“ถุงยางกับยาคุม?”
เสียงถามดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ยกเว้นนักรบ น้องชายคนเล็กที่นั่งเงียบ มองนิ่ง แต่กระนั้นม่านตาก็ขยายกว้างขึ้น ตื่นตัวกว่าปกติ แสดงว่าตกใจกับเรื่องเล่าของพี่ชายคนโตอยู่ไม่น้อย
เพราะปลายฝนคือหลานสาวสุดน่ารักของพวกเขา ที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ชนิดที่ทำเอาคนเป็นพ่ออย่างนิรันดร์หัวหมุนแทบไม่ว่างเว้น กังวลทุกลมหายใจเข้าออกเลยทีเดียว ว่าเด็กสาวจะทำอะไร ไปไหน คบกับใคร แม้กระทั่งเพื่อนของลูกก็ยังอยู่ในควบคุมของนิรันดร์
เพื่อนของปลายฝนส่วนใหญ่ถูกนิรันดร์ซื้อตัวให้เป็นสายของตัวเองแทบทุกคน ทำถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ยังมีเรื่องหลุดรอดสายตานิรันดร์จนได้
นอกจากพ่อที่คอยประคบประหงมลูกสาวยิ่งกว่าเพชร
บรรดาอาอย่างพวกตน ก็ทะนุถนอมหลานสาวไม่ต่างกัน
นักรบกับธรณ์ถึงกับเคยไปมีเรื่องกับพวกอันธพาลที่จ้องหลานสาวของตนตาเป็นมันมาแล้ว ตอนพาปลายฝนไปทัวร์ยุโรปปีก่อนนู้น
แล้วพอได้ฟังเหตุการณ์แบบนี้เข้า ใครจะไม่ตกใจ
ในหัวพากันคิดไปต่าง ๆ นานาแล้วตอนนี้ว่าหลานสาวของตนทำตัวเหลวไหลจริงหรือ
เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องทำงานของนิรันดร์เปิดเข้ามาพอดี ทั้งหมดเลยเงียบ เมื่อเห็นเป็นเลขาส่วนตัวของพี่ชาย
ทิวทัศน์ เลขาของนิรันดร์นำเอกสารด่วนมาให้เขาตามสั่ง
ขนาดว่าร่วมงานกันมานานแรมปี แต่ทิวทัศน์ก็ยังแอบสั่นไม่หาย
นิรันดร์เคร่งครัดตลอดเวลา ลูกน้องไม่มีใครกล้าพูดจาล้อเล่นด้วยสักคน เดิมทีสมัยรับราชการตำรวจ เขาถูกฝึกหนักให้อยู่ในกฎระเบียบมาก่อน เมื่อลาออกแล้ว ยังคงติดนิสัยเช่นนั้นมาด้วย
ถึงขนาดเคยมีผู้ช่วยทิวทัศน์คนก่อน ปัสสาวะราดมาแล้ว เพียงแค่เขาถามหาเอกสารการประชุมเท่านั้น
จนเรียบร้อยทิวทัศน์เดินแทบเป็นวิ่ง ออกจากห้องไป
นพรัตน์มองพี่ชายคนโตด้วยความชื่นชมกึ่งเห็นใจอยู่ลึก ๆ
นิรันดร์ในสายตาคนอื่นคงดูเข้มงวด เย็นชา แข็งกระด้างไม่น้อยแต่ลึก ๆ แล้วอ่อนโยนมาก สมัยที่ยังรับราชการ พี่ชายของพวกเขาถือเป็นตำรวจน้ำดีคนหนึ่ง ผิดจากผู้บังคับบัญชาสมัยนั้น ผิดจากพี่ ๆ น้อง ๆ รอบกายคนอื่นที่มักมีข่าวคาวเสียหาย
นิรันดร์ใฝ่ฝันกับอาชีพนี้ตั้งแต่เด็ก เจ้าตัวอยากทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เพราะใจรักจริง ๆ
พี่ชายของเขาไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร นิรันดร์จริงจัง ห้ำหั่น ตาต่อตา ฟันต่อฟันกับพวกนอกกฎหมายเสมอ ตามเอาผิดกับผู้มีอิทธิพลเส้นใหญ่มาแล้วนักต่อนัก ขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหลายครั้ง เมื่อถูกใบสั่งให้หยุดตามคดีสำคัญ ๆ หลายต่อหลายคดี จนเป็นเหตุสู่การถูกลอบทำร้ายครั้งรุนแรงครั้งใหญ่จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดกับคดีลักลอบค้าอวัยวะคราวนั้น
หลังฟื้นตัวจนกลับมาเดินได้ พี่ของเขาก็จำใจต้องลาออกจากราชการ แล้วกลับมาสานต่อกิจการของครอบครัว นิรันดร์ทุ่มเทกับงานมาก แม้จะน้อยกว่าเรื่องของบุตรสาวอยู่ระดับหนึ่งก็ตาม
“ถ้าเป็นลูกสาวมึง พกของพวกเนี้ยในกระเป๋า จะทำยังไงวะ”
พี่ชายคนโตของอัศวหาญญ์วรกุลมีช่วงเวลาที่สามารถคุยเล่นได้เป็นปกติ แต่หากเสียงแข็งแบบนี้แล้ว น้องทั้งสามไม่เคยมีใครกล้าเล่นหัวด้วยเลยสักคน
ธรณ์มีสีหน้าคิดหนัก ดูจากแววตาจริงจังของพี่ชายแล้วไม่กล้ากล่าววาจาล้อเล่นด้วย รู้ใจอีกฝ่ายดีว่ารักบุตรสาวคนเดียวที่เกิดจากภรรยาผู้ล่วงลับมากขนาดไหน แล้วส่ายหน้าตอบด้วยท่าทีเคร่งขรึมปานกัน
“ผมไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าควรต้องทำยังไง” ปั้นหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย บอกเสียงเบา พยายามไม่ยั่วยุพี่ชายคนโตที่อารมณ์ไม่นิ่งเท่าไรนัก “เอาจริง ๆ นะ เมีย...ผมยังหาไม่ได้เลย”
นิรันดร์สบถขึ้นมาคำหนึ่งอย่างมีโมโห เมื่อภาพของบุตรสาวกับเด็กหนุ่มนั่น ผุดเข้ามาในหัวอีกครั้ง
นพรัตน์เลยขยับตัวปรามเอาไว้ “ใจเย็นก่อนครับเฮีย”
“ใครมันจะไปเย็นไหว”
พี่ชายคนโตเค้นเสียงรอดไรฟันบอก แววตาดิ่งลึก ทำเอาทั้งห้องเงียบกริบตามกันไป นพรัตน์ชั่งใจครู่เดียว ค่อยถามอย่างต้องการข้อมูลของคู่กรณีเพิ่มเติม “แล้วแฟนยายหนู ลูกเต้าเหล่าใคร เฮียพอรู้จักพ่อแม่ของทางนั้นบ้างไหมครับ”
“ไม่ใช่แฟน” นิรันดร์แก้สถานะของอีกฝ่ายเสียงเหี้ยม แววตาแข็งกร้าว ตอบอย่างไม่อยากนึกถึงอีกฝ่ายเท่าไรนัก “ชื่อภูห่าเหวอะไรสักอย่าง ไม่ได้จำ พ่อมันชื่ออะไร ทำอะไร อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าแม่จะชื่อขิม”
“อ้าว...” ธรณ์ร้องออกมาคำเดียว แล้วทำอ้อมแอ้มแย้ง “มันฟังดูแปลก ๆ อยู่หน่อยนะครับ ทำไมไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย นอกจากชื่อของ
แม่เด็กนั่นล่ะครับ”
นิรันดร์ปรายตามองหน่อยหนึ่ง ธรณ์รีบเบนหลบไปมองที่โต๊ะแทน รู้ตัวว่าหลุดกวนประสาทพี่ชายออกไป ซึ่งมันจะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกพี่ชายคาดโทษอย่างหนักในเวลาอันใกล้
พี่ใหญ่แห่งอัศวหาญญ์วรกุลส่ายหน้าพร้อมอธิบายเพิ่มเติม
“ก็เขามาตามไอ้เด็กเวรนั่นที่บ้าน ได้เจอกัน ถึงรู้ชื่อเขาไง”
เอ...ปกติพี่ชายของเขาไม่ค่อยจดจำชื่อใครเป็นพิเศษด้วยสิ
แปลกจังที่จำชื่อผู้หญิงคนนั้นได้
ธรณ์ยังคงมองที่โต๊ะ ทำทีเป็นเขี่ยนิ้ววาดวนอะไรกับตรงนั้น ถามเบา ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะป่วนประสาทพี่ “แล้ว...สวยไหมครับ”
นิรันดร์ส่ายหน้าแทบทันที โดยไม่เสียเวลาคิด เหมือนทำตามสัญชาติญาณ ไม่ผ่านการกลั่นกรองแต่อย่างใด และพ่อม่ายอย่างเขาก็ไม่เคยมองใครว่าสวยเกินไปกว่าปิยมาภรณ์ ภรรยาที่จากไปแล้วเลยสักคนเดียว
หวนนึกถึงหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง ใบหน้าเรียวยาวแบบนั้น ใครมองคงว่าสวยดี แต่สำหรับนิรันดร์ เจ้าตัวลงความเห็นว่าเป็นความสวยแบบฉาบฉวย ไม่ลึกซึ้งให้ติดตรึงต้องใจเท่าไรนัก ผิวพรรณก็ขาวจัดอย่างกับคนอมโรค ไม่เหมือนภรรยาของเขาที่ดูสุขภาพดีกว่านี้เยอะ อีกทั้งยังแต่งตัวเปิดโป๊จนเกินงาม ราวกับอยากอวดนวลเนื้อโนมพรรณของตนเอง มันเลยดูขัดกับแววตาไว้ตัว ติดเฉยชาหยิ่ง ๆ นั่น
นิรันดร์เบือนหน้าไปทางอื่นชั่วขณะ ตอบสั้น ๆ “ไม่สวย”
นพรัตน์แอบตั้งข้อสังเกต แล้วเอนตัวไปแย้งกับธรณ์เบา ๆ “ทำไมต้องหลบตา”
คนเป็นพี่ใหญ่นิ่งไปเพราะได้ยินเสียงแย้งของน้องชายคนรอง แล้วถึงหันมาสบตากับน้องชายช้า ๆ เลยทำให้บรรยากาศอึมครึมหนักกว่าเดิม
พวกเขารู้จังหวะเวลาและความเหมาะสมดี ว่าแบบไหนเล่นได้ เล่นไม่ได้ นิรันดร์อาจไม่เข้มงวดกับน้องอย่างพวกตน แต่หากแววตาดิ่งลงเรื่อย ๆ แบบนี้แล้ว รู้ว่าหยอกล้อด้วยไม่ได้อีกแน่ ๆ เลยพากันหลบตา ไม่กล้าพูดจายั่วแหย่รบกวนอารมณ์ของพี่ชายอีก
นิรันดร์เหลือบมองจอโทรศัพท์ เมื่อเสียงแผดดังแทรกขึ้นมา แล้วกดรับสายสนทนา พร้อมกับลุกขึ้นยืนเดินออกไปคุยสายที่ระเบียงด้านนอก เนื่องจากเป็นเบอร์ติดต่อของรุ่นพี่ตำรวจคนดังคนหนึ่งที่สนิทสนมกันตั้งแต่ครั้งยังรับราชการ
ธรณ์มองตามหลังพี่ชายที่เดินออกไปแล้ว หันกลับมาหารือต่อ “ดูแปลก ๆ นะ”
นพรัตน์ยิ้มแล้วส่ายหน้าให้กับความช่างเสี้ยมช่างสงสัยของน้องชาย ไม่มีใครซักถาม พูดจาอะไรต่อจากนั้น ธรณ์เลยหันไปหาน้องชายลำดับถัดจากตนเอง ชวนคุย
“มันจะต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย ว่าไหมรบ”
คนสนิทของนิรันดร์ที่ยืนนิ่งในนั้นด้วย เหลือบตามองทางคนเป็นนาย ที่ตอนนี้ยืนหันหลังคุยสายตรงระเบียง เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ตอนที่แม่ของเด็กนั่นเจอหน้านาย เธอบอกด้วยนะครับ”
“บอกว่า?” เสียงถามของธรณ์ดังแทรกทันที แล้วโบกมือไม้ให้ว่อน ถามเรื่องที่ยังคาใจเมื่อครู่นี้ “เดี๋ยว อย่าเพิ่งตอบ ขอถามก่อนว่าสวยไหม”
“สวยมากครับคุณธรณ์ เซ็กซี่ขยี้ใจไปเลยครับ”
“กูว่าแล้ว”
ธรณ์งึมงำหลังได้ยินคำตอบจากคนสนิทของพี่ชาย ผิวปากหวือเมื่อสมองคิดไปไกลถึงหญิงสาวคนนั้น ให้เครดิตกับคนสนิทของนิรันดร์ เพราะรสนิยมของเจ้านายกับลูกน้องคู่นี้ไม่ได้หนีกันเท่าไรนัก ตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ ให้อีกฝ่ายเล่าต่อ
“สรุปว่ายังไง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าอะไรตอนเจอเฮีย”
“เธอบอกว่า...คุ้นหน้านายครับ เหมือนกับว่าเคยเจอกันมาก่อน อะไรทำนองนี้ล่ะครับ”
สามอัศวหาญญ์วรกุลได้แต่มองตากันปริบ ๆ สุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่นห้อง ธรณ์ถามทั้งที่ยังขำไม่หยุด “นี่มันยุคไหนแล้ววะ มันยังมีคนใช้มุกแบบนี้อยู่อีกหรือ”
นพรัตน์แย้งยิ้ม ๆ “หรือจะเคยเจอกันจริง ๆ เมื่อชาติที่แล้ว?”
ธรณ์ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไป นิ่งคิดอึดใจเดียวรีบออกความเห็นต่อ “หรืออาจเป็นวิญญาณของเจ๊ปิ่น เกิดหลุดออกจากร่าง แล้วไปสิงผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า เห็นฮิตกันอยู่ช่วงหนึ่ง เรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ”
“เพ้อเจ้อ”
แว่วเสียงนักรบบ่นมาคำหนึ่ง ก็เรียกรอยยิ้มของคนในห้องทันที เพราะน้อยครั้งที่น้องคนสุดท้องจะออกความเห็น ไม่ว่าเรื่องอะไร นี่แสดงว่าคงสนใจเช่นกัน แล้วถึงได้พากันหุบยิ้ม ปั้นหน้านิ่งขรึมอีกครั้ง เมื่อนิรันดร์กลับเข้ามาในห้อง เพื่อคุยเรื่องที่ต้องหารือร่วมกันต่อ ไม่วายแว่วเสียงธรณ์บ่นทีเล่นทีจริงอีก ว่าอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ชื่อ ‘ขิม’ คนนั้นบ้าง
แล้วเลยถูกนิรันดร์จัดการกับน้องชายที่เอาแต่พูดเรื่องผู้หญิงคนนั้นไม่หยุด ก่อนแยกย้าย ตัวใครตัวมันในเวลาต่อมา
สิบเก้าวันหกชั่วโมงสามสิบสามนาทีแล้วที่ปลายฝนไม่ยอมคุยกับเขา ถามอะไรก็ไม่ตอบ พูดอะไรด้วยก็ไม่พูด ชวนออกไปเที่ยว ไปข้างนอกด้วยกัน ก็ไม่มีผลตอบรับใดใดทั้งสิ้น
แม่ลูกนิสัยถอดแบบกันแทบไม่ผิดเพี้ยนเลยจริง ๆ
ตอนที่ปิยมาภรณ์กับเขาตกลงคบหากันใหม่ ๆ แล้วมีเรื่องขัดแย้งกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย แต่พอความเห็นไม่ลงรอย เธอก็ใช้วิธีแบบนี้กับเขา เงียบ ไม่พูดด้วย ล้วนต่อต้านเขาทั้งสิ้น
ดึงความคิดกลับมาที่เรื่องที่กำลังขัดแย้งกัน
เขาผิดหรือ ที่เจอถุงยางอนามัยกับยาคุมกำเนิดในกระเป๋าของลูก แล้วจึงออกคำสั่งให้งดสื่อทุกอย่างรอบตัว ก็เพื่อที่จะได้ไม่ไปกระตุ้นให้ลูกอยากรู้ อยากเห็น อยากลองอะไรที่ยังไม่ใช่วัยอันควร
เขาผิดด้วยหรือ
คนเป็นพ่อถึงกับเครียดหนัก แล้วคิดอย่างพาล ๆ ไปถึงสองแม่ลูกคู่นั้น ถ้าไม่มีไอ้เด็กนั่นโผล่เข้ามารู้จักกับลูกสาวของเขา เรื่องแบบนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น เขากับลูกจะไม่มีเรื่องบาดหมางกัน
ชั่วเสี้ยววินาทีที่หัวสมองของเขาแวบไปถึงใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง พร้อมกับร่องอกขาวอวบของเจ้าหล่อนที่โผล่พรวดแทรกผ่านเข้ามาแทนที่
น่ารังเกียจที่สุด นิรันดร์สบถเบา ๆ
ผู้หญิงหน้าอกใหญ่ สมองมักไม่ค่อยมี
ไม่เหมือนปิยมาภรณ์ภรรยาของเขาเลยสักนิด ถึงแม้จะไม่เต็มมือนัก แต่ก็ของแท้ ไม่ปลอมอย่างของเธอคนนั้น น่าจะห้าร้อยซีซีได้มั้งนั่นน่ะ ใหญ่ขนาดนั้น แต่งตัวก็ล่อตาล่อใจ เขาเอาหัวเป็นประกันได้เลย ว่าผู้หญิงแบบแม่นั่นไม่มีทางสอนลูกให้เป็นคนดีได้แน่ โตไปคงได้เป็นมารสังคม ล่อลวงใครต่อใครไปทั่ว
เขาจะต้องกันปลายฝนให้ห่างจากคนพวกนั้น
หน้าอกจะได้ไม่ใหญ่โตแบบ...
โธ่เว๊ย! คิดให้มันพ้น ๆ จากร่องอกนั่นไม่ได้เลยหรือยังไงวะ
นิรันดร์สบถหยาบคายแล้วเดินไปรินเหล้าดื่ม ดับอาการแปลก ๆ ควบคุมความคิดฟุ้งซ่านให้หายไปจากหัวของเขาเสียที แต่แล้วมันกลับโลดแล่นเรื่อยเปื่อยสะเปะสะปะไปทั่ว คุมไม่ได้ ประเดี๋ยวก็กลับไปคิดถึงร่องอกขาวอวบนั่นอีกแล้ว
เหตุใด ตั้งแต่พบหน้าผู้หญิงคนนั้น ความคิดถึงได้แวบวนเวียนเห็นแต่ใบหน้าของเธอ ซ้อนทับกับใบหน้าของอดีตภรรยาอยู่บ่อยครั้ง
หรือเป็นเพราะช่วงนี้เขาเหงามากเกินไป
ห่างหายจากเรื่องอย่างว่านานเกินไปหรือเปล่า
ถามจบ หาคำตอบให้ตัวเอง ก็ไม่นี่นา...
ปัดความคิดพวกนั้นทิ้ง วางแก้วลง แล้วเดินไปยังห้องของบุตรสาว ยืนนิ่งเป็นครู่ ค่อยออกปากเรียกตรงหน้าประตูบานใหญ่บานนั้น สุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องวนเวียนกลับมาง้อลูกอยู่ดี
“ปลายฝนคนดีของพ่อ เปิดประตูให้พ่อหน่อยครับ”
เงียบไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด นิรันดร์เคาะเบาๆ แล้วทาบฝ่ามือกับประตูตรงหน้า พูดเสียงไม่ดังนัก กะว่าอย่างไรปลายฝนก็ต้องได้ยินเสียงของเขา
“มะรืนนี้ ครบรอบวันที่คุณแม่จากเราไปแล้วนะ ลูกจะไปวางดอกไม้ด้วยกันไหม”
เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง ที่ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างไว พร้อมกับแก้วตาดวงใจของเขายืนมองนิ่งตรงนั้น ใบหน้าน่ารักดูตึง ๆ กระนั้นเจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์ตอบรับสั้น ๆ ว่า “ไปค่ะ”
นิรันดร์ยิ้มอย่างอ่อนใจแล้วบอก “เราไปพักที่รีสอร์ตเดิมไหมลูก เดี๋ยวให้พี่กล้วยมาช่วยจัดกระเป๋านะครับ”
บอกจบทำท่าหันหลังจะไป ปลายฝนอึกอักหน่อยเดียวก็รีบเรียกบิดาเอาไว้ก่อน
“คุณพ่อคะ”
คนเป็นพ่อยิ้มออกมาได้ในวินาทีนั้น ข้างในราวกับดอกไม้ดอกใหญ่บานจนเต็มพื้นที่ ดีใจที่ลูกมีท่าทีดูดีขึ้น ขานรับสั้นๆ “ครับ”
เด็กสาวอิดออดหน่อยหนึ่ง ค่อยเปิดปากพูด
“ของที่คุณพ่อเห็นในกระเป๋าลูก มันไม่ใช่ของลูกนะคะ เพื่อนคนหนึ่งของลูกยืมกระเป๋าไปใช้ แล้วก็เพิ่งเอามาคืน ลูกไม่อยากโทษว่าเป็นของใคร แล้วลูกก็ยังไม่ได้เปิดกระเป๋าดูอะไรในนั้นเลย ก็เลยไม่ทราบว่ามีของแบบนั้นในกระเป๋า จนคุณพ่อมาเห็นเข้า”
