นลินดาร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำ และพลันนั้นคำพูดของแม่ใหญ่ก็แล่นเข้ามาในโสตประสาท
‘ทำตัวให้เหมือนดั่งดอกบัว ซึ่งสักวันก็จะเผยความงดงามอยู่เหนือผืนน้ำ’
“สุดท้าย...ดอกบัวก็อวดความงดงามอยู่เหนือผืนน้ำ”
หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ และอีกคำสอนของแม่ใหญ่ก็สะท้อนก้องเข้ามาอีกครั้ง
‘แม่ใหญ่สอนให้ลูกของแม่ทุกคนต้องเข้มแข็ง อย่าร้องไห้ให้กับอุปสรรคหรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ’
นลินดาจดจำคำพูดของแม่ใหญ่ได้แม่นยำ และนั่นทำให้หญิงฮึดสู้ ยกมือเช็ดน้ำตาให้เหือดแห้ง ดันกายลุกขึ้นยืนพร้อมกับให้กำลังใจตัวเองไปด้วย
“ใช่แล้ว...นลิน...เธอต้องสู้และสักวันจะเป็นวันของเรา วันที่เรางดงามดั่งดอกบัวที่โผล่พ้นเหนือน้ำ และในวันนั้นจะไม่มีใครมาดูถูกเธอได้”
ให้กำลังใจตัวเองไปแล้ว นลินดาก็เริ่มลงมือทำความสะอาดอีกครั้ง กว่าจะทำความสะอาดห้องของเอริณเสร็จก็ปาไปเกือบสิบโมงเช้าแล้ว
และเมื่อถูกมารดาสั่งให้อยู่ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน หญิงสาวจึงจำต้องโทร.ลางานหนึ่งวัน แม้เสียดายเงินค่าแรงที่ต้องถูกหักไป แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากขัดคำสั่งของมารดา เธอก็ต้องถูกลงโทษให้เจ็บตัวเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
“เฮ้อ...ทำความสะอาดเสร็จสักที”
นลินดาเป่าลมออกจากปากด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับการทำความสะอาดห้องนอนใหญ่โตแค่เพียงคนเดียว พอยืนมองผลงานของตนเอง ซึ่งทำความสะอาดห้องจนสะอาดเอี่ยมก็อดน้อยใจไม่ได้ ห้องนอนของเอริณใหญ่โต เครื่องเรือนทุกชิ้นหรูหราและสั่งตรงมาจากเมืองนอก เครื่องอำนวยความสะดวกมีครบครันทุกอย่าง ซึ่งผิดกับห้องของเธอซึ่งมีพื้นที่แค่พอวางเตียงนอนเล็กๆ กับตู้เสื้อผ้าเก่าๆ เท่านั้น
“เรากับคุณเอริณต่างกันราวฟ้ากับเหว”
นลินดาเยาะหยันตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องอยู่ในฐานะคนรับใช้ไปอีกนานเพียงใด ตอนนี้เธอมีเงินเก็บจากการทำงานอยู่หนึ่งก้อน แต่ก็ไม่ได้มากมายเพียงใด ทว่าเธอคิดว่าคงเพียงพอสำหรับการเช่าห้องเล็กๆ อยู่คนเดียว ซึ่งหากมีความกล้ามากเพียงพอ สักวันเธอจะขออนุญาตพ่อแม่บุญธรรมย้ายออกไปอยู่ข้างนอก
ยี่สิบปีที่ผ่านมาเธอไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะของลูกบุญธรรม แต่อยู่ในฐานะของคนรับใช้ เธอต้องทำงานทุกอย่างตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องการเล่าเรียน แม่บุญธรรมให้เรียนจบแค่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เท่านั้น
ยี่สิบปีสำหรับการเป็นคนใช้ รับใช้คุณๆ ทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่บุญธรรมรวมถึงเอรินด้วย หญิงสาวคิดว่าน่าจะตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่บุญธรรมได้หมดสิ้นแล้ว
“คุณเอริณกลับมาประเทศไทยแล้ว คุณท่านทั้งสองคงไม่ห้าม หากเราจะขอย้ายไปอยู่ข้างนอก”
นลินดาได้แต่หวังให้เป็นเช่นนั้น และหลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยงต้อนรับเอรินแล้ว หญิงสาวจะรวบรวมความกล้าเพื่อคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่บุญธรรม
นลินดาถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของเอริณ ตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว แต่ยังไม่มีข้าวตกถึงท้องแม้แต่เม็ดเดียว คงต้องหาข้าวกินรองท้องก่อน จากนั้นค่อยไปทำงานบ้านต่อ
บทที่ 2
งานเลี้ยงต้อนรับการกลับบ้านของเอริณ ถูกจัดอย่างใหญ่โตหรูหรา อรสุดาและปวินทร์ลงทุนจ้างออแกไนเซอร์ให้มาจัดสถานที่จัดงานเลี้ยง ส่วนอาหารและเครื่องดื่มก็สั่งตรงจากโรงแรมหรูห้าดาวในกรุงเทพฯ งานเลี้ยงในคืนนี้ต้องเริดและหรู นี่คือคำสั่งตรงของเอริณที่โทร.สั่งบิดามารดาก่อนบินมาถึงประเทศไทย
เอริณเดินทางมาถึงบ้านตั้งแต่ช่วงบ่ายและกำลังวุ่นวายอยู่กับการแต่งตัว แน่นอนว่าหญิงสาวจ้างช่างแต่งหน้าชื่อดังให้มาประทินโฉมให้สวยงามดุจนางพญา
ในขณะลูกสาวแท้ๆ ของเจ้าของคฤหาสน์กำลังแต่งตัวเตรียมปรากฏโฉมในงานเลี้ยง ทางด้านของลูกบุญธรรมก็ทำงานมือเป็นระวิง แม้อรสุดาจะสั่งอาหารมาจากโรงแรม กระนั้นนลินดาและคนรับใช้คนอื่นๆ ก็ต้องช่วยจัดเตรียมอาหารอยู่ดี
และขณะกำลังจัดเตรียมแก้วไวน์อยู่กับคนรับใช้อีกคนในห้องครัว ป้ากาญซึ่งเป็นแม่บ้านก็เดินเข้ามาเห็นพร้อมกับเอ่ยทักว่า
“หนูนลิน งานเลี้ยงจะเริ่มแล้วยังไม่ไปแต่งตัวอีกหรือคะ”
นลินดาอมยิ้มเศร้าๆ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “นลินไม่ออกไปร่วมงานหรอกค่ะป้า นลินต้องอยู่ช่วยทุกคนในห้องครัวค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นป้ากาญถึงกับถอนหายใจยาวจ้องมองนลินดาด้วยความสงสาร “เป็นคำสั่งของคุณแม่ ที่ไม่ให้ออกไปจากห้องครัวใช่ไหมคะ”
“ค่ะ ป้ากาญ คุณผู้หญิงห้ามไม่ให้ออกไปค่ะ”
ขณะรับคำ นลินดาก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย หญิงสาวหยิบแก้วไวน์มาวางเรียงกันนับสิบๆ ใบ ก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อหลบสายตาไม่ให้ป้ากาญเห็นดวงตาอันหมองเศร้าของตนเอง
ป้ากาญขมวดคิ้วเข้ากันสะดุดหูกับคำพูดบางคำของหญิงสาวจึงเอ่ยถามออกไปว่า
“ตะกี้นลินเรียกคุณแม่ว่า ‘คุณผู้หญิง’ หรือจ๊ะ”
“ค่ะ ป้า” นลินดารับคำ กำลังจะหมุนตัวไปหยิบแก้วอีกใบ แต่ก็ถูกป้ากาญจับยึดข้อมือไว้
“ทำไมนลินเรียกคุณแม่แบบนั้น” ป้ากาญเอ่ยถามด้วยความสงสัย ไม่เคยได้ยินนลินดาเรียกมารดาบุญธรรมเช่นนี้มาก่อน
คงปิดบังความจริงกับป้ากาญไม่ได้ นลินดาจึงจำต้องเอ่ยบอกความจริงในที่สุด
“คุณผู้หญิงสั่งให้นลินเรียกแบบนี้ค่ะ และห้ามออกไปร่วมงานเลี้ยง ห้ามบอกว่าเป็นลูกบุญธรรมของท่าน คุณผู้หญิงสั่งว่าถ้ามีใครถามให้บอกว่าเป็นลูกของป้ากาญค่ะ...”
น้ำเสียงในตอนท้ายสั่นเครืออย่างหักห้ามเอาไว้ไม่อยู่ สร้างความสงสารให้เกิดขึ้นกับป้ากาญจนต้องโอบกอดร่างบางไว้แน่น
“โธ่...นลินของป้า”
ป้ากาญกอดร่างบางที่กำลังสะอื้นร้องไห้ไว้ด้วยความสงสารจับใจ มือใหญ่ยกขึ้นลูบไปบนศีรษะกลมทุยพร้อมกับเอ่ยปลอบไปด้วย
“อย่าร้องไห้เลยนลิน เขาไม่ให้เรียกว่าแม่ก็ไม่ต้องไปเรียก”
นลินดาเงยใบหน้านองด้วยน้ำตามองป้ากาญ พลางกระซิบบอกความในใจที่ตนขบคิดไว้นานแล้ว
“ป้าคะ นลินอยากย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ป้าช่วยพูดกับคุณผู้หญิงให้นลินได้ไหมคะ”
คนที่ถูกขอร้องลอบถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ เพราะเดาได้ว่าอรสุดาไม่มีทางปล่อยนลินดาไป นางต้องการให้ลูกบุญธรรมเป็นคนรับใช้ไปตลอดชีวิต
“เอาไว้ป้าจะลองพูดกับคุณผู้หญิงดูนะคะ”
“ขอบคุณป้ากาญมากค่ะ”
นลินดายกมือไหว้ขอบคุณ ยกมือเช็ดคราบน้ำตาให้เหือดแห้ง ได้แต่ภาวนาให้มารดาบุญธรรมอนุญาตให้เธอออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง