ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
กู้หลินยังคงนอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงของหัวหน้าหน่วย กลิ่นกำยานแก้เมาที่จุดข้าง ๆ ลอยล่องอบอวลไปทั่วห้อง ช่วยให้คนเมาได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
“เจ้าดื่มไปเยอะเท่าใดกัน” ตงฟางฮุ่ยหลิงส่ายหน้าพึมพำกับตัวเองพลางหยิบสมุนไพรเม็ดหนึ่งออกมาก่อนจะประคองศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วป้อนให้กู้หลิน
พลันได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากข้างนอก โจวหยางอิงรีบวิ่งมาตามสหายคนสนิทถึงที่เพราะตื่นมาไม่เห็นเจ้าตัวอยู่ในเรือนนอน
เมื่อสบสายตากับหัวหน้าหน่วย แววตาขึงขังมองอย่างพินิจพิจารณา ตงฟางฮุ่ยหลิงจึงวางศีรษะของกู้หลินไว้ตามเดิม พูดขึ้นมาว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าดื่มไปมากมายเพียงใดแต่ข้าให้เขากินสมุนไพรแก้เมาแล้ว พากลับไปที่ห้องแล้วดูแลให้ดี”
“เฮอะ ไม่ต้องบอก ข้าก็ทำเช่นนั้นอยู่แล้ว” โจวหยางอิงเอ่ยปาก คิดในใจว่า ทำไมถึงไม่พามาส่งตั้งแต่เมื่อคืน จะรอจนตะวันสายโด่งเพื่ออะไรกัน เจ้าแอบคิดสิ่งใดกับเสี่ยวหลินแล้วอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดถึงเอาแต่ผลักไสเขานัก ข้าล่ะอยาก... ฮึ่ย เสี่ยวหลินไม่ชอบคนใจร้าย ข้าต้องสงบจิตสงบใจเอาไว้
จากนั้น โจวหยางอิงจึงอุ้มกู้หลินกลับที่พักโดยไม่รีรอ ครั้งหลังที่มีงานเลี้ยงใด ๆ เขาจึงมักจะคอยห้ามปรามไม่ให้เจ้าตัวดื่มจนเมามายเหมือนครั้งนี้อีก
กระนั้น กู้หลินยังคงเป็นดังเดิม เรื่องของหัวใจห้ามกันไม่ได้จริง ๆ แม้จะไม่เมามาย แต่ทุกบางครั้งมักจะไปเดินเล่นยามค่ำคืนชมแสงจันทร์บริเวณที่พักของหัวหน้าหน่วยอยู่เป็นประจำ
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนถูกขีดเส้นกั้น ไม่คืบหน้าแม้แต่น้อย บางคราอาศัยช่วงเวลาฝึกให้ได้ใกล้ชิดกับอีกฝ่าย บางคราแอบมองดูดวงตาสีเขียวมรกตจากที่นั่งฝั่งตรงข้าม หรือไม่ก็มองเขาจากที่ไกล ๆ
ครั้งหนึ่ง ใจกล้าลองถามไปเพราะคิดหวังเข้าข้างตนเอง แม้จะรู้คำตอบอยู่เต็มอกก็ตาม
“ถุงหอมที่ข้าให้ เจ้าไม่ได้พกติดตัวไว้หรือ” กู้หลินสบตากับคนตรงหน้า ถุงหอมเป็นของจางฮุ่ยหลิงเคยชอบนักหนาเมื่อครั้งที่เขามอบให้ตอนอยู่ในร่างของไป๋อวี่ จึงมุ่งหวังว่าลึก ๆ แล้ว อาจจะมีความรู้สึกหรือความทรงจำนั้นหลงเหลืออยู่บ้าง
เขาลืมนึกไปเลยว่าคนที่อยู่ต่อหน้าคือตงฟางฮุ่ยหลิงต้นฉบับ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าเขามีตัวตน คำตอบนั้นเหมือนเข็มเสียดแทงหัวใจ เจ็บแปลบเล็กน้อย “ไม่”
นอกจากจะไม่พกถุงหอมกลิ่นที่ตนเองโปรดปรานแล้ว ยังพกถุงหอมกลิ่นปิงเพี่ยน กู้หลินรู้ดีว่าใครเป็นผู้ที่ให้เขามา
ลู่เหิงเยว่ผู้นั้นนำถุงหอมที่ทำเองมามอบให้ราชองครักษ์คู่ใจเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ตงฟางฮุ่ยหลิงยังคงเก็บมันไว้ข้างกายไม่เปลี่ยนแปลง
ครั้นได้ยินคำตอบที่ตรงข้ามกับความคาดหวังของตนเอง กู้หลินฝืนยิ้มให้เขาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่พึมพำว่า “ข้ารู้ว่าคงจะยากเพราะในใจของเจ้ามีแต่เขา แต่ว่าตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ ข้าจะตามติดเจ้าจนกว่าเจ้าจะหันมามองข้าบ้าง”
“...” ตงฟางฮุ่ยหลิงไม่พูดอะไรเพราะรู้ว่าเจ้าตัวเล็กไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ
“ไม่ห้ามข้าแล้วหรือ” เขานึกสงสัยขึ้นมา ก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็มักจะได้เห็นสีหน้าหรือคำพูดที่ว่า “ล้มเลิกความตั้งใจเสียเถอะ” หรือไม่ก็ “ยอมแพ้ได้แล้ว”
