค์ว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่หือ ไม่อือ ว่านอนสอนง่าย พระองค์โปรดเมตตาหม่อมฉันสักครั้งเถอะ” แต่แรกจ้าวอวิ๋นหยางไม่มีความตั้งใจสังหารนางเพียงต้องการทำให้นางหวาดกลัวเท่านั้น ทว่าได้เห็นท่าทางร้อนรนของนางแล้วคล้ายชอบใจ ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มอ่อนมองผิวเผินดูคล้ายเห็นใจนาง ทว่าเฟิ่งเซียนฮวาที่รู้อย่างถ่องแท้ว่าการทำให้คนผู้นี้นั้นยิ้มยากยิ่งกว่าสิ่งใดจึงพร้อมใจพูดว่าทอแหลมาก!! ม้ายยยยย T-T “ดี น่าสนใจอย่างยิ่งหากเจ้าต้องการที่จะเชื่อฟังด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามเจ้ามาอยู่นี่แล้วพร้อมกับร่างกายแข็งแรงรวดเร็วราวกับปาฏิหาริย์ ประจวบเหมาะที่ข้ากำลังขาดคนได้พบพระชายาในวันที่เป็นที่ต้องการเช่นนี้ ข้าชื่นใจนัก” “..เพคะ” เฟิ่งเซียนฮวาไม่กล้าต่อปากต่อคำเอ่ยตอบรับเสียงเจี๋ยมเจี้ยม พ่อพระเอกกล่าวเช่นไรก็ว่ากันเช่นนั้น เขาจะใช้ทำอะไรนางจะทำทั้งหมด ขอแค่ไม่ตายก็พอ! อันท่าทางหงอยเหงาดั่งแมวน้อยหลงทางเรียกสายตาสงสารจากชายฉกรรจ์ทั้งหกไม่น้อย พระชายาแม้จะร้ายกาจไม่น่าเข้าใกล้ แต่ความงดงามทั้งใบหน้าและน้ำเสียงทำให้บางครั้งเผลอหลงกลนางไปบ้าง ยิ่งนับรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมแล้ว บุรุษทั่วไปย่อมไม่มีทางต้านทานต้องยอมเข้าปกป้องนางแน่ กรณีนี้เฟิ่งเซียนฮวาเห็นสมควรยกเว้นจ้าวอวิ๋นหยางไว้ผู้หนึ่ง นอกจากเขาจะไม่สะทกสะท้านความงดงามอันเลื่องลือที่ทั่วแคว้นยกย้องแก่นางยังเย็นชามากอีกด้วย คงเพราะชอบสตรีในคราบบุรุษหน้าหวานเช่นนางเอกเสียมากกว่า หากนิยายเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวว่าเป็นความรักระหว่างชายหญิง นางคงคิดว่าพระเอกผู้นี้เป็นบุรุษตัดแขนเสื้อแน่นอนล่ะ!! แล้วความคิดของเฟิ่งเซียนฮวาก็ถูกเกือบทั้งหมด ที่บอกว่าเกือบเพราะคนผู้นี้ไม่ใจดีกับนางสักเสี้ยวเดียวต่างหาก! “อารามซิ่วผี่กำลังต้องการคน เหล่าทหารที่ควรเฝ้ายามดูแลรักษาก็ไม่มีแล้ว ไหน ๆ พระชายาได้เสนอตัวมาเช่นนี้ ก็ไปช่วยพวกเขาหน่อยแล้วกัน” “!!!” ไม่ใช่ว่าไม่มีแล้วแต่มันไม่เคยมีไม่ใช่รึไง! กล่าวเช่นนี้เพราะอารามซิ่วผี่มีประวัติเป็นมายาวนาน ในนิยายไม่ได้ระบุสถานที่แห่งนี้ไว้ชัดเจน แต่ในชีวิตก่อนยามเป็นเฟิ่งเซียนฮวานางร้ายผู้โง่เขลา นางรู้เพียงว่าอารามซิ่วผี่แห่งนี้เลื่องลือเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ความน่ากลัวที่สุดไม่ได้อยู่ที่ผีสางที่ไหน แต่เป็นเพราะอารามแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงจุดที่เป็นเขาสูงชันของเขาหยางโจวใกล้ชิดเมืองศัตรู ตัวอารามอิงอยู่กับแนวผาสูงชันที่มีเพียงเสาไม้ค้ำเอาไว้ โดยเป็นการรวมลัทธิเต๋าและขงจื๊อเข้าไว้ด้วยกัน ถึงอย่างนั้นเพราะการเดินทางแสนยากลำบากที่เพียงขยับเท้าผิดหนึ่งก้าวก็สามารถพาไปโลกหน้าได้ทำให้ไม่มีคนมาสักการะกลายเป็นอารามล้างในที่สุด ยิ่งมีข่าวลือหนาหูถึงเสียงและเงาปริศนาในยามค่ำคืนผู้คนยิ่งไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้ แล้วเขาออกคำสั่งให้นางไปไม่เท่ากับกลั่นแกล้งกันอยู่หรือ! ใครมองก็มองออกว่าเขาจงใจกักขังนางไว้ที่นั่น ร้องแล้วนะ TT “พาตัวนางไป และอย่าคิดหนี หากเจ้าก้าวเท้าออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว อย่าหาว่าข้าโหดร้ายแล้วกัน” ผู้เป็นอ๋องเอ่ยวาจาเสร็จสิ้นก็รับสั่งให้เหล่าทหารส่วนพระองค์พาตัวนางไปในทันที กะทันหันเช่นนี้เฟิ่งเซียนฮวาตัวน้อยตระหนกตื่นตกใจแต่ก็ยอมเดิน ๆ วิ่ง ๆ ตามพวกเขาไปอย่างว่าง่าย ขณะริมฝีปากเบะลงน้ำตาคอลปริ่ม ๆ ส่งเสียงกระซิกเบา ๆ ตลอดทางจนเกือบทำเหล่าทหารชาญศึกใจอ่อนระทวย อย่างน้อยก็รอดแล้วล่ะ..มั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD