มหกรรมสอบปลายภาคผ่านไปพร้อม ๆ กับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปรานปราลินเลือกที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐในคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษด้วยเห็นว่าเธอค่อนข้างจะถนัดวิชานี้สังเกตได้จากเกรดในทุก ๆ เทอมที่ผ่านมา
“คุณวีจะไปทำงานแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นเจ้าของห้องหอบหิ้วหนังสือและเอกสารมากมายติดตัวไปเป็นประจำในทุก ๆ เช้า โดยที่ไม่เคยล่วงรู้เลยสักนิดว่าชายหนุ่มทำงานอะไร
“อืม แล้วเราล่ะจะออกไปไหน”
“หนูจะออกไปทำงานเหมือนกันค่ะ” ปรานปราลินคลี่ยิ้มพลางหมุนตัวให้เขาดูยูนิฟอร์มของร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่เพิ่งไปสมัครมาตอนที่เดินทางไปสอบสัมภาษณ์
“ดีนี่ ฉันจะได้เบาเรื่องค่าใช้จ่ายไปบ้าง แล้วอย่าลืมเรื่องหอพักล่ะ”
“ไม่ลืมหรอกค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบา ใบหน้าที่บานเมื่อครู่หุบเหลือแค่เพียงสองนิ้วด้วยรู้ดีว่าชาวีคงจะไม่ปลื้มเท่าไหร่ที่มีเธอมาอาศัยร่วมห้องอยู่แบบนี้ “ตอนนี้หนูกำลังจะมีงานทำแล้ว ถ้าไม่ได้อยู่หอใน หนูว่าจะไปเช่าอยู่รายเดือนเอาน่ะค่ะ”
“อืม เอาอย่างนั้นก็ได้”
“อันที่จริงคุณไม่ต้องเกรงใจหนูหรอกนะคะ” คนตัวเล็กเอ่ยออกไปก่อนที่เขาจะทันได้เปิดประตู ทำให้ชาวีขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปมแล้วหันมาถามด้วยความสงสัย
“เกรงใจเหรอ ทำไมฉันต้องเกรงใจเธอด้วยล่ะ”
“ก็...” ปรานปราลินหลุบตาต่ำ นิ้วชี้เรียวทั้งสองข้างจรดเข้าหากัน “พักนี้คุณพัสกรเขาไม่เข้ามาหาคุณเลย อาจเป็นเพราะว่ามีหนูอยู่ด้วย”
“แล้ว...” คนตัวสูงกว่าเลิกคิ้วถามเพื่อลองเชิงว่าหญิงสาวกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ถ้าคุณอยากใช้เวลาส่วนตัวกับคุณกร คุณไม่ต้องเกรงใจหนูหรอก คุณบอกหนูตามตรงได้เลย หนูจะได้กลับมาช้าหน่อย”
“แล้วทำไมฉันต้องใช้เวลากับกรเขาที่นี่ด้วยล่ะ”
“คะ!?” หญิงสาวตาลุกวาว ถ้าเขาไม่มาสวีทกันในห้องงั้นก็แสดงว่าเขาต้องแอบไปหากันบ่อย ๆ ข้างนอกอย่างแน่นอน
“ฉันไปทำงานก่อนล่ะ”
ชายหนุ่มไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรต่อ เขารีบคว้ากระเป๋าแล้วเดินหายไปจากห้องทันที
ปรานปราลินรู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยที่ต้องจากห้องนี้ไป อาจเป็นเพราะอาศัยอยู่มาเกือบเดือนแลยทำให้เธอสนิทสนมกับชาวีจนอดน้อยใจเสียไม่ได้ที่เขาต้องการให้เธอย้ายออกไปเร็ว ๆ
การทำงานในวันแรกค่อนข้างจะราบรื่นแม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านงานบริการมาก่อน แต่การหยิบแก้วกาแฟและขนมทานเล่นไปเสิร์ฟให้ลูกค้าในร้านนี่ถือเป็นเรื่องหมู ๆ มากสำหรับเธอ
ในช่วงบ่ายลูกค้าค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษเพราะร้านกาแฟอยู่ในมหาวิทยาลัยทำให้อาจารย์และนักศึกษาบางส่วนเลือกที่จะเข้ามานั่งตากแอร์ข้างในด้วยสภาพอากาศภายนอกที่ค่อนข้างจะร้อน
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ปรานปราลินละสายตาจากเครื่องคิดเงินตรงหน้าเพื่อจะต้อนรับลูกค้า แต่แล้วดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างเมื่อพบว่าคนที่เข้ามาใหม่นั้นไม่ใช่ใครอื่น
“คุณชาวี!”
“อ้าว! ทำงานที่นี่เหรอ” ชายหนุ่มดูตกใจไม่น้อยที่เห็นหญิงสาวอยู่ในร้าน
“ค่ะ ว่าแต่คุณวีมาทำอะไรแถวนี้คะ”
“ทำงานสิ” เขายิ้มตอบแล้วเดินไปสั่งกาแฟแล้วเดินไปนั่งรอที่โต๊ะฝั่งริมสุดโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจคนตัวเล็กอีก “เอาคาปูร้อนสองแก้วครับ”
“มาคนเดียวแต่ทำไมสั่งสอง” คนอยากรู้อยากเห็นพึมพำอยู่คนเดียว แต่เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของชายวัยกลางคนเดินเข้าร้านมาแล้วเข้าไปทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของชาวี ความสงสัยนั้นจึงมลายหายไปทันที
“คุณพ่อสวัสดีครับ” ชาวีกระพุ่มมือไหว้คนสูงวัยกว่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปรานปราลินจึงอาสานำกาแฟทั้งสองแก้วไปเสิร์ฟให้เขาที่โต๊ะเองด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเขามีธุระอะไรในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“กาแฟมาแล้วค่ะ”
“ขอบคุณ” เขาหันไปตอบหญิงสาวแต่เพียงสั้น ๆ แล้วหันไปสนใจคู่สนทนาตรงหน้าต่อ
“ไงเรา สบายหรือเปล่า” เอกภพยกขึ้นตบไหล่กว้างของชายหนุ่มด้วยความรักใคร่ “พ่อว่าแกดูซูบลงนะ”
“ผมสบายดีครับพ่อ” ชาวีหลุบตาตอบ เขารู้ดีว่าเอกภพเป็นห่วง แต่เขากลับไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้เป็นพ่อไม่สบายใจเพราะเหตุการณ์ที่เขาเคยทำไว้ในอดีตมันยังติดตรึงอยู่ในหัวไม่จางหาย ถึงจะไม่มีใครโกรธแค้นแต่เขาก็คงไม่มีหน้ากลับไปที่บ้านใหญ่ได้อีก
“นี่ถ้าพ่อไม่บังเอิญมาทำธุระแถวนี้ก็คงไม่เจอแกสินะ”
“ครับ ก็คงงั้น” ชาวีคลี่ยิ้มบาง ๆ ก้มลงจิบกาแฟตรงหน้าอย่างใจเย็น
“ใจคอแกไม่คิดจะกลับไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมพี่บ้างเลยรึไง”
“ผมคงไม่มีหน้ากลับไปหรอกครับ” เขาตอบออกไปตามความรู้สึก เมื่อหกปีก่อนเขาเคยลงมือทำร้ายพี่สาวแท้ ๆ ของตัวเองจนบาดเจ็บอยู่หลายครั้ง และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือเขาเกือบจะฆ่าหลานแท้ ๆ ของตัวเองด้วย
“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ไม่มีใครเขาถือโทษโกรธแกเลยนะ”
“ผมต่างหากล่ะครับพ่อที่ยังให้อภัยตัวเองไม่ได้” ดวงตาคมกริบเหมือนจะวูบไหวเมื่อภาพอันเลวร้ายในอดีตมันผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
“งั้นก็แล้วแต่แกก็แล้วกัน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับก็ได้”
“ขอบคุณนะครับพ่อ ที่เข้าใจ” ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา โชคดีที่ผู้เป็นพ่อเคารพการตัดสินใจของเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามหรือเซ้าซี้อะไรต่อ หลังจากคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ด้วยความคิดถึงเอกภพจึงขอตัวกลับไปโดยที่ไม่ลืมขอเบอร์ติดต่อของชาวีไว้ด้วย
ปรานปราลินได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย เธอเข้ามาอยู่ในชีวิตเขาก็จริง แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลยสักนิด แต่ก็นั่นแหละเธอเป็นแค่ผู้อาศัยไม่มีสิทธิ์ไปก้าวล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวเขาอยู่แล้ว
หลังเลิกงานหญิงสาวจึงแวะร้านคอมพิวเตอร์แถวมหาวิทยาลัยซึ่งให้บริการเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นรายชั่วโมงเพื่อจะเปิดดูผลของการสอบสัมภาษณ์
นิ้วเรียวกรอกชื่อและเลขประจำตัวประชาชนลงไปในช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ บนหน้าจอด้วยความตื่นเต้น ใจนึงก็อยากสอบติดอย่างที่ฝันอีกใจก็ไม่อยากย้ายออกไปจากคอนโต
คลิ๊ก!
ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจกดเข้าไปดูผลการสอบ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะลุกวาวเมื่อเห็นผลที่ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า
“นางสาวปรานปราลิน ถวินทรัพย์ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ”
“สอบติด...พ่อคะแม่คะหนูสอบติดแล้วค่ะ” หัวใจดวงน้อยพองโต ได้แต่เก็บความดีใจนั้นเอาไว้ข้างใน อดคิดไม่ได้ว่าถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ทั้งสองจะดีใจกับเธอมากแค่ไหน ทว่าตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือการหาที่อยู่ใหม่ตามคำสัญญาที่ได้ให้กับชาวีถึงแม้ว่าจะไม่อยากไปแค่ไหนก็ตาม
ชาวีเดินทางกลับบ้านหลังจากเสร็จธุระที่มหาวิทยาลัยก่อนจะพบว่าปรานปราลินกำลังเจียวไข่อยู่ตรงห้องครัวส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว เขาวางกระเป๋าสัมภาระไว้บนโต๊ะกลางห้องแล้วชะโงกหน้าไปดู
“กลับมาแล้วเหรอคะ หิวไหม แป้งทำกับข้าวเสร็จพอดีเลย” หญิงสาวกำลังตักไข่ที่บานอยู่เต็มกระทะวางใส่จานด้วยความทะมัดทะแมงเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องกลับมาแล้วรอยยิ้มกว้างจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที
“ฉันก็กำลังหิวอยู่เหมือนกัน”
“งั้นเชิญนั่งเลยค่ะ” ว่าพลางลากเก้าอี้ออกเพื่อให้ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งก่อนจะหันไปตักผัดผักรวมในกระทะอีกใบมาเสิร์ฟให้
“ปกติไม่เห็นเคยทำ เห็นซื้อข้าวแกงมาตลอด วันนี้อยากได้อะไรอีกล่ะ”
“เปล่านะคะ ไม่อยากได้อะไรเสียหน่อย” คนตัวเล็กหลบสายตาคมกริบคู่นั้นพัลวัน อาจเป็นเพราะความสนิทสนมกันในระดับหนึ่งมันจึงทำให้ชาวีมองออกได้ไม่ยาก
หากเธอพยายามทำดีผิดหูผิดตาไปนั่นหมายความว่าเธอกำลังร้องขออะไรบางอย่างจากเขา
“แน่ใจ” ชาวีเอ่ยถามเพื่อลองเชิง พลางตักข้าวใส่ปากอย่างอารมณ์ดี
“แน่ค่ะ ไม่มีอะไรเลย”
“ไม่ใช่เพราะผลสอบออกแล้ว และเธอไม่อยากย้ายออกไปหรอกเหรอ” ชายหนุ่มวางช้อนลงในจานแล้วหันมาจับผิดอีกฝ่าย
“วันนี้ที่ร้านกาแฟหนูเห็นมีคนมาหาคุณด้วย ใครเหรอคะ” คนเจ้าเล่ห์รีบเปลี่ยนเรื่อง ทำทีหยิบกระทะไปล้าง
“พ่อฉันเองแหละ เขาคิดถึงก็เลยแวะมาหา”
“แล้วคุณวีไปทำอะไรที่มหาวิทยาลัยคะ” หญิงสาวถามต่อโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าอีกคนกำลังย่องเข้ามาจากทางด้านหลัง
“ฉันถามเธอก่อน เธอยังไม่ตอบฉันเลย”
“โอ๊ะ!” ปรานปราลินสะดุ้งตกใจเมื่อหันไปตามต้นเสียงแล้วพบว่าเขากำลังยืนจ้องหน้าเธออยู่
“ตอบมา”
“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ” หญิงสาวแขม่วท้อง กลั้นหายใจ ทำตัวให้บางที่สุดแล้วกระเถิบออกมาจากรัศมีอันตราย
ให้ตายเถอะ เขาไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าเขามีเสน่ห์มากแค่ไหนถึงแม้เขาจะไม่ใช่ผู้ชายแท้ ๆ แต่การเข้ามาใกล้ชิดเธอแบบนี้มันก็ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นผิดจังหวะขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ได้เหมือนกัน
“ถ้าไม่อยากย้ายออกก็ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”
