“คงต้องพูดหลังจากเสร็จงานเลี้ยงต้อนรับคุณเอริณไปอีกหลายสัปดาห์ เพราะป้าได้ยินแว่วๆ ว่าคืนนี้คุณเอริณจะประกาศหมั้นกับแฟนหนุ่มด้วย หลังจากนี้คุณท่านกับคุณผู้หญิงอาจวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานหมั้น แต่ยังไงป้าจะลองพูดให้ค่ะ”
“นลินจะรอค่ะป้า รอมายี่สิบปีกว่าแล้ว ทนรออีกนิดคงไม่เป็นไรค่ะ” นลินดาปลอบใจตัวเอง พลางเอ่ยถามต่อกับข่าวใหม่ที่เพิ่งรับรู้
“คุณเอริณจะประกาศหมั้นในวันนี้หรือคะ”
“ป้าได้ยินมาแบบนั้นค่ะ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดมาก คงต้องรอดูคืนนี้นะคะ”
ป้ากาญเอ่ยบอกเท่าที่รู้ ก่อนจะสั่งคนรับใช้คนอื่นๆ เมื่อเห็นว่างานเลี้ยงจวนจะเริ่มขึ้นแล้ว
“เด็กๆ เอาแก้วไวน์และเครื่องดื่มออกไปได้แล้ว”
“นลินขอไม่ออกจากห้องครัวนะคะ ป้ากาญ”
ป้ากาญรู้เหตุผลว่าทำไมนลินดาเอ่ยเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ “อยู่ในนี้ดีแล้ว อย่าออกไปให้คุณๆ เห็นหน้า ไม่เช่นนั้นนลินจะถูกทำโทษได้”
“ค่ะป้ากาญ”
ด้วยรู้ว่าหากขัดคำสั่งต้องถูกทำโทษจนเจ็บตัว นลินดาจึงทำตัวเป็นนางซินฯ อยู่แต่ในก้นครัว แต่กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะออกไปแอบดูงานเลี้ยงสุดหรูหราของเอริณ
ดวงตาคู่สวยทว่าแฝงไปด้วยแววหมองเศร้าจับจ้องมองเจ้าของงานเลี้ยง ซึ่งดูเซ็กซี่ในชุดเดรสเปิดไหล่สีแดงเพลิง เดินเคียงคู่กับบิดาและมารดาเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อที่ทยอยมาร่วมงานเลี้ยง
“เกิดมามีพร้อมทั้งรูปกายและรูปทรัพย์เหมือนคุณเอริณ ชีวิตคงมีความสุขที่สุด”
นลินดาพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความอิจฉาในวาสนาของเอริณ พอนึกถึงโชคชะตาของตัวเองก็ได้แต่ตีหน้าสลด ซึ่งเธอไม่รู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอคือใคร พวกท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า และมารดาของเธอเป็นหญิงโสเภณีเหมือนดั่งที่แม่บุญธรรมได้เค้นด่าหรือไม่?
“กลับไปทำงานต่อเถอะนลิน...ยิ่งแอบดูพวกเขามากเท่าไรเธอก็ยิ่งอิจฉาเขามากเท่านั้น”
นลินดาบอกกับตัวเองอย่างปลงๆ ละสายตาจากเอริณแล้วเดินลากเท้ากลับไปเป็นนางซินฯ อยู่ในห้องครัวเหมือนเดิม
ในขณะนลินดาอิจฉาชีวิตอันสวยหรูของเอริณซึ่งเพียบพร้อมไปทุกอย่าง บิดามารดาต่างก็เอาอกเอาใจ ก่อนไปเรียนต่อในเมืองนอกก็จัดงานเลี้ยงส่งใหญ่โต พอเรียนจบกลับมาประเทศไทยก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับทุ่มทุนไม่อั้นหวังเอาใจลูกสาวเพียงคนเดียว
แต่ตอนนี้เอริณกลับหน้าหงิกหน้างอ อารมณ์เสียจนไม่อยากรับแขกหน้าไหนทั้งนั้น เพราะงานเลี้ยงเริ่มไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่ว่าที่คู่หมั้นของเธอยังเดินทางมาไม่ถึงงานเลี้ยงสักที
“เอริณ...ไปไหว้คุณหญิงพรพรรณหน่อยสิลูก คุณหญิงเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้นี่เอง”
อรสุดาสะกิดบอกลูกสาวซึ่งกำลังนั่งดื่มไวน์ต่างน้ำโดยไม่สนใจต้อนรับแขกเหรื่อแม้แต่คนเดียว ก่อนหน้านี้หญิงสาวยิ้มแย้มแจ่มใสเดินทักทายแขกทั่วงาน เพราะรอการมาถึงของแขกคนสำคัญที่สุด แต่เมื่อชายคนรักไม่มาสักที ซ้ำร้ายยังติดต่อไม่ได้ อีกฝ่ายปิดโทรศัพท์ตลอด
เวลา ก็ทำให้อารมณ์เสียพาลไปทั่ว
“ใครจะมาก็ช่าง เอริณไม่สนใจไม่อยากไปยกมือไหว้ใครทั้งนั้น”
เอริณหันมาตวาดมารดาก่อนจะกระดกไวน์เข้าสู่ลำคอต่อโดยไม่สนใจสีหน้าซีดเผือดของมารดา
ด้วยต้องการอาศัยอำนาจบารมีของคุณหญิงพรพรรณ ผู้เป็นมารดาจึงคะยั้นคะยอให้ลูกสาวไปไหว้คุณหญิงให้ได้
“อย่าเสียมารยาทกับคุณหญิง ไปไหว้ท่านแค่แป๊บเดียวเองนะลูก”
“ก็บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ”
“เอริณ แม่ขอร้องนะลูก...”
ขณะขอร้องลูกสาว อรสุดาก็จับยึดต้นแขนเล็กไว้ไม่ให้ลูกสาวกระดกไวน์เข้าสู่ลำคอ และนั่นเป็นการสร้างความรำคาญระคนโกรธเคืองให้กับเอริน เธอจึงสะบัดมือออกเต็มแรงจนไวน์แดงในแก้วทรงสูงกระฉอกรดตั้งแต่ลำคอลงมาเปื้อนชุดเดรสตัวสวยราคาแพง ทำเอาเอริณร้องกรี๊ดผุดลุกขึ้นยืนผลักร่างของมารดาเต็มแรงตวาดท่านเสียงดังลั่น
“คุณแม่! ทำไมพูดไม่รู้จักฟัง ก็บอกแล้วว่าเอริณไม่อยากไปไหว้หัวหงอกหัวดำคนไหนทั้งนั้น แล้วคุณแม่เห็นไหมคะว่าตอนนี้ชุดของเอริณเปื้อนหมดแล้ว เพราะคุณแม่คนเดียว”
เสียงตวาดด่าของเอริณนอกจากจะทำให้ผู้เป็นมารดาหน้าถอดสีซีดด้วยความเสียใจและอับอายขายขี้หน้าแล้ว ยังสร้างความโกรธขึงให้กับบรรดาแขกเหรื่อที่ถูกด่าแบบเหมารวมด้วย
“เอริณ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะลูก”
อรสุดาเอ็ดลูกสาวเบาๆ และแทนที่จะสำนึกเอริณกลับตวาดมารดาต่อ
“ก็คุณแม่นั่นแหละมาเซ้าซี้อยู่ได้ เอริณบอกแล้วยังไงว่าไม่มีอารมณ์ไปยกมือไหว้ใคร”
“แต่นี่มันงานเลี้ยงของหนู เอริณเป็นเจ้าภาพก็ต้องไปต้อนรับแขกที่แม่เชิญมา”
“แขกของคุณแม่ทั้งนั้น เชิญคุณแม่ไปต้อนรับเองเลยค่ะ แขกของเอริณมีเพียงคนเดียวคือคนรักของเอริณ และตอนนี้เอริณกำลังรอเขาอยู่”
เสียงโต้เถียงของแม่ลูกดังลั่นจนแขกเหรื่อที่ได้ยินต่างก็ส่ายหน้าไปตามๆ กัน แขกบางคนที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนอย่างเอริณถอนหงอกเข้าให้ถึงกับเดินออกจากงานในทันทีโดยเฉพาะคุณหญิงพรพรรณ เมื่อยื่นของขวัญให้กับปวินทร์บิดาของเอริณแล้วก็ลากลับโดยไม่อยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ
และก่อนเอริณจะโต้เถียงกับมารดาไปมากกว่านี้ก็ถูกบิดาเอ็ดเสียงดัง
“เอริณ...หยุดเถียงคุณแม่ได้แล้ว เห็นไหมว่าแขกหนีกลับบ้านหมดแล้ว”
เอริณหาได้สนใจไม่ หญิงสาวกวาดสายตามองรอบๆ บริเวณงานเลี้ยง ซึ่งแขกบางคนที่ยังไม่กลับต่างก็จ้องมองเจ้าของงานเลี้ยงด้วยแววตาเอือมระอา บ้างก็ซุบซิบนินทาเยาะหยันกับกริยาหยาบคาย และนั่นทำให้หญิงสาวโกรธจนขาดสติ ตวาดด่าแขกไม่เลือกหน้าโดยไม่สนใจเสียงห้ามของบิดามารดา
“มองอะไร! จะนินทากันอีกนานไหม งานเลี้ยงเลิกแล้ว มากินฟรีดื่มฟรีกินอิ่มแล้วก็กลับบ้านไปซะ อยู่ให้รกหูรกตาทำไม”
“เอริณ!”
เมื่อหมดความอดทนแถมอับอายกับความเสียมารยาทของลูกสาว ผู้เป็นบิดาก็ตวาดลั่นยกมือตบลงบนใบหน้าของลูกสาวเต็มแรงด้วยความลืมตัว
เผียะ!!!
“คุณพ่อ! คุณพ่อตบหน้าเอริณ!”
เอริณเค้นเสียงห้วนดวงตาแดงก่ำด้วยความเสียใจระคนโกรธเคือง ยกมือกุมใบหน้าตัวเองขณะจ้องมองบิดาเขม็ง
“ใช่! พ่อจะตีเอริณมากกว่านี้หากยังทำให้พ่อกับแม่ขายขี้หน้าคนอื่นอยู่” ผู้เป็นพ่อตอบอย่างเหลืออด ทนไม่ได้เมื่อเห็นลูกสาวไร้มารยาทกับญาติผู้ใหญ่ที่เชิญมา
“คุณพ่อ!”
เอริณเค้นเสียงลึกลอดไรฟัน และนาทีต่อมาทุกคนในงานเลี้ยงก็มีอันต้องกระเจิง หนีออกจากบริเวณงานเลี้ยงแทบไม่ทัน เมื่อเอริณอาละวาดไม่เลือกหน้าคว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่หยิบฉวยได้ขว้างใส่ผู้คนที่อยู่ใกล้
“กรี๊ด!!! ออกไป ออกไปให้หมด”
“เอริณ...หยุดเดี๋ยวนี้นะลูก”
พอเห็นลูกสาวอาละวาด ทั้งโยนแก้ว ขว้างขวดไวน์ คว้าอาหารขว้างใส่แขก แถมยังทึ้งเส้นผมตัวเองจนยุ่งเหยิงไม่ต่างจากคนบ้า อรสุดาก็รีบเข้าไปห้ามลูกสาวไว้