วันประลอง
ฮ่องเต้ลู่เหิงเยว่ปลอมตัวเป็นสามัญชนออกมาด้านนอกวังหลวงเพื่อตรวจดูความเป็นอยู่ของราษฎรในปกครองโดยมีเฉินป๋อและชุนหมิงคอยอารักขาอยู่ข้าง ๆ
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เหตุการณ์ทุกอย่างยังคงดูปกติดี หน่วยราชองครักษ์มือใหม่แต่ละคนประจำจุดของตัวเอง สายตาสอดส่องไปทางซ้ายทีขวาที หากมีสิ่งใดผิดสังเกตจะได้เข้าตรวจสอบในทันที
แม้จะวางแผนรับมือไว้แล้ว แต่ตงฟางฮุ่ยหลิงยังคงต้องคอยติดตามลู่เหิงเยว่อยู่ไม่ห่าง นึกถึงคำพูดของเซียวหานเฟิงในวันนั้น
ในเมื่อเจ้าเชื่อมั่นในตัวของลูกน้องมากนัก เจ้าก็ควรจะวางมือแล้วดูอยู่ห่าง ๆ น่าจะเพียงพอแล้ว
ฝ่ายกู้หลินรับหน้าที่ประจำจุดวุ่นวายที่สุดในตลาดร่วมกับสหายร่วมรุ่นสามสี่คน
“เจ้าว่าวันนี้ชาวบ้านดูแปลกไปหรือไม่” หนึ่งในนั้นถามกู้หลิน พวกเขามักจะออกมากินดื่มกันในย่านนี้เป็นประจำเลยรู้ดีว่ามีสิ่งใดดูไม่เข้าพวกกัน
หน่วยราชองครักษ์ไม่รู้รายละเอียดของฝ่ายกองทัพหลวงว่าจะลอบโจมตีอย่างไร จึงพากันประเมินสถานการณ์อยู่เงียบ ๆ
“เจ้าคนนั้น ข้าว่าน่าสงสัย” กู้หลินตอบเพื่อนคนนั้น “ดูจากภายนอกเหมือนพ่อค้าผ่านมาแถวนี้ รูปร่าง หน้าตา ร่างกายไม่น่าใช่ทหารในกองทัพหลวง เป็นไปได้หรือไม่ว่าฝั่งนั้นจะใช้ชาวบ้านเป็นเหยื่อล่อเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ”
“การประลองวันนี้ นอกจากพวกเราแล้วก็มีคนรู้อีกแค่ไม่กี่คน ไม่แน่ว่าพ่อค้าผู้นั้นอาจจะมีเรื่องใดที่ไม่เกี่ยวกับแผนของกองทัพหลวงก็ได้” เพื่อนอีกคนหนึ่งวิเคราะห์ตามความคิดของตนเอง
“แล้วถ้าเกิดมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นระหว่างที่พวกเราทำหน้าที่ดูแลจุดตรงนี้เล่า จะทำอย่างไร” พวกเขามองหน้ากันแล้วพูดขึ้นมาว่า “ต่อให้เกิดเรื่องใดขึ้น คงไม่อาจละทิ้งหน้าที่อารักขาฝ่าบาทไปได้หรอก จะมีชีวิตของผู้ใดสำคัญไปกว่าชีวิตผู้ปกครองแผ่นดินกันล่ะ”
ในขณะที่กู้หลินจับตามองพ่อค้าผู้นั้น กลับคิดในใจว่า หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นซึ่งหน้าคงจะปล่อยไปไม่ช่วยเหลือไม่ได้หรอก ลู่เหิงเยว่มีเฉินป๋อและชุนหมิงคอยอารักขา อีกทั้งตงฟางฮุ่ยหลิงยังคงแอบตามดูอยู่ห่าง ๆ ไม่นับรวมพวกของอาโปและโจวหยางอิงที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านปะปนกับผู้คนในตลาดอีก
ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงลู่เหิงเยว่เลย
พริบตาเดียว พ่อค้าคนนั้นหันมองมาทางกู้หลินอย่างตั้งใจ ก่อนจะเอาผ้าปิดปากปิดจมูกหญิงสาวผู้หนึ่งจนสลบแล้วฉุดเข้าไปในตรอกซอยอย่างเงียบเชียบ ทำทีเป็นว่าภรรยาร่างกายไม่แข็งแรงจึงเข้าประคองเพื่อพากลับที่พัก
ชาวบ้านแถวนั้นจึงไม่ได้สนใจเรื่องของคู่สามีภรรยามากนัก
“บ้าเอ๊ย!” กู้หลินสบถเพราะดูเหตุการณ์นั้นมาตั้งแต่ต้น จึงหันไปบอกเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกัน “ข้าจะรีบกลับมา”
“อย่าไปนะ ถ้าหัวหน้ารู้เจ้าต้องถูกลงโทษแน่ ๆ” เขากล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง แต่กู้หลินคงไม่อาจปล่อยให้หญิงสาวคนนั้นตกอยู่ในอันตรายได้จึงพูดไปว่า “ข้าจะรีบกลับ”
กู้หลินรีบวิ่งไปที่ตรอกตรงนั้นอย่างระมัดระวังตัว พลันได้เห็นว่าหญิงสาวคนเมื่อครู่ยังคงมีสติครบถ้วน นางถือดาบเล่มหนึ่งพลางยิ้มให้กู้หลิน
“ติดกับแล้วล่ะ” นางเอ่ยปากพูดกับกู้หลินที่ยืนอยู่เพียงลำพัง ด้านหลังมีชายชุดดำสองคนโผล่มาในพริบตา
ที่แท้ พ่อค้าคนนั้นคือชาวบ้านธรรมดา เขาเอาผ้าเช็ดเหงื่อที่ผุดบนใบหน้าด้วยความประหม่า เมื่อสตรีนางนั้นพยักหน้าส่งสัญญาณ สีหน้าของเขาจึงโล่งใจขึ้นมาราวกับว่าหมดหน้าที่แสนอึดอัดแล้ว
แม้จะตกหลุมพรางครั้งนี้ กู้หลินไม่นึกเสียใจที่ตามเข้ามา เขากำดาบในมือของตนไว้แน่นพร้อมปะทะในทันที
แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง สามคนนั้นก็ไม่เข้าประมือกับกู้หลินสักทีราวกับรอเวลา จู่ ๆ หนึ่งในนั้นก็ผิวปากให้คนที่เหลือเพื่อส่งสัญญาณแล้ววิ่งหนีไปอีกทาง
กู้หลินตามออกไปไม่ห่าง วิ่งผ่านตรอกซอยคุ้นตาพลางคิดว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำอะไรจนสุดท้ายพบว่าพวกนั้นพาเขาวิ่งมาทางลู่เหิงเยว่นั่นเอง
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านก็เผยตัวออกมาเพื่อชิงตัวลู่เหิงเยว่ การปะทะกันระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เฉินป๋อและชุนหมิงทำหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี คอยกันไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ลู่เหิงเยว่พลางจัดการคนที่ขวางทางเพื่อเปิดทางหนีให้
กระนั้น กองทัพหลวงผู้เก่งกาจมีฝีมือไม่เป็นรองหน่วยราชองครักษ์ การประมือกันจึงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและจริงจังประหนึ่งเป็นเหตุการณ์ลอบสังหารฮ่องเต้จริง ๆ
ชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคาแล้วแยกกันพุ่งตัวเข้าใกล้ลู่เหิงเยว่กับกู้หลินพร้อมกัน
คนทั้งคู่ตกอยู่ในวงล้อมของคนเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ทำไมกันเล่า” เขาพึมพำไม่เข้าใจสถานการณ์ ยกดาบกวัดแกว่งเพื่อป้องกันตนเอง
ไม่นานนักคนของอาโปและโจวหยางอิงได้รับสัญญาณจากตงฟางฮุ่ยหลิงก็เข้ามาสบทบเพื่อพาตัวลู่เหิงเยว่ฝ่าออกไปจากวงล้อม
เสียงผิวปากดังขึ้นครั้งหนึ่ง กลยุทธ์ของกองทัพหลวงก็เปลี่ยนรูปแบบ จู่ ๆ กู้หลินกลับเข้ามาอยู่ในวงล้อมเดียวกับลู่เหิงเยว่ไปโดยปริยาย
“นี่มันแผนอะไรล่ะเนี่ย” เฉินป๋อนึกสงสัยเพราะแทนที่ฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีพวกเขาเพราะคุ้มกันฮ่องเต้อยู่ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนกู้หลินก็เป็นอีกคนที่ถูกหมายหัวไปเสียอย่างนั้น
โจวหยางอิงจับตามองชายชุดดำที่ยืนอยู่ทางขวามือแล้วรู้สึกได้ว่าลักษณะท่าทางของเขาเหมือนกับใครบางคน แววตาที่จ้องมองกู้หลินอยู่ทำให้โจวหยางอิงรีบส่งสัญญาณบอกพรรคพวกของตนเอง
ตงฟางฮุ่ยหลิงจ้องชายชุดดำคนนั้นอย่างรู้ทัน ครานี้เป็นบททดสอบฝีมือของเขาอีกแล้ว จึงสั่งให้หน่วยราชองครักษ์ที่เหลือใช้แผนสำรอง แล้วตนเองก็ฝ่าเข้าไปประชิดตัวลู่เหิงเยว่และกู้หลินในทันที
เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายอยู่พักใหญ่ เฉินป๋อและชุนหมิงรับมือจากศึกสองด้านจนไม่อาจละสายตามาอารักขาลู่เหิงเยว่ได้ตามแผน ปล่อยให้เกิดช่องว่างเพียงอึดใจเดียว
ทว่า ความเร็วของกองทัพหลวงสามารถฉวยช่วงเวลานั้นเป็นโอกาส จู่ ๆ ชายชุดดำคนนั้นพุ่งประชิดตัวเป้าหมายพร้อมกับอีกคนหนึ่ง ดาบยาวอันเป็นเอกลักษณ์ของแม่ทัพหลวงและคนสนิทตวัดเข้าหาลู่เหิงเยว่กับกู้หลินในเวลาเดียวกัน
ตงฟางฮุ่ยหลิงเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ใกล้สุด หากแต่ต้องเลือกว่าจะช่วยผู้ใดระหว่างคนทั้งสอง เขาสะบัดคมดาบปกป้องลู่เหิงเยว่ก่อนสิ่งอื่นใด ในขณะที่ฝั่งกู้หลินไม่อาจรับมือกับความแรงของการลงคมดาบได้จึงทำให้ปลายดาบนั้นบาดแขนจนได้เลือด
ก่อนที่อีกฝ่ายจะฟันลงมาเป็นครั้งที่สอง ตงฟางฮุ่ยหลิงใช้ฟักดาบยื่นออกไปกระทุ้งที่ลิ้นปี่ของชายชุดดำแล้วเตะเสยหน้าคนผู้นั้นจนหงายไปทางด้านหลังพลางหันมารับมือกับคนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“เฮอะ” เสียงหัวเราะของชายชุดดำพึงพอใจ เขาชิงจังหวะเฉือนหน้าท้องของตงฟางฮุ่ยหลิงด้วยความเร็ว คิดในใจว่าครั้งนี้หัวหน้าหน่วยวอกแวกจนปล่อยให้ตัวเองเป็นอันตรายไปเสียได้
หากแต่ความดีใจของเขาก็คงอยู่เพียงแค่อึดใจเดียว เมื่อฝ่าเท้าของโจวหยางอิงลอยมาถีบหน้าอกจนตัวเขากระเด็นไปด้านหลังอย่างแรงเพียงพริบตาเดียว
