Chapter 2 ข่าวที่ไม่อยากได้ยิน (2)
ผกามาศพยายามกระซิบเตือนสติลูกชาย
"คุณพ่อไม่ได้หลับ ท่านรับรู้ทุกอย่างนะสิงห์"
แทนไทกระซิบกลับเช่นกัน
"ถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่อง คุณแม่ช่วยไล่ยัยสองคนนั้นออกไปสิครับ แค่เห็นหน้าก็เวียนหัว จู่ ๆ ก็อยากอ้วกออกมา เกลียดจนท้องไส้ปั่นป่วนเคยได้ยินมั้ยครับ"
แทนไทปรายตามองไปโดยรอบ การที่เขายืนกอดอกแล้วสายตาหยุดนิ่งยังสองฝาแฝดที่นั่งอยู่คนละฟากของเตียงคนป่วย ก็ทำให้สองสาวรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้ชายคนนี้เกลียดหล่อนทั้งสองมากขนาดไหน
"แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่อย่าง ทำไมต้องจ้างพยาบาลให้เปลืองเงินเปลืองทองด้วยล่ะครับ ในเมื่อคนในบ้านมีตั้งเยอะแยะ หรือว่า...เป็นง่อยกันหมด"
เริ่มแล้ว...เขาเริ่มหาเรื่องโจมตีตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า ภัคภัสสรคิดอย่างรู้เท่าทัน เพราะแววตาไม่เป็นมิตรนั้นจับจ้องมาที่ตน
"ต้องมีคนคอยป้อนอาหารเหลวให้ตรงเวลาจ้ะ เพราะคุณพ่อไม่ยอมลุกขึ้นมาทานเอง"
"ก็แค่ป้อนอาหาร มันจะยากอะไรขนาดนั้น"
"ถ้าป้อนไม่เป็นก็จะทำให้สำลักได้จ้ะ เลยต้องให้ผู้ เชี่ยวชาญทำ"
ผกามาศพยายามผ่อนบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด รู้ดีว่าลูกชายกำลังคิดอะไร
"เธอ" แทนไทชี้ไปยังนันท์ภัสสร ก่อนจะตามมาด้วยภัคภัสสร "แล้วก็...เธอ"
สองสาวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นั่นคือคำแรกที่เขาคุยด้วย
“ทำไมเธอสองคนไม่คิดจะทำ คิดจะอยู่สบายเสวยสุขในบ้านหลังนี้โดยไม่คิดจะยืดแขนยืดขาช่วยเหลืออะไรเลยใช่มั้ย...หึ ผ่านมาหลายปีนึกว่าจะคิดได้ แต่เปล่าเลย สมองของพวกเธอไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก!"
"พี่สิงห์ เราไม่ได้..."
"พูดตรง ๆ ก็คือ สมองกลวง!"
ภัคภัสสรและนันท์ภัสสรลอบกำมือเข้าหากัน เป็นเพราะเกรงใจคนที่นอนป่วยก็เลยไม่อยากโต้ตอบ กลัวจะยิ่งเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ
"จะว่าไปแล้วคุณพ่อนี่ก็น่าสงสารนะครับ มีแต่คนรัก
คนรุมล้อมเมื่อยามยังอยู่ดีมีสุข แต่พอล้มป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีใครคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ ไม่มีคนเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ไม่มีใครอยากทำเพราะรังเกียจ ก็นั่นล่ะนะ เป็นสัจธรรมของชีวิตคน"
"แล้วพี่สิงห์ทำมั้ยล่ะคะ เอาแต่ยืนว่าพวกเราปาว ๆ"
นันท์ภัสสร แฝดคนน้องเริ่มเหลืออด หล่อนไม่เหมือนพี่สาวที่อดทนให้ผู้ชายตรงหน้าเหยียดหยามโดยไม่คิดจะโต้แย้ง
เหมือนยิ่งเติมเชื้อไฟ แววตาแข็งกร้าวตวัดมองไปยังคนปากดีอย่างเอาเรื่อง
"ในเมื่อยังซุกหัวอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอก็ควรจะสำเหนียกว่ากำลังตอบโต้อยู่กับใคร หากวันข้างหน้าสิ้นบุญคุณพ่อ พวกเธออาจไม่มีที่ซุกหัวนอนเลยก็ได้!"
"สิงห์ คุณพ่อไม่ได้หลับ แยกย้ายกันไปก่อนเถอะจ้ะ"
ผกามาศรีบห้ามทัพ พยายามดันร่างสูงใหญ่เพื่อให้ยอมขยับเป็นฝ่ายล่าถอย หากแต่แทนไทยังคงดื้อดึง นาทีนี้ไม่มีใครที่จะหยุดเขาได้
"คอยดูนะ ถ้าฉันมีอำนาจในบ้านหลังนี้เมื่อไหร่ ฉัน
จะไล่พวกเธอสองคนออกไปเป็นอันดับแรก!"
"สิงห์ หยุดเถอะ"
"ฉันอยู่เมกาต้องทำงานหาเงินใช้เอง ปากกัดตีนถีบทุกอย่างเพื่อที่จะไม่รบกวนเงินทางบ้าน แต่พวกเธอที่อยู่เสวยสุขบนกองเงินกองทองที่ไม่ได้หามาด้วยตัวเอง กลับไม่ช่วยอะไรเลย ไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณของท่านเลยใช่มั้ย ทำไมถึงพากันปล่อยให้ท่านนอนติดเตียงแบบนี้ ลองทำสิ พาท่านนั่งรถเข็นออกไปเดินเล่น ให้ท่านได้ขยับร่างกายบ้าง หากยังนอนเป็นผักอยู่แบบนี้ ยังไงก็ไม่มีทางดีขึ้นหรอก"
วินาทีนั้น ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา...เป็นธามไท มาพร้อมใบหน้าที่ขมวดคิ้วเข้าหากันจนยุ่ง
"เสียงอะไรครับ ดังไปถึงข้างนอก"
ขนาดเขาที่อยู่ข้างนอกยังได้ยิน มันไม่ใช่เรื่องปกติ นับประสาอะไรกับคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียง และนี่คือสิ่งที่ทำให้ธามไทไม่พอใจเป็นอย่างมาก
จากสีหน้าของแต่ละคน บอกธามไทให้รู้ว่าต้องมีคนแสดงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาอีกจนได้
"พี่มีเรื่องจะคุยกับนายเพียงลำพังสองคน ออกไปคุย
กันข้างนอกได้มั้ย"
เดินไปรั้งแขนของคนที่กำลังแปลงร่างเพื่อให้เดินตามออกไปข้างนอก สัมผัสได้ถึงแรงขัดขืนเล็ก ๆ
"เรื่องสำคัญ นายควรจะรู้เอาไว้"
เสียงเข่นรอดไรฟันออกแนวบังคับ ทำให้แทนไทยอมเดินตามออกไปแม้ไม่เต็มใจนัก ด้วยนิสัยส่วนตัว เขาไม่ชอบให้ใครมาบงการ
ที่ด้านนอก ทิ้งระยะห่างที่พอจะแน่ใจว่า เสียงสนทนาจะไม่แว่วไปเข้าหูคนป่วย ธามไทผ่อนลมหายใจหนักหน่วง
"มีอะไรครับ"
แทนไททำหน้าสีหน้าเบื่อหน่าย บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าอย่าคุยนาน
"นายก็รู้ใช่ไหมว่าก้อนเนื้อนั้นมันคือเนื้อร้าย"
"อือฮึ"
"แต่นายยังไม่รู้ คุณหมอบอกว่ามันไม่ใช่จุดกำเนิดของมะเร็ง แต่มันแพร่กระจายมาจากจุดอื่น ซึ่งตรงนี้คุณหมอกำลังหาว่ามันมาจากตรงไหน แต่ก็ยังไม่พบ ข่าวร้าย
คือ...ต่อให้ทำคีโม ท่านก็อาจอยู่กับเราได้อีกไม่นาน"
".....!"
เป็นข่าวใหม่ที่ค่อนข้างกระแทกใจคนฟัง แทนไทยืนนิ่งขบกรามแน่น คำว่าอีกไม่นานทำให้เขาใจหายวาบ จริงอยู่ที่พูดใส่หน้าสองสาวไปแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแช่งให้บิดาตายเร็วขึ้น
"นี่แหละ คือสิ่งที่นายควรรู้ จะได้...ทำตัวถูก ระวังในการแสดงออกต่อหน้าคุณพ่อมากกว่านี้"
"อีกไม่นาน...กี่ปี..."
"อาจจะหนึ่งปี หรือสองปี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจิตใจของคนป่วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราควรทำใจยอมรับกับความสูญเสียเอาไว้ด้วย"
มันเร็วเกินไป ในคราแรกตามความคิดของแทนไท การทำเคมีบำบัดคือการยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง และหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย หลายคนอยู่ได้นานหลายปี เขาไม่คิดว่าปัญหาของบิดาจะใหญ่ขนาดนี้
"คุยกันเรื่องนั้นใช่ไหม"
เสียงผกามาศดังแทรก หล่อนเดินมาสมทบ สบตากับธามไท เป็นอันรู้กันว่าเรื่องสำคัญถูกถ่ายทอดไปถึงแทนไทแล้ว
"ก็ตามที่เสือบอก แม่เองก็ใจหายเหมือนกัน ไม่คิดว่าคุณหมอจะพูดกับเราตรง ๆ แบบนั้น"
ไม่มีอะไรที่ต้องคุยต่อ บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงัน ก่อนแทนไทจะเดินแยกจากมาอย่างเงียบ ๆ เขาแค่ขอเวลาอยู่กับตัวเองสักพัก ทบทวนว่าที่ผ่านมาทำอะไรอยู่ ผ่านมาหลายปีที่ไม่ได้คุยกับบิดา แต่การกลับมาเจอหน้ากันคราวนี้ โอกาสที่เขากับท่านจะได้พูดคุยกันก็ริบหรี่เหลือเกิน