“แม่เชื่อว่าภูไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดอย่างที่พ่อของเด็กคนนั้นกล่าวหา...ใช่ไหมครับภู”
ขิมแขถามทำนองเข้าข้างบุตรชาย กระนั้นก็ย้ำในตอนท้ายอีกที อยากให้อีกฝ่ายเล่าความจริงทั้งหมดออกมาอย่างเต็มใจมากกว่าการเค้นบังคับ ประเดี๋ยวเจ้าตัวจะตอบรับออกมาพร้อมเหตุผลที่เธอควรรู้ อย่างน้อยก็ดีกว่าฟังจากคู่กรณีฝ่ายเดียว โดยที่ลูกของเธอไม่มีโอกาสได้พูดอะไร
ภูผาถอนใจเฮือกหลังคำกล่าวเชื่อใจ และการถามย้ำในตอนท้ายของมารดา นิ่งเงียบอีกเป็นนาทีไม่ยอมพูดอะไร
ขิมแขชำเลืองมองบุตรชายแวบหนึ่ง หันกลับไปที่ถนนอย่างเดิม เม้มปากนิดๆ ชั่งใจว่า จะทำอย่างไรต่อจากนี้ดี สุดท้ายก็ค่อยตะล่อมต่ออีกหน่อย
“ภูพร้อมแล้ว ค่อยเล่าให้แม่ฟังก็ได้นะ ว่าเรื่องมันเริ่มต้นจากตรงไหน…คนนี้ใช่ไหมที่ภูเคยเล่าให้แม่ฟังว่าเจอกันตอนไปค่ายน่ะ”
ภูผาพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ “ใช่ครับ”
เย้ากลับยิ้มๆ “น่ารักดีนี่ หน้าเขาเหมือนกันเลยนะพ่อลูกคู่นั้นน่ะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มค่อยยิ้มออก เมื่อมารดาเปลี่ยนเรื่องสนทนา จนทำให้บรรยากาศบนรถคลายความอึดอัดลง
ขิมแขถามต่อ “ชื่ออะไรนะภู”
“ปลายฝนครับ”
“ปลายฝน...” ขิมแขทวนชื่อเบาๆ ถามออกมาอีกประโยค ขณะพารถเข้าโค้งของถนนที่กำลังมุ่งหน้ากลับสู่บ้าน “เกิดเดือนตุลา?”
“ใช่ครับ ทำไมคุณแม่รู้” เด็กหนุ่มถามกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วบอกต่ออย่างที่รู้มาจากเจ้าของชื่ออีกที “ฝนเล่าว่าชื่อนี้แม่ฝนตั้งให้น่ะครับ”
ขิมแขขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ถามอย่างไม่เคยซอกแซกถามใครแบบนี้มาก่อน
“แล้ว...แม่เขาไปไหน”
“อุบัติเหตุทางรถยนต์ครับ เสียชีวิตไปนานแล้วตั้งแต่ฝนสองขวบ”
ขิมแขครางอือในลำคอเป็นการตอบรับ ถอนใจเฮือก นึกสงสารเด็กสาวคนนั้นทันที แบบนี้เอง แล้วพ่อก็คงเลี้ยงลูกไม่เป็น อาจปล่อยปละละเลยจนทำให้เด็กสาวมีพฤติกรรมแบบนั้น แล้ววกเข้าเรื่องที่คาเอาไว้เมื่อนาทีก่อนหน้า “แผลของภู ใช่จากงานคอนเสิร์ตอะไรนั่นหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มถอนใจเบาๆ เมื่อหลบเลี่ยงต่อไม่ได้อีกแล้ว พยักหน้าตอบรับ “ใช่ครับ ผมนัดฝนไปดูคอนเสิร์ตครับ”
เด็กหนุ่มยืดอกรับผิดเอง แม้ความจริงแล้ว ปลายฝนต่างหากที่ชวนตนไป พอปฏิเสธว่าไปไม่ได้ ทางนั้นก็งอนแล้วว่าจะชวนเพื่อนของเขาไปแทน
ภูผาเสียงอ่อยบอกเธอ “ขอโทษนะครับที่ภูโกหก”
ขิมแขยิ้มอ่อนใจ นึกถึงที่ภูผาโกหกว่าจะไปเข้าค่ายติววิชาการกับเพื่อน ที่ไหนได้ ลูกชายนัดสาวเที่ยวเสียแล้ว
ยังก่อน เธอยังไม่ว่าอะไรในตอนนี้ ตะล่อมถามต่อ
“ยังไงล่ะทีนี้ มันเกิดอะไรอีกจากนั้น”
“ฝนถูกพวกผู้ชายเกเรในนั้นรุมน่ะครับ แล้วก็ฉุดลากจะพาไปที่อื่น ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลย...”
ได้ยินแล้วก็พอคาดเดาเหตุการณ์ต่อจากนั้นได้ ถามดักยิ้มๆ
“เลยไปมีเรื่องกับพวกนั้น เพราะช่วยสาวงาม?”
ภูผาพยักหน้าเป็นการตอบรับ โหนกแก้มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
“ประมาณนั้นครับ”
“หล่อชะมัดเลยลูกชายแม่ แต่...” เธอชมก่อนสอนต่อจากนั้น และพ่อตัวดีก็รีบขัดอย่างรู้ทัน
“แต่ภูควรไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น” ภูผาบอกเสียงอ่อย ไม่ลืมอ้อนมารดา “แล้วผมก็ถูกซ้อมจนน่วมอย่างที่เห็นนี่ละครับ”
ขิมแขเลยอดค้อนส่งให้ไม่ได้
“ในงานไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเลยหรือไง น่าแปลกจัง”
“มีครับ” ภูผาตอบรับแล้วเล่าเรื่องในตอนนั้นให้ฟังไม่ปิดบัง “แต่พอดีผมกับฝน เราชวนกันว่าจะไปดูดาวตรงจุดที่เขาห้ามเข้า”
“อ้อ...” ขิมแขเลยเข้าใจได้ในตอนนั้นเอง ลูกชายของเธอพาเด็กสาวคนนั้นหลบไปดูดาวกันสองต่อสอง ห่างตาคน เลยเปิดโอกาสให้พวกคนไม่ดีใช้จังหวะนี้เข้าไประรานได้ ในที่สุดก็รู้เรื่องราวเสียทีว่าเป็นมาเป็นไปอย่างไร
“หลังจากนั้น ปลายฝนเลยพากลับมาที่บ้านของเธอครับ” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ภูผาจึงเล่าต่อจนจบ
“กลับมายังไง เด็กคนนั้นขับรถได้หรือ แล้วใบขับขี่?”
ภูผายิ้มเจื่อน ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบว่าปลายฝนไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์
คนเป็นแม่เลยได้แต่ผ่อนลมหายใจด้วยความเพลีย ไม่เห็นด้วยเลยที่บ้านนั้นให้เด็กอายุเท่าภูผาใช้รถยนต์ได้แล้ว พ่อของเด็กสาวปลายฝนคงคิดว่ามีเงิน เลยใช้เงินแทนความรัก ความอบอุ่นให้ลูกได้ละมัง
หากขับรถไปชนใครเข้า ความรับผิดชอบจะมีไหม
คิดอย่างหนักใจ ถามให้คลายสงสัยอีกข้อ
“ตอนเข้าบ้านหลังนั้น พ่อเขาไปไหน คนของเขาอีก ทำไมไม่เห็นลูก”
“ฝนแอบพาเข้าทางหลังบ้านครับ มีพี่เลี้ยงของฝนคอยช่วยพาไป”
ได้ยินแล้วก็เผลอบ่นออกไปไม่ได้ “แสบจริง ๆ เลยเด็กคนนี้”
“ฝนแค่อยากทำแผลให้ผมครับ” รีบออกปากปกป้องคนที่ตนมีใจให้ ขิมแขเหลือบตามอง ถอนใจ บอกยิ้ม ๆ
“แม่รู้จ้ะ”
“คุณแม่อย่าว่าฝนเลยนะครับ”
ขิมแขยิ้มอีกหน่อยแล้วว่า “ทำผิดก็ต้องว่ากล่าวตักเตือนเป็นธรรมดานี่นา แต่ภูอย่าลืมนะ…” ยังพูดไม่จบประโยคดี ภูผารีบขัดด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ภูไม่ลืมครับคุณแม่ ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะมีความรักแบบหนุ่มสาว”
“ใช่จ้ะ ตอนนี้ลูกมีหน้าที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น เพื่อนมีได้ คบหากันได้ แต่อย่าเกินเลยจนควบคุมไม่ได้”
“ครับ ภูไม่ลืมครับ”
ขิมแขหันมายิ้มให้บุตรชาย บอก “นี่ถ้าคุณพ่อไม่ติดสัมมนาที่ญี่ปุ่น คงได้เจอปลายฝนด้วย”
ภูผามีสีหน้าอึดอัดใจเล็กน้อย บอกเสียงนุ่มนวลติดอ้อนวอน
“อย่าเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟังได้ไหมครับ”
ได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นของภูผา ก็รู้ว่าลูกไม่สบายใจ ขิมแขถามกลับ แม้พอจะคาดเดาคำตอบได้ก็ตาม “ทำไมจ๊ะ”
“ภูกลัวคุณพ่อผิดหวังในตัวภูครับ”
ลาสายตาจากถนนชั่วขณะ มองทางภูผา หลังได้ยินคำตอบ
‘นายแพทย์พิริยะ’ บิดาของภูผาเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง เลี้ยงลูกเข้มงวดและคาดหวังกับภูผามาก หากทราบว่าบุตรชายคนเดียวโกหกเพื่อไปเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศ แล้วยังไปมีเรื่องชกต่อย ย่องเข้าบ้านเขาแบบนี้ ภูผาคงได้เจอข้อหาหนัก ถูกกักบริเวณ และอาจต้องอ่านแต่หนังสือจนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนอีกเป็นแน่
ขนาดว่าตัวไม่ค่อยอยู่บ้าน นายแพทย์พิริยะก็ยังสามารถเคี่ยวเข็ญภูผาให้อ่านแต่หนังสือตลอดเวลาได้ โดยผ่านทางคนของเขา จนเธอต้องเข้าขันอาสาว่าจะเคี่ยวเข็ญดูลูกให้เอง แล้วเพิ่งมีโอกาสได้แตกแถว แอบหนีเที่ยวครั้งนี้เป็นครั้งแรก เริ่มทีแรกก็เล่นเอาเสียหนัก ไปมีเรื่องมีราวเข้าจนได้ ภูผาคงเป็นพวกทำตัวเหลวไหลไม่ขึ้นละมัง
ขิมแขถอนหายใจเบาๆ เมื่อนึกถึงนายแพทย์พิริยะ รับปากกับภูผา “ได้ลูก แม่สัญญาว่าเรื่องนี้เราจะรู้กันแค่สองคนเท่านั้น”
“ขอบคุณครับ”
ภูผาบอกด้วยสีหน้าคลายกังวล ยิ้มให้ขิมแขอย่างโล่งใจ
“แม่ตกใจมากรู้ไหม ตอนพวกเขาโทรหาแม่ กำลังเป็นนางแบบให้กานดาอยู่เลย ชุดก็ไม่ได้เปลี่ยน รีบออกไปรับภู”
ภูผามองชุดของเธอแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“คุณแม่ใส่ชุดแบบนี้ก็สวยดีครับ”
เธอยิ้มก้มลงมองเสื้อแวบหนึ่งแล้วบ่น “สวยก็สวยดีหรอก แต่โป๊ไปหน่อย ภูว่าไง”
บอกจบนึกถึงสายตาคมดุคู่นั้นของชายคนนั้นที่มองเธอเมื่อครู่ คงคิดว่าเธอเป็นพวกแต่งตัวสวยไร้สมองไปวัน ๆ ละมัง ช่างเขาสิ คิดอย่างไร แบบไหน ก็ช่างประไร ใครสน เพราะคงไม่ได้วนไปเจอกันอีกแล้ว ท่าทางหวงลูกสาวขนาดนั้น คงไม่มีทางปล่อยออกมาเจอใครอีกเป็นแน่
แว่วเสียงภูผากล่าวขัดขึ้น
“แม่ขิมของภูใส่ชุดไหนก็สวยครับ”
ได้ยินลูกยอออดอ้อนแบบนั้นแล้ว อดยกมือข้างที่ไม่ได้จับพวงมาลัยลูบศีรษะบุตรชายเบา ๆ อย่างมันเขี้ยวไม่ได้ แล้วคุยเรื่องอื่นเอื่อยเฉื่อยเรื่อยไป พารถมุ่งหน้าสู่จุดหมายในเวลาต่อมา
นิรันดร์ถอนใจหลังละสายตาจากภาพวาดเหมือนของปิยมาภรณ์ อดีตภรรยา หญิงสาวเพียงคนเดียวอันเป็นที่รักของเขา ก่อนพึมพำอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่เจอในตอนนี้ ลูกของเขาไปคบเพื่อนผู้ชายตอนไหน แล้วพากันเข้ามาในบ้านแบบนี้ได้อย่างไร
“ปิ่น ลูกเป็นอย่างที่คุณทายเอาไว้ไม่ผิดเลย”
กล่าวจบ หวนนึกถึงตอนที่เธอคลอดลูกใหม่ ๆ แล้วพากันคาดเดาถึงบุตรสาว ว่าโตไปจะเป็นคนลักษณะเช่นไร
‘ลูกสาวคุณต้องแสบ แก่น แล้วก็เถียงคุณฉอด ๆ ๆ แน่เลยตอนแกโตน่ะค่ะ’
‘ทำไมครับ’
‘เพราะปิ่นก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันน่ะสิคะ’
จำได้ว่าตอนนั้นเขาขมวดคิ้วแทบผูกกันเป็นโบว์ เพราะภรรยาของเขาห่างไกลจากยายตัวแสบไกลโขเลยทีเดียว ปิยมาภรณ์ยิ้มหวานให้เขา แล้วเล่าต่อ
‘เมื่อก่อนปิ่นเป็นแบบนั้นจริง ๆ นะคะ แต่พอปิ่นโตขึ้น เจอคน เจออะไรเยอะขึ้น ถูกสั่งสอน ถูกหล่อหลอม ก็รู้ว่าทำตัวแบบเก่าไม่ได้แล้วน่ะสิ’
‘ลูกสาวของเราไม่เกเรแบบคุณแน่นอน ผมมั่นใจ’
จำได้ว่าเขาปลอบใจเธอไปแบบนั้น ก็อดถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้ เมื่อรู้ซึ้งแล้วว่าปลายฝน บุตรสาวทำตัวได้แสบสันขนาดไหน
เดินออกจากห้องตรงไปยังห้องนอนของบุตรสาว ช่วงนี้เขาคิดถึงปิยมาภรณ์บ่อยยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ตอนที่สูญเสียเธอไปใหม่ ๆ เขาทำใจอยู่เป็นนาน ผ่านไปเกือบห้าปีที่ความเสียใจถึงค่อย ๆ ละระดับลงมา นึกว่าตนทำใจได้แล้วเสียอีก แต่เปล่าเลย เขายังคงรู้สึกเหมือนกับว่าเธออยู่ในหัวใจของเขาเสมอ ไม่ได้จากไปไหน
หยุดลงที่หน้าห้องบุตรสาว เคาะประตูเบา ๆ นิ่งอึดใจ ค่อยออกปากเรียกคนในนั้น
“ปลายฝนครับ เปิดประตูให้พ่อหน่อย”
เด็กสาวเจ้าของชื่อผละจากหมอนที่ชื้นไปกว่าครึ่งใบ เพราะน้ำหูน้ำตาที่เอาแต่ไหลพรากอยู่ร่วมชั่วโมง เด้งตัวขึ้นนั่งทับส้นเท้า ตะโกนตอบกลับไม่ดังนัก ทั้งยังอู้อี้เล็กน้อย สูดน้ำมูกฮึด ๆ เป็นจังหวะ
“คุณพ่อมีอะไรจะดุจะด่าจะว่าลูกอีกคะ ยืนพูดตรงนั้นได้เลยค่ะ ลูกได้ยิน”
“โถ...ทูนหัวของพ่อ”
นิรันดร์ครางเสียงอ่อย ใจหล่นไปกองใต้ตาตุ่มทันทีที่ได้ยินคำตัดพ้อของบุตรสาว นิ่งไปอีกครู่ เอ่ยวอนขอต่อจากนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิม
“เปิดประตูให้พ่อเถอะครับคนดี”
ในห้องเงียบไปครู่ ถึงได้มีเสียงคนในนั้นตัดพ้อกลับมา
“คุณพ่อฉีกหน้าลูกต่อหน้าคนอื่น ทำให้ลูกอะ...อาย” ปลายฝนพูดไม่จบดี ก็สะอื้นไห้ออกมาอีก นิรันดร์ร้อนผ่าวไปหมดทั้งหัวอกหัวใจ เคาะประตูระรัว บอกลูก
“โธ่...เปิดประตูก่อน แล้วเราค่อยคุยกันไม่ได้หรือยังไงทูนหัวของพ่อ”
เด็กสาวเม้มริมฝีปากสีชมพูอ่อนเบา ๆ อย่างใช้ความคิด ครู่เดียวก็ลุกจากเตียงนอน ยกแขนปาดป้ายน้ำตาลวก ๆ เดินไปเปิดประตูให้บิดาในที่สุด
ทันทีที่เห็นดวงตาซุกซนดื้อรั้นแดงกล่ำทั้งยังบวมตุ่ย หัวใจคนเป็นพ่อก็แทบสลาย นิรันดร์เดินเข้ามากอดร่างบุตรสาวด้วยความรักท่วมท้น เสียงอ่อนลง
“พ่อขอโทษครับ...พ่อขอโทษ”
คนเป็นพ่อเอ่ยปากอย่างนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่ลงรอยกันกับบุตรสาว มาดขรึมเข้มที่ใครต่อใครคุ้นตา บัดนี้อ่อนสลายละลายยวบยาบกลายเป็นคนละคนไปแล้ว
นิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุลแข็งกับคนอื่นเสมอ แต่กับบุตรสาวเขาใจแข็งนาน ๆ ได้ที่ไหนกัน และสิ่งที่เกิดเมื่อครู่นั่นก็เป็นเพราะเขาหลุดบันดาลโทสะออกไป เพราะถูกยั่วยุ จนควบคุมตัวเองไม่อยู่
ผู้หญิงคนนั้นราวกับรู้จุดอ่อนของเขา ทำอารมณ์ของเขาทะยานขึ้นลงได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร
นิรันดร์รีบปัดความคิดทิ้ง หันมาสนใจที่บุตรสาวของตนเอง
ปลายฝนมุ่ยหน้าในอ้อมกอดของบิดา เงียบ ไม่พูดอะไรคล้ายกับจะบอกด้วยท่าทางว่ายังไม่ยอมรับคำขอโทษของคนเป็นพ่อ เห็นท่าทีของลูกแล้ว ก็ค่อยดันร่างเล็กในอ้อมกอดออก อ้อนตามแบบฉบับที่ใช้ได้ผลเสมอ
“คนดี อย่าโกรธพ่อเลยนะครับ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก โอเคไหม”
ปลายฝนเงียบอึดใจ บอกด้วยท่าทีงอนๆอยู่บ้าง “ไม่โอเคค่ะ ลูกโกรธ ลูกน้อยใจที่คุณพ่อไม่เคยเชื่อใจลูกเลย”
“ก็...” จะให้เชื่อใจได้อย่างไร ลูกสาวของเขา หัดโกหกเขาแล้ว
นิรันดร์อึกอัก อึ้งกับสิ่งที่ลูกเอ่ยออกมา
ตอนนี้ลูกโกรธ ลูกน้อยใจเขา และพ่อเลี้ยงเดี่ยวผู้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งมาทั้งชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ก่อนหน้าลูกเขาบอกอะไรก็เชื่อก็ฟังมาตลอด แล้วนี่ทำไมพฤติกรรมพลิกเปลี่ยนไปแบบนี้ เขารับมือไม่ได้ ตั้งตัวไม่ทัน หัวสมองก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างในความน้อยใจของลูก
ที่ทำ ที่พูดไปนั่น ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจลูกเสียทีเดียว อันที่จริงเขาไม่ไว้ใจไอ้เด็กหนุ่มนั่นมากกว่า นึกกลัวว่านี่อาจเป็นสิ่งเลวร้ายที่จะเข้ามาล่อลวงลูกสาวของเขาให้เดินทางผิด จนอาจเสียอนาคตได้
มองใบหน้าของลูกแล้วก็ถอนใจเฮือก ปลายฝนของเขาทั้งสวยทั้งน่ารัก น่ารักเสียจนเขาไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ ไม่อยากให้ปลายฝนออกไปไหนเลย กลัวเจอคนไม่ดี มาหลอกลูกของเขา
คนเป็นพ่อกลัวไปหมด
กลัวบุตรสาวจะได้รับอันตราย และอีกสารพัดความกลัว
แต่ปลายฝนไม่เข้าใจในจุดนี้ ก่อนหน้ายังเด็ก พ่อบอกอะไรก็ยังเชื่อฟังคำพ่อ แต่เมื่อโตขึ้น วัยเริ่มเปลี่ยน ฮอร์โมนเริ่มทำงาน ก็จะไม่ฟังคำของพ่ออีกแล้ว เจ้าตัวเหมือนกับจะทำทุกอย่างที่เขาห้ามปราม ไม่ให้ทำ
ไอ้เรื่องไปดูคอนเสิร์ตนี่ก็เหมือนกัน ปลายฝนเอ่ยขอไปดูคอนเสิร์ตแล้วในทีครั้งแรก แต่เขาไม่ได้
เลยใช้วิธีโกหกว่าจะไปเข้าค่ายติววิชาการบ้านเพื่อน วางแผนดิบดี ให้ทั้งพี่เลี้ยง ให้ทั้งเพื่อนของตัวรุมหัวกันหลอกคนสนิทของเขา หลอกเขาด้วย ว่านอนอยู่ที่บ้านเพื่อน แต่แอบไปดูคอนเสิร์ตเสียไกลถึงต่างจังหวัด
แค่เท่านี้ หัวอกคนเป็นพ่อก็แทบแย่อยู่แล้ว
ยังจะพาไอ้หน้าขาวสายเกาเข้าบ้านมาอีก
ไหนจะเรื่องที่ไปนอนทำท่า ทำทาง...
ฮึ่ย! นึกถึงภาพนั่นทีไร อกใจพลันเดือดพล่านราวกับถูกราดด้วยน้ำต้มร้อน ๆ ทุกที พยายามทำใจให้เย็นลง สงบลมหายใจตัวเอง บอกเสียงอ่อน
“ตอนนั้นพ่อโกรธครับ พ่อยอมรับ แล้วทำไมลูกต้องไปนอนหงายให้มัน...” หลุดปากเอ่ยถึงเด็กเวรนั่นแล้วก็ชะงักไป ไม่เอาแล้ว ไม่พูดดีกว่า เปลี่ยนไปท้วงเรื่องที่เคยสัญญิงสัญญากันแทน “พ่อบอกลูกแล้วนี่ครับ ว่าพ่อยังไม่อยากให้ลูกของพ่อมีแฟน ไม่อยากให้หนูคบหาเพื่อนผู้ชายตอนนี้ มันยังไม่ถึงวัยที่ลูกจะต้องโฟกัสเรื่องความรัก ปลายฝนของพ่อยังเด็กอยู่เลยนะ” ปลายเสียงทำงุ้งงิ้งอ้อนบุตรสาว พยายามโน้มน้าวให้คล้อยตาม มือข้างหนึ่งของนิรันดร์ยกขึ้นเกลี่ยเส้นผมปอยเล็กที่บดบังใบหน้าออก
เด็กสาวทำปากยื่นอย่างที่คนเป็นพ่อมองแล้วก็ว่าน่ารักนัก
“สิบหกแล้วค่ะคุณพ่อ ลูกไม่ใช่เด็ก ๆ อีกต่อไปแล้วนะคะ”
นิรันดร์โน้มศีรษะมากอดเบาๆ จูบลงบนเส้นผมอย่างแสนรัก“เพิ่งจะสิบห้าครับทูนหัว”
“อีกไม่ถึงปีหรอกค่ะ ลูกก็จะสิบหก”
“สิบหกก็ยังเด็กอยู่ดีครับ ลูกสาวของพ่อยังมีแฟนไม่ได้” คนหวงลูกบอกเสียงขึงขัง
“ลูกก็ยังไม่ได้มีแฟนนี่คะ”
“อ้าว แล้วไอ้เวรนั่น…” ปลายฝนมองบิดาตาดุใส่ท่าน บ่น
“คุณพ่อเรียกเพื่อนของลูกด้วยคำไม่สุภาพอีกแล้วนะคะ”
นิรันดร์บดกรามกรอดอย่างขุ่นเคือง เมื่อได้ยินลูกติงเช่นนั้น
“นั่นแหละ เรากำลังพูดถึงคนคนเดียวกันอยู่ครับ สรุปว่ามันไม่ใช่แฟนของลูกใช่ไหม”
เด็กสาวไม่ยอมเอ่ยถึงสถานะของตนกับภูผาอีก รู้ว่าเมื่อครู่ปดไป ก็เพราะไม่อยากให้บิดากังวล แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องดีดีของอีกฝ่ายแทน “ภูน่ะ เขาช่วยลูกเอาไว้ค่ะคุณพ่อ”
คนเป็นพ่อหรี่ตาลงหน่อยหนึ่ง ถามห้วนอย่างไม่นึกให้ราคา
“มันช่วยอะไร”
“มีคนมารังแกลูกค่ะ ภูเลยเข้ามาช่วยเอาไว้ จนถูกรุมทำร้ายน่ะสิคะคุณพ่อ”
นิรันดร์แค่นหัวเราะ เอ่ยเสียงเย็น “สุภาพบุรุษตายห่_ ล่ะ”
บุตรสาววัยรุ่นได้ยินคำสบถของบิดา ก็ร้องแหวขึ้นอีก
“คุณพ่อ! พูดไม่เพราะอีกแล้วนะคะ”
“โอเคครับ แล้วเป็นยังไงต่อ ลูกถูกคนทำร้าย มันมาช่วยลูก ลูกเลยพามันมาทำแผลที่บ้านของเรา ทำไมลงไปนอนอะไรกันท่านั้น”
ปลายฝนมองหน้าบิดาอย่างเคืองๆ ที่ยังเรียกภูผาว่า ‘มัน’ เดินมานั่งกับพื้นห้อง สาธิตเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านมองด้วยสายตาไม่ดี
“คุณพ่อมานั่งตรงนี้สิคะ”
นิรันดร์ประเมินอึดใจ ค่อยเดินไปนั่งบนเตียงนอนสีชมพูอ่อน ทำสัญญาณเรียกบุตรสาวให้ขึ้นมาบนนี้แทน
ปลายฝนหน้ามุ่ย เดินมานั่งข้างๆ แล้วเล่า
“นี่ไงคะ ภูนั่งให้ลูกทำแผลตรงนี้ ลูกก็นั่งท่านี้ทำแผลให้ภู แต่แผลภูมีหลายแผล ลูกทำไปทำมาก็เลยเป็นตะคริวค่ะ แล้วก็เลยให้ภูยืดกล้ามเนื้อให้ จนคุณพ่อมาเห็นนั่นแหละ”
นิรันดร์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ หรี่ตามองบุตรสาว เมื่อไม่พบพิรุธ บอกตัวเองว่าอย่ากังวลจนเกินเหตุนัก เรียกบุตรสาวเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน
“มานี่มา ขอพ่อกอดลูกสาวคนสวยของพ่อหน่อย”
ปลายฝนอิดออดอยู่ครู่
นิรันดร์เห็นแล้วก็ยอกแสลงในใจ ทำไมปีสองปีสามปีก่อน เรียกปุ๊บก็ถลามาหาเขาปั๊บ พอโตขึ้น ฮอร์โมนเปลี่ยน ความคิด จิตใจและพฤติกรรมจึงเปลี่ยนไป เลยทำให้อิดออด ไม่ยอมให้กอดง่ายๆ เหมือนตอนที่ยังเป็นยายหนูของพ่ออีกแล้ว
พอลูกไม่ยอมขยับหา คนพ่อก็ขยับไปโอบตัวบุตรสาวเข้ามากอดเสียเองด้วยความรักล้นปรี่ทั้งหัวใจ
ปลายฝนของพ่อไม่ช่างคุย ไม่เล่าเรื่องเก่งแบบก่อนอีกแล้ว แล้วก็เริ่มพูดจาโกหก บางทีก็พูดจริงบ้างไม่จริงบ้าง เริ่มแยกตัว ปลีกตัวอยู่แต่ในห้อง มีโลกส่วนตัวของตัวเอง ไม่มีเขาอยู่ร่วมในโลกของลูกอีกแล้ว งึมงำเสียงเบา
“กลับไปเมื่อตอนลูกสองขวบอีกทีจะได้ไหม”
เด็กสาวแหงนหน้ามองคางบิดา ถามด้วยความงุนงง
“ทำไมคะ”
นิรันดร์ไม่ตอบคำถามนั้น ใจของเขาแปลบปลาบขึ้นอีกแล้ว
ความอ่อนแอที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของหัวใจ ทำให้เขาหลุดปากพูดมันออกมา เขาอยากให้ลูกกลับไปเมื่อตอนสองขวบก็เพราะอยากให้เวลาย้อนกลับไปตอนนั้นอีกครั้ง ตอนที่ปิยมาภรณ์ยังมีชีวิตอยู่
หากย้อนได้จริง เขาจะไม่มีทางให้เกิดเหตุการณ์ที่คร่าชีวิตเธอไปอย่างเด็ดขาด ปิยมาภรณ์จะได้อยู่กับเขา อยู่กับลูก ไม่จากไปก่อนเวลาอันควรแบบนี้
ก้มลงหอมผมตรงยาวดำสลวย อย่างที่ได้จากผู้เป็นภรรยาด้วยหัวใจที่ถูกบีบอัดจากมือที่มองไม่เห็น ผละลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งของเขากวาดไปถูกกระเป๋าครัชสีดำใบสวยขนาดย่อมของปลายฝนตกลงที่พื้นห้องไม่ห่างจากตรงที่ยืนเท่าไรนัก
ทั้งห้องเงียบกริบในเสี้ยววินาที
ปลายฝนเม้มปากแน่นเมื่อบิดาก้มลงหยิบของที่หลุดออกจากกระเป๋ามาถือ มองของในมือสลับมองหน้าบุตรสาว
คนเป็นพ่อขมวดคิ้วแน่น ถามเสียงเข้ม บ่งบอกอารมณ์ได้อย่างดีว่ากำลังอยู่ในโหมดไหน
“นี่มันอะไรกัน...ปลายฝน”
ปลายฝนส่งเสียงจิ๊จ๊ะ มองบิดาสลับมองของในมือท่าน เอ่ยด้วยท่าทีอ่อนอกอ่อนใจ
“คุณพ่อคะ คุณพ่อฟังลูกก่อนค่ะ”
“ลูกพกของแบบนี้ทำไม”
ของในมือพ่อเลี้ยงเดี่ยวสั่นจนเกือบล่วงหล่นลงพื้น แต่กระนั้นก็ยังไม่เท่าหัวใจของคนเป็นพ่อที่หลุดออกจากขั้วไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อภาพในหัวแล่นไปไกลถึงกิจกรรมที่ต้องใช้สิ่งของสองชิ้นนี้
ปลายฝนอ้าปากกำลังจะพูด แต่กลับถูกเสียงเฉียบขาดทรงอำนาจตัดฉับเสียก่อน
“พ่อให้สิทธิ์ลูก ยังไม่ต้องตอบคำถามของพ่อตอนนี้ แต่พ่อจะกักบริเวณลูกไว้ก่อน ลูกถูกงดใช้โทรศัพท์มือถือ แท็ปเลต และโน้ตบุ๊คหนึ่งเดือน ให้ธนูไปส่งไปรับที่โรงเรียนแทนอ่ำ ห้ามลูกออกนอกเส้นทางเด็ดขาด!”
นิรันดร์สั่งเข้มงวด ไม่ลืมกำชับอีกเรื่อง
“และพ่อห้าม ไม่ให้ลูกติดต่อกับมันอีก ถ้ายังขัดคำสั่ง อย่าหาว่าพ่อใจร้ายก็แล้วกัน”
คนเป็นพ่อสั่งจบ เดินจากไปราวพายุทอร์นาโดลูกยักษ์ที่พัดเอาความเข้าใจระหว่างกันจากไปด้วย
“คุณพ่อ...”
เด็กสาวยืนมองแผ่นหลังของบิดาด้วยดวงตาแดงกล่ำตัดพ้ออยู่อย่างนั้นเป็นนานสองนาน มองของสองชิ้นที่กักอิสรภาพของตนเองด้วยความขุ่นเคืองใจ