มิหนำซ้ำยังถูกราชองครักษ์มือใหม่คนนี้จ่อปลายดาบมาที่คออย่างเด็ดเดี่ยวไม่นึกเกรงกลัวก่อนจะตวัดดาบตัดผ้าที่ปกปิดใบหน้านั้น
“เซียวหานเฟิง” ลู่เหิงเยว่เอ่ยปากเมื่อได้เห็นหน้าชายชุดดำที่ปลอมตัวมา ใบหน้ารูปงามขมวดคิ้วเป็นปมมองหน้าคนรักของตนเอง “เจ้าไม่ควรมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ”
“...” เซียวหานเฟิงไม่ปริปาก เขาไม่ทันคิดว่าหน่วยราชองครักษ์จะมีหมาป่าอยู่สองตัวที่ต้องจัดการให้อยู่หมัด
หนึ่งคือตงฟางฮุ่ยหลิง และสองคือโจวหยางอิง
เซียวหานเฟิงไม่คาดคิดว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยต่อหน้าลู่เหิงเยว่
อีกฟากหนึ่ง การประมือของทั้งสองฝ่ายได้สิ้นสุดลง เมื่อกองทัพหลวงไม่อาจต้านทานกำลังของหน่วยราชองครักษ์ได้เพราะแผนสำรองที่มีตัวแปรอย่างอาโปและโจวหยางอิงคอยกำกับ
“การฝึกฝนในวันนี้ ดูเพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าหน่วยราชองครักษ์มีฝีมือมากเพียงใด แม้จะเพิ่งเข้าฝึกฝนได้ไม่นานแต่ก็ทำหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นแล้ววันนี้พอแค่นี้เถิด” ลู่เหิงเยว่เอ่ยปากตัดสินผลแพ้ชนะแล้วสั่งให้ทุกคนแยกย้าย
ค่ำวันนั้น โจวหยางอิงหยิบยามาทาให้กู้หลินครุ่นคิดในใจว่าน่าจะกระทืบเซียวหานเฟิงให้สมกับที่ทำให้กู้หลินบาดเจ็บ
“เจ็บมากหรือไม่ ดื่มยาบรรเทาปวดสักนิดสิเสี่ยวหลิน” โจวหยางอิงยื่นถ้วยยาให้คนตรงหน้า ในมืออีกข้างถือลูกกวาดก้อนกลม ๆ เอาไว้
“เจ้ากังวลมากไปแล้ว แผลแค่เฉี่ยว ๆ เท่านั้นเอง” กู้หลินหยิบลูกกวาดมากินโดยไม่ดื่มยาพลางยิ้มให้สหาย
หากแต่ว่าในใจคิดถึงการกระทำของตงฟางฮุ่ยหลิง รู้ทั้งรู้ว่าหน้าที่ราชองครักษ์จะต้องปกป้องลู่เหิงเยว่เป็นลำดับแรก แต่อย่างน้อยหลังจากจบการประลองก็ควรจะหันมาถามเขาบ้างว่าเจ็บมากหรือไม่ก็ยังดี
ทว่า เวลานั้นตงฟางฮุ่ยหลิงไม่แม้จะมองเขาเสียด้วยซ้ำ
ผ่านไปสามสี่วัน กู้หลินยังไม่ได้เห็นตงฟางฮุ่ยหลิงแม้แต่เงา “หัวหน้าน่ะหรือ ฝ่าบาทเรียกพบน่ะ” เฉินป๋อแตะบ่าของกู้หลินรู้ว่าเจ้าตัวอยากจะพบหัวหน้าของตนมากแค่ไหน
“เฮ้อ” เขาถอนหายใจคิดไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสายตาของตงฟางฮุ่ยหลิงเสียด้วยซ้ำ ที่เขาทำไปทั้งหมดคงจะเพราะต้องการกำจัดอันตรายที่อาจเกิดกับลู่เหิงเยว่เพียงเท่านั้น พลางคิดเข้าข้างตัวเองว่า “เอาเถอะ ต่อให้เจ้าเลือกปกป้องเขาก็ไม่เป็นไร ข้าน่ะดูแลตัวเองได้ เจ็บแค่นี้ไม่ต้องสนใจหรอก ฮุ่ยหลิง”