ทว่า ครั้งนี้ใบหน้าของตงฟางฮุ่ยหลิงกลับเรียบเฉยจนไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดสิ่งใดอยู่แถมไม่พูดอะไรออกมาจนคิดว่ายืนคุยกับรูปปั้น
“เจ้าเคยฟังข้าด้วยหรือ” ตงฟางฮุ่ยหลิงเลิกคิ้วพลางก้มมองคนตัวเล็กกว่า
“แน่นอนว่าไม่ แต่ว่าเจ้าไม่เย็นชากับข้าแล้ว แสดงว่า...” เขากำลังจะพูดต่อแต่ถูกขัดเอาไว้ก่อน
“เจ้ามักจะคิดเข้าข้างตนเองเช่นนี้หรือ ข้าเพียงแค่เหนื่อยจะห้ามเจ้าก็เท่านั้น” สายตาที่จ้องมองกู้หลินพลันเหลือบไปอีกทางหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไปฝึกได้แล้ว”
ตงฟางฮุ่ยหลิงไม่รอให้อีกฝ่ายพูดสิ่งใดกลับมา เขารีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรีบร้อนเพื่อทำความเคารพคนผู้นั้นและเดินจากไปด้วยกัน
โจวหยางอิงส่ายหน้าบ่นกับตัวเอง “รู้ทั้งรู้ว่าเจ็บแต่ก็ยังดันทุรังต่อ”
“เจ้านี่ว่าตัวเองก็เป็น” เฉินป๋อยืนยิ้มให้โจวหยางอิง ข้าง ๆ มีชุนหมิงและอาโปยืนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
ทั้งสามคนค่อย ๆ ย่องมายืนดูเหตุการณ์เป็นเพื่อนโจวหยางอิงได้สักพักแล้ว การตามติดรักสามสี่เส้าในหน่วยราชองครักษ์ดูจะสนุกสนานยิ่งกว่าละครวังหลวงเสียอีก
ถึงอย่างนั้น โจวอยางอิงก็รีบเดินไปหากู้หลินที่ยืนมองแผ่นหลังของตงฟางฮุ่ยหลิงแล้วชวนไปกินของอร่อย ๆ ในตลาดเป็นการปลอบใจ
กาลเวลาผ่านพ้นวันแล้ววันเล่า ชีวิตในหน่วยราชองครักษ์ของกู้หลินดำเนินมาอย่างเรียบง่ายพร้อมสหายที่ยืนเคียงข้างไม่ว่าจะวันที่ทุกข์หรือสุข
อีกไม่นาน เขาก็จะได้รับหน้าที่สำคัญเป็นครั้งแรกในฐานะคนในหน่วยราชองครักษ์แล้ว แม้เรื่องอื่นจะคืบคลานเหมือนเต่า แต่เรื่องการฝึกฝนจนชำนาญในระดับหนึ่งก็ทำให้กู้หลินภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่ทำอะไรสักอย่างสำเร็จไปบ้าง
ครบรอบการฝึกหนึ่งปีนี้ กองทัพหลวงที่นำโดยเซียวหานเฟิงผู้เป็นแม่ทัพคู่บัลลังก์และพระเอกของเรื่องวิหคไร้ใจอยากทดสอบฝีมือของคนที่จะรับหน้าที่ดูแลอารักขาลู่เหิงเยว่คนรักของเขา จึงประกาศท้าทดสอบเหล่าราชองครักษ์มือใหม่ด้วยความตื่นเต้น
ฝ่ายตงฟางฮุ่ยหลิงจึงต้องวางแผนรับมือกับความบ้าระห่ำของแม่ทัพผู้นี้อย่างเอาจริงเอาจัง
“หัวหน้า ครั้งนี้แม่ทัพเซียวจะใช้ลูกไม้ใดอีก” ชุนหมิงถามตงฟางฮุ่ยหลิงเพราะยังจำเหตุการณ์ประลองเมื่อปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
ครั้งนั้น เซียวหานเฟิงแอบเล่นตุกติกคิดจะทดสอบตงฟางฮุ่ยหลิงเพียงผู้เดียว แผนการที่วางไว้จึงมุ่งเป้าไปที่เขาเป็นพิเศษ แต่เพราะไหวพริบของหัวหน้าหน่วยอย่างเขาและความเฉลียวของลูกน้องเหล่าราชองครักษ์จึงพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้อย่างหวุดหวิด
“แต่ว่าฝ่าบาทสั่งห้ามแล้วไม่ใช่หรือ ครั้งนี้คงไม่กล้าขัดคำสั่งหรอก” อาโปเอ่ยปาก
แม้เซียวหานเฟิงจะอยากทำตามใจตนเองมากเพียงใด หากลู่เหิงเยว่ผู้เป็นคนรักปรายตาตำหนิเพียงนิด เขาก็แทบไม่กล้าขัดใจแล้วเพราะมีความผิดเก่าที่ยังคงต้องงอนง้ออีกฝ่าย
“ข้าคิดว่าอย่างไรก็ประมาทไม่ได้” เฉินป๋อลูบคางแล้วยิ้มมุมปาก “ลางสังหรณ์ข้ามันบอกว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ”
ตงฟางฮุ่ยหลิงได้ยินลูกน้องคนสนิทกล่าวเช่นนั้นก็เห็นด้วย เดิมทีเขาและเซียวหานเฟิงเป็นคู่กัดกันมาแต่ไหนแต่ไร สบโอกาสได้ประลองกันซึ่งหน้าโดยอ้างว่าทดสอบฝีมือขององครักษ์ภายใต้การดูแลของเขาในรอบหนึ่งปี มีหรือเซียวหานเฟิงจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป
แม้จะต้องงอนง้อลู่เหิงเยว่ แต่คนอย่างเขามีเหตุผลร้อยแปดที่จะเอ่ยอ้างเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้น