“จริงเหรอคะ หมายความว่าคุณให้หนูอยู่ต่อเหรอคะ” คนที่กำลังหนีเข้าห้องหยุดชะงัก หันไปมองหน้าชายหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มกว้างก่อนจะโผเข้ากอดร่างนั้นอย่างลืมตัว “คุณใจดีจัง หนูจะไม่ลืมพระคุณของคุณเลย”
“ทีนี้ยอมรับแล้วสินะว่าทำดีกับฉันเพราะอยากอยู่ที่นี่ต่อ”
“ใช่ค่ะ” ปรานปราลินเงยหน้าตอบ ทั้งที่แขนทั้งสองของยังโอบรอบเอวสอบ “คุณวีจะอาบน้ำอุ่นไหมคะ เดี๋ยวหนูไปเตรียมให้ หรือว่าจะนวดผ่อนคลายก่อนอนดีคะ”
“เธอนี่นะ...” ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ปอยผมบนศีรษะเล็กด้วยความมันเขี้ยว เขามองไม่ผิดเลยว่าหญิงสาวทำดีกับเขานั้นมันต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่ ๆ
“โหย ผมหนูเสียทรงหมดแล้ว”
“สอบติดคณะอะไรล่ะ” เขาก้มหน้าถามในขณะที่คนตัวเล็กผละจากอ้อมกอดไปยืนจัดผมตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง
“ครูภาษาอังกฤษค่ะ”
“...” ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่เหมือนกำลังใช้ความคิด จนปรานปราลินอดสงสัยไม่ได้
“คุณวีมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า...แล้วทำไมถึงอยากอยู่ที่นี่ต่อล่ะ” ชาวีตอบเสียงราบเรียบพลางเดินกลับไปทรุดกายนั่งที่โต๊ะอาหารตามเดิม
“เพราะว่าคุณใจดีไง คุณก็รู้ว่าหนูไม่เหลือใครอีกแล้ว หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับไปบ้านนอกยังไง กรุงเทพมันกว้างใหญ่แค่ไหน หนูกลัวว่าถ้าหนูออกไปแล้วหนูจะเจอเหตุการณ์เหมือนเมื่อคืนนั้นอีก” ปรานปราลินก้มหน้าสารภาพ ตลอดหลายเดือนที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพมาเธอเองก็ไม่เคยไปไหนเลยนอกจากโรงเรียนกับคอนโดถึงแม้ในตอนแรกจะนั่งรถเมล์ผิดสายไปบ้างก็ตาม
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว...งั้นก็ทานข้าวก่อนจะได้ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็มานวดให้หน่อยละกัน” ชายหนุ่มตัดบท เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหญิงสาวเพราะปรานปราลินได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอเป็นเด็กดีไม่ใช่มิจฉาชีพเหมือนที่เขาเข้าใจ อีกทั้งยังช่วยทำงานบ้านทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อแลกกับที่ซุกหัวนอนและข้าวแดงแกงร้อนที่เขาให้อีกด้วย
“หนูทานจากที่ทำงานมาแล้วล่ะค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูไปอาบน้ำก่อนนะคะจะได้มานวดให้” คนตัวเล็กขันอาสาหมุนตัวกลับเข้าห้องตัวเองไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
ชาวีคลี่ยิ้มมองตามหญิงสาวไปก่อนจะส่ายศีรษะเบา ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ทะลายกำแพงยอมให้คนแปลกหน้าอย่างปรานปราลินเข้ามาอยู่ในชีวิตได้ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาคิดมาโดยตลอดว่าผู้ชายที่เคยจะฆ่าหลานและทำร้ายพี่สาวของตัวเองอย่างเขาคงไม่มีใครอยากจะมาผูกพันธ์ด้วยอย่างแน่นอน
เสียงกระดิ่งหน้าห้องดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ในขณะที่กำลังนั่งคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
“กร มีธุระอะไรเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเปิดประตูห้องออกแล้วพบว่าเป็นพัสกรที่กำลังยืนยิ้มกว้างอยู่หน้าประตูพร้อมด้วยอาหารมากมายที่หอบหิ้วติดมือขึ้นมาด้วย
“คิดถึงแล้วแวะมาหาไม่ได้รึไง” อีกฝ่ายมองค้อนแล้วเดินเข้าห้องมาอย่างอารมณ์ดี “วันนี้เงินเดือนออก เราเลยแวะซื้อขนมเจ้าโปรดของวีมาให้ จะทานเลยไหมกำลังร้อน ๆ เลย”
“ค่อยทานก็ได้ พอดีเราเพิ่งจะทานข้าวเสร็จน่ะ” ชาวีตอบพลางผายมือไปที่โต๊ะอาหาร
“นี่วีทำเองหมดเลยเหรอ”
“เปล่าหรอก แป้งเขาเตรียมไว้ให้น่ะ”
“ยัยเด็กนั่นยังอยู่อีกเหรอ ไหนบอกจะมาพักด้วยไม่นานไงนี่วีจะไว้ใจคนแปลกหน้ามากเกินไปแล้วนะ” พัสกรฉุนจัดจนเผลอวางถ้วยลงบนโต๊ะเสียงดัง
“ก็แป้งเขาลำบาก เราช่วยได้เราก็ต้องช่วยสิ”
“ช่วยด้วยการปล่อยให้ยัยเด็กนั่นมาเกาะวีกินเหมือนปลิงงั้นเหรอ” ชายหนุ่มสวนกลับทันควัน ลางสังหรณ์บางอย่างมันบอกว่าปรานปราลินกำลังจะเข้ามาพรากชาวีไปจากเขา
“แป้งเขาไม่ได้มาเกาะ เขาไม่ได้อยู่เฉย ๆ เสียหน่อย เขาช่วยเราทำงานด้วยนะกร”
“วีเปลี่ยนไปมากรู้ไหม ไหนวีบอกวีไม่อยากสนิทกับใคร ไม่อยากให้ใครเข้ามาในชีวิตนอกจากเราไงแล้ววีไปเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นให้เข้ามาในชีวิตได้ยังไง”
“เดี๋ยวนะกร เราเปลี่ยนไปตรงไหน เราต่างหากละที่ต้องถามนายว่านายเป็นบ้าอะไร” ชายหนุ่มตวาดลั่น เขาไม่เคยรู้สึกโกรธพัสกรมากเท่าครั้งนี้มาก่อนทั้งที่เขาเองก็รู้ดีว่าพัสกรรู้สึกอย่างไรกับเขา อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ปฏิเสธมันจึงทำให้พัสกรคิดไปไกลมากกว่าคำว่าเพื่อน และนั่นมันก็ทำให้เขาหวั่นไหวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“เออ เราเป็นบ้า เราบ้าเพราะเรารักแกไง เรารักแก! แกก็รู้แล้วแกจะเอาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาในชีวิตทำไม”
“...” ชาวีจนด้วยคำพูด เขาพยายามเก็บอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านไว้ข้างในกลัวว่าถ้ามีปากเสียงกันดังกว่านี้แล้วจะไปเข้าหูของปรานปราลินเข้ามันอาจจะทำให้เธอไม่สบายใจขึ้นมา “กรกลับไปก่อนเถอะ ไว้เราค่อยคุยกัน”
“วี...”
“กลับไปก่อน ตอนนี้เรายังไม่พร้อมจะคุย”
“เรารู้ว่าวีกำลังสับสน วีอาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง แต่วีให้โอกาสเราหน่อยนะ ขอร้อง เรารักวีมากจริง ๆ ” พัสกรปรับน้ำเสียงให้ต่ำลงเมื่อได้สติและรู้ตัวว่ากำลังทำให้ชาวีไม่พอใจ มือหนาตวัดโอบกอดชายหนุ่มเอาไว้ในขณะที่ชาวีกำลังหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ใบหน้าที่หวานละมุนออกไปทางเอเชียซบลงบนแผ่นหลังกว้าง ดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวมีน้ำหยดใสไหลออกมาราวกับรู้สึกผิด“เราขอโทษ...”
ปัง!
เสียงประตูถุกกระชากออกเสียงดังพร้อมกับร่างบางระหงที่อยู่ในชุดนอนลายการ์ตูนโปรดของตัวเอง ใบหน้าหวานมีน้ำตาไหลรื้นออกมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่พัสกรพูดก่อนหน้าเธอได้ยินมันทุกคำ ทุกประโยคอย่างชัดเจน
“หนูต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณสองคนทะเลาะกันหรอกนะคะ”