นิรันดร์เงียบไปเป็นครู่เมื่อฟังคำชี้แจงจากปากของลูกบ้าง เขาไม่พูดว่าอะไร นึกดีใจที่ปลายฝนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก่อนเขา ทั้ง ๆ ที่เขาพยายามไม่ขุด ไม่รื้อฟื้นมันขึ้นมา คนเป็นพ่อมองเข้าไปในดวงตาดื้อรั้นซุกซนที่ตนทั้งรักทั้งหวง แล้วพยักหน้าเบา ๆ บอกกลับไป
“ครับผม พ่อเข้าใจแล้วครับ”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว เด็กสาวค่อยยิ้มออก
“ขอบคุณนะคะที่คุณพ่อเชื่อใจลูก”
ปลายฝนโผกอดเอวบิดาแน่น นิรันดร์เองกอดตอบอย่างรักและหวงแหนเช่นกัน บอกขณะที่ยังกอดแก้วตาดวงใจเอาไว้
“พรุ่งนี้เราเดินทางกันแต่เช้าดีกว่า เดี๋ยวพ่อไปตามพี่กล้วยมาเก็บกระเป๋าให้นะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวลูกจัดการเอง”
นิรันดร์อยู่คุยกับบุตรสาวอีกครู่ ค่อยปล่อยให้เก็บเสื้อผ้าข้าวของตามลำพัง จนถึงเวลาเดินทางก็พากันขับรถไปกันสองคนพ่อลูก ไม่นานก็ถึงจุดหมาย
ทุกปี เขาจะพาบุตรสาวขับรถไปยังจุดที่พรากปิยมาภรณ์ไป เพื่อนำดอกกุหลาบสายพันธ์บิช็อปคาสเซิลที่เธอชอบ ไปวางไว้ให้ที่ตรงนั้น เพื่อเป็นการรำลึก
แม้จะผ่านมาสิบสามปีแล้ว แต่ความรู้สึกก็ยังคงใหม่สดอยู่เสมอ นิรันดร์ยังคงเจ็บร้าวลึก ๆ ในใจ เขาพยายามทำใจยอมรับความสูญเสียครั้งนี้ สูดลมหายใจเข้าลึก โอบไหล่บุตรสาวเข้ามาแนบชิด แล้วชักชวนกันเมื่อยืนนึกถึงคนที่จากไปจนพอแล้ว
“กลับกันเถอะ”
ปลายฝนส่งยิ้มจาง ๆ วางมือตัวเองกับมือของบิดา จับจูงพากันกลับขึ้นรถ นิรันดร์พาลูกขับรถเล่นชมบรรยากาศแถวนั้นอีกครู่ จนไปเจอเข้ากับป้ายประกาศขายที่ดินแปลงใหญ่ ไม่ไกลจากบริเวณที่ปิยมาภรณ์ประสบอุบัติเหตุ เขาจอดรถทันที แล้วลงไปยืนกวาดสายตาสำรวจรอบ ๆ ตรงนั้น ค่อยยกโทรศัพท์ต่อสายตรงไปยังเบอร์ติดต่อบนป้ายประกาศนั่น
คุยกันเดี๋ยวเดียว นิ่งคิดอะไรในหัวสักพัก แล้วกลับขึ้นรถอย่างเดิม นาทีต่อมา จึงติดต่อกับเพื่อนที่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างพูดจากันอีกหลายประโยค ค่อยวางสายไป
“มีอะไรหรือคะคุณพ่อ”
ปลายฝนถาม เมื่อเห็นบิดาออกรถมาแล้ว
นิรันดร์มองบุตรสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วเอ่ยถึงเรื่องที่เขาตั้งใจจะทำหลังจากนี้ คนเป็นพ่อยิ้มกริ่มขณะขับรถกลับที่พักในเวลาต่อมา
“คุณเชื่อเรื่องจิตหลุด (วิญญาณหลุดออกจากร่าง) ไหม”