“คุณเชื่อเรื่องจิตหลุด (วิญญาณหลุดออกจากร่าง) ไหม”
“ไม่ค่ะ”
ขิมแขบอกปัดเมื่อเดินผ่านกลุ่มคนที่พากันเข้ามารุมล้อมถามเธอด้วยสีหน้าราวกับเธอจิตหลุดออกมาจริง ๆ
ใครเชื่อเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เธอไม่เชื่อเด็ดขาด
คราวก่อนเคยหลงคารมพวกเขามาแล้ว ตอนมารอรับภูผาที่โรงเรียนติวแห่งนี้ รอบนั้นโดนไปร้อยเก้าสิบเก้าบาท บอกแต่ว่ากายกับจิตวิญญาณของเธอไม่ใช่คนคนเดียวกัน แล้วก็มองเธอราวกับจะดึงเอาวิญญาณออกมา ถ้าจิตอ่อนกว่านี้เธอคงวิ่งเตลิดหนีไปแล้วล่ะ รับรองได้ว่ารอบนี้ไม่ได้กินเธออีกแน่ คิดอย่างเคือง ๆ เดินต่อจนถึงหน้าอาคารห้าคูหา จึงได้เห็นบุตรชายยืนรออยู่ก่อนแล้ว ยิ้มส่งให้พร้อมสาวเท้าเข้าไปหา
“หิวไหมภู”
“นิดหน่อยครับ”
“แม่ทำทอดมันกุ้งมาให้ด้วย เดี๋ยวไปกินบนรถก็แล้วกันเนอะ” บอกจบ ยื่นมือออกไปรับถุงผ้าใส่เอกสารการเรียน แต่แล้วภูผากลับส่งมือของเขาให้จับแทน
“ไม่อายสาว ๆ หรือไง โตเป็นหนุ่มแล้วยังจับมือแม่อยู่อีก”
ภูผายิ้มแล้วจับจูงมือเธอแน่นกว่าเดิม มองเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันยิ้ม ๆ บอก “ไม่อายหรอกครับ”
ยิ้มให้กันพาขึ้นรถที่จอดรออีกซอย มุ่งหน้ากลับบ้าน ขณะเลี้ยวรถออกสู่ถนนใหญ่ ภูผาหันมาถามเธอด้วยท่าทีกังวลใจ
“คุณพ่อกลับมาหรือยังครับ”
“ยังครับ” ตอบออกไปคำหนึ่ง ก็ถามกลับ “ภูมีอะไรจะคุยกับคุณพ่อหรือเปล่าลูก”
“ไม่มีครับ ผมแค่กังวล...กลัวว่าคุณพ่อกลับมาแล้วจะรู้เรื่องนั้น”
มองภูผา ยิ้มอ่อนโยน ปลอบกลับไป “แม่รับปากภูแล้วนี่ว่าจะปิดไว้เป็นความลับระหว่างเรา ถ้าคุณพ่อทราบเรื่องจริง แม่จะช่วยพูดให้เอง ดีไหมครับ ไม่ต้องคิดเลยเรื่องนั้นน่ะ ตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือก็พอ โอเคไหม”
“ขอบคุณครับ ภูรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลย”
ภูผายิ้มจนตาแทบปิด เห็นแล้วก็รู้สึกดีตามไปด้วย เธอส่งยิ้มตอบแล้วชวนสนทนาเรื่องอื่นต่อจากนั้น ไม่นานขิมแขพารถเลี้ยวเข้าสู่สถานพักฟื้นคนป่วยและคนสูงอายุ ภายใต้ชื่อ Rehab and Nursing @ P.House ในพื้นที่ร่วมร้อยไร่ ที่ซึ่งเป็นของนายแพทย์พิริยะ บิดาของภูผา
“ภูเข้าบ้านก่อนเลยนะ เดี๋ยวแม่ขอแวะดูที่คลินิกหน่อย”
บอกจบ แยกกันตรงนั้นเลย ขิมแขพาตัวเองเดินตรงไปยังคลินิกกายภาพบำบัดที่ตั้งอยู่ภายในนั้น ห่างจากจุดจอดรถไม่เท่าไร คลินิกที่เปิดให้บริการนี้ นอกจากใช้รับรองดูแลคนไข้ภายในแล้ว ยังเปิดให้คนนอกที่ต้องการทำกายภาพบำบัดเข้ามารับการรักษาได้อีกด้วย
เดินผ่านประตูบานเลื่อนอัตโนมัติเข้าไป ถึงเห็นความวุ่นวายเล็ก ๆ ข้างในนั้น
‘เทียนหอม’ นักกายภาพบำบัดคนที่ดูแลประจำที่นี่ อายุน้อยกว่าเธอหกปี หญิงสาวรุ่นน้องเดินออกจากม่านกั้นเตียงเตียงหนึ่ง ด้วยใบหน้ามันเป็นเงา หลังเปียกโชกด้วยเหงื่อทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังทำงานเป็นปกติ เจ้าหล่อนร้องเสียงหลงด้วยความดีใจเกินจริงที่เห็นหน้าเธอ
“พี่ขิมมาแล้ว โอย...น้องหอมดีใจที่สุดในชีวิตเลยค่ะ ในที่สุดวันนี้น้องก็รอดตายแล้ว”
“มีอะไรหรือหอม” เอ่ยปากถามยิ้ม ๆ หยิบทิชชูที่เคาน์เตอร์ส่งให้อีกฝ่ายซับเหงื่อ เทียนหอมมองของที่เธอส่งให้ รับมาแล้ว ค่อยขยับเข้ามาบ่นใกล้ ๆ เธอ แจงให้ฟังถึงความวุ่นวายในวันนี้ ตอนนี้
“อาม่ากิมนั่งรอพี่ขิมอยู่น่ะสิคะ แล้วก็ท่านนายพลกับคุณตาก็รอพี่ขิม ไม่ยอมให้หอมทำให้ บอกแต่ว่าจะทำกับพี่ขิมคนเดียวเท่านั้น” เทียนหอมเงียบไปอึดใจ แล้วบุ้ยบ้ายไปอีกทาง ที่มีชายร่างหนาในชุดวอร์ม มือมี Hand grip สีดำ บีบบริหารอยู่ตลอดเวลา ปากสนทนากับปลายสายผ่านหูฟังบลูทูธ
“แล้วก็คุณฉัตรค่ะ รอพี่ขิมอยู่ตรงนู้น”
ขิมแขฟังจบ พยักหน้าอย่างพอจะเข้าใจ แล้วเดินเข้าไปยังห้องออกกำลังกาย ยกมือไหว้คนไข้อาวุโสขาประจำทั้งหมดในนั้น
อาม่ากิมเป็นหญิงสูงวัย มาด้วยอาการปวดหลังและปวดเข่าสองข้าง แพทย์ประจำของที่นี่แนะให้ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า แต่ท่านกลัวจึงเข้ามารับการรักษาเพื่อทุเลาอาการปวดไปพลาง ๆ ก่อน
ส่วนท่านนายพลที่เทียนหอมว่านั่น เป็นอดีตนายทหารยศใหญ่ เดิมทีเป็นคนมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคใต้ เวลาพูดจะติดสำเนียงทางบ้านเกิดอยู่บ้าง ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว มาที่นี่ด้วยอาการอ่อนแรงซีกขวา และตอนนี้ก็กำลังนั่งคุยเรื่องการเมืองอย่างออกรสกับเจ้าของร้านขายของชำร้านใหญ่ที่สุดในตัวจังหวัด ที่มีอาการอ่อนแรงแบบเดียวกันแต่คนละข้าง
ส่วนคุณฉัตรไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่มักมาปรึกษาปัญหาปวดกล้ามเนื้อแบบไม่มีสาเหตุ จะมาออกกำลังกายที่นี่เสมอ และต้องให้ขิมแขคอยดูแลเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สำคัญคือคุณฉัตรสนิทสนมกับนายแพทย์พิริยะเป็นอย่างดี เลยคล้ายจะเป็นเคสวีไอพีไปโดยปริยาย
ขิมแขตรงไปยังทางเดินที่ทอดยาวสู่ห้องรักษา ติงเทียนหอมเบา ๆ ให้พอได้ยินกันสองคน
“หอมชอบพูดไปหัวเราะไปน่ะสิ เลยดูไม่น่าเชื่อถือ อือม์...ปกติท่านก็เคยให้เราทำนี่ ทำไมคราวนี้จะต้องรีเควสพี่ด้วย หรือขี้เกียจ เลยโบ้ยว่าคนไข้ไม่ยอมให้ทำ” ว่าจบแสร้งทำหน้าขึงขังใส่เทียนหอม ทางนั้นมุ่ยหน้าบ่นกลับ
“ขี้เกียจอะไรคะพี่ขิม สี่เคสวีไอพีเนี่ย หอมอยากทำจะตาย แต่ท่าน ๆ ไม่ไว้ใจหอมเอง เอ้อ...ลืมเล่าอีกเรื่อง คุณพยาบาลอ๋องมาตามหาพี่ขิมตั้งหลายรอบแน่ะ” เทียนหอมสาวรุ่นน้องทำหน้าแหย เมื่อกล่าวถึงพยาบาลที่ชื่ออ๋อง ขิมแขถามกลับอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก “คุณอ๋องมาถามหาพี่ทำไม มีอะไรหรือ”
“จะมีอะไร ก็ที่พี่ขิมหายไป...” เทียนหอมมองซ้ายขวาอย่างไว ๆ ค่อยเอียงหน้าลงกระซิบ “หายไปรับน้องภูยังไงล่ะคะ”
“อ้อ” เธอพึมพำออกมาคำหนึ่งอย่างกังวลใจเล็กน้อย เทียนหอมรีบถามต่อ
“แล้วเป็นยังไงบ้างคะ เล่าให้หอมฟังบ้างสิ”
ขิมแขยังไม่พูดอะไรในตอนนั้น เดินจนถึงห้องรักษาแล้ว ยื่นมือรูดม่านกั้นเตียงออก เข้าไปทำคนไข้ขาประจำที่เป็นหญิงสูงวัยก่อนลำดับแรก จนเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ออกมาเล่าให้เทียนหอมฟัง เพราะเธอเองก็กำลังหาที่ระบายอยู่เหมือนกัน
แม้จะทำทีเป็นรับมือเรื่องนี้ได้ แต่เอาเข้าจริง ๆ เธอหนักใจไม่น้อย
“ภูผาแอบหนีเที่ยว ไม่ได้ไปเข้าค่ายติวสอบอย่างที่บอกพี่เลยหอม”
“ตายแล้ว น้องภูสุดหล่อของพี่หอมริอ่านโกหกแล้วหรือคะ ร้ายจริง ๆ เลย แล้วยังไงต่อคะพี่ขิม” เทียนหอมเร้าให้เธอเล่าออกมาอีก
“แค่นั้นว่าร้ายแล้วนะ นี่แอบนัดเพื่อนผู้หญิงต่างโรงเรียนไปเที่ยวด้วยกันอีกน่ะสิ เด็กคนนี้เขาเคยเล่าให้พี่ฟังอยู่ทีหนึ่งว่าเจอกันในค่ายลูกเสือเนตรนารีที่...” เธอเอ่ยชื่อค่ายลูกเสือชื่อดังที่โรงเรียนของภูผาจัดพาเด็กไปทำกิจกรรมคราวก่อนให้เทียนหอมฟัง บ่นต่อ “แล้วก็แอบติดต่อกันเรื่อยตั้งแต่คราวนั้น แต่รอบนี้คิดการใหญ่ไง นัดกันไปดูคอนเสิร์ต” ขิมแขเอ่ยถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่เป็นจุดรวมตัวของเหล่าวัยรุ่น ภูผากับปลายฝนก็ไปงานที่ว่านี้ด้วย
เทียนหอมกัดปาก ถามสะอื้นฮึกฮักแบบแกล้งทำ
“เพื่อนผู้หญิงที่ว่านี่...แฟนน้องภูหรือคะพี่ขิม”
ขิมแขพยักหน้าเป็นคำตอบว่า ‘ใช่’ เทียนหอมที่ออกตัวแรงว่าเป็นแฟนคลับของภูผาถามกลับอย่างมีโมโห
“เด็กนั่นสวยขนาดไหนกัน สวยเท่าหอมไหมคะพี่ขิม”
ขิมแขอมยิ้มมองสาวรุ่นน้อง แล้วนึกไปถึงใบหน้าของเด็กสาวคนนั้น ก็ต้องยอมรับว่าคนที่เอ่ยถึงหน้าตาสวยน่ารักไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วค่อยพยักหน้าหนัก ๆ เป็นคำตอบ
เทียนหอมทำเป็นร้องโฮเสียงดังขึ้น เธอเลยตีเผียะเข้าทีหนึ่ง ถึงได้หยุดทำท่าเสียอกเสียใจเกินจริง เจ้าตัวยังถามต่อไม่เลิก
“ยังไงต่อคะพี่ขิม เล่าต่อ น้องอยากรู้เรื่องหลังจากนั้นอีก”
“เธอก็ไปโชว์แมน มีเรื่องทะเลาะชกต่อยกันเพราะเด็กผู้หญิงคนนั้น แล้วเลยพากันไปบ้าน ไปทำแผล แต่พ่อของทางนั้นเห็นลูกเราอยู่ในห้องกับลูกสาวเขาสองคนตามลำพัง ก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ให้คนของเขาโทรศัพท์ตามพี่ บอกให้ไปรับตาภู เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ”
“ตาย ตาย ตาย หมอพีรู้เรื่องเข้า น้องภูต้องแย่แน่เลย”
ขิมแขย่อมรู้ดีกว่าใคร สีหน้าเธอจึงขรึมลงเล็กน้อย ออกปากย้ำเรื่องนี้กับเทียนหอม “อย่าพูดไปนะหอม กับใครก็ห้ามเล่าทั้งนั้น”
“ไม่พูดแน่นอนค่ะ” เทียนหอมรับปากเป็นมั่นเหมาะ เม้มปากสนิททำท่ารูดซิปปากไปด้วย
“ตอนที่พี่ขิมไปแล้วนะ คนไข้มากันอย่างเยอะเลย คุณพยาบาลอ๋องก็ยังมาทำหอมเสียอารมณ์อีก เทียวเดินตามหาพี่ขิมเป็นห้าหกรอบได้มั้งคะ เดินมาก็ถามประโยคเดิม หอมนึกว่าแกเป็นเอไอ”
‘คุณขิมมาแล้ว รบกวนโทรแจ้งพี่ด้วยนะคะคุณเทียนหอม’
เทียนหอมเลียนสีหน้าคำพูดของคุณพยาบาลอ๋องเสียเหมือน
เธอเลยอดขำตามไปด้วยไม่ได้ นอกจากภูผา ก็มีเทียนหอมนี่เองที่ทำขิมแขไม่อึดอัดในการใช้ชีวิตแบบที่ไม่รู้อดีตของตัวเองเลย หัวเราะแล้วถามกลับ
“หอมบอกคุณอ๋องไปว่ายังไง”
“จะบอกอะไรล่ะคะ ก็บอกแต่ ‘ค่ะ’ ‘ค่า’ แค่นั้นแหละพี่ขิม”
คุยกันจบก็พอดีกับที่เครื่องดึงหลังร้องเตือนหมดเวลา ขิมแขเดินไปปลดสายรัดออกจากอาม่ากิมด้วยตัวเอง แล้วทำการรักษาต่อด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ ยืดกล้ามเนื้อตามหลังจากนั้น
หลังฟื้นตัวจากอาการป่วยหนักเมื่อหลายปีก่อน
ขิมแขเข้ามาช่วยใน Rehab and Nursing @ P.House แทบทุกแผนก แล้วถึงได้พบว่าตัวเองถนัดและชอบงานในคลินิกกายภาพบำบัดมากกว่าแผนกอื่นของสถานพักฟื้นแห่งนี้ เธอเลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับนายแพทย์พิริยะ
นายแพทย์พิริยะเล่าให้เธอฟังว่าก่อนหน้าที่เธอจะป่วยหนักเพราะโรคไข้เลือดออก เธอสนใจงานด้านนี้เป็นทุนอยู่แล้ว เคยไปอบรมอยู่บ่อย จึงถนัด คุ้นเคยดี เลยชอบเป็นธรรมดาไม่น่าแปลกอะไร เขาเล่าแล้วก็ชอบถอนใจมองเธอด้วยสายตาสงสารเสมอ แล้วก็มักจะถามเธอด้วยประโยคนี้
‘คุณจำเรื่องก่อนหน้าไม่ได้เลยหรือขิม’
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เธอนึกรำคาญตัวเอง ว่าทำไมเหตุการณ์ก่อนหน้าจะป่วยหนัก ถึงจำมันไม่ได้เลย มีแต่เรื่องเล่าจากปากของนายแพทย์พิริยะเท่านั้น ที่คอยบอกความเป็นมาเป็นไปในชีวิตของเธอ
จะถามกับเทียนหอม เด็กคนนี้ก็เพิ่งมาทำงานที่คลินิกไม่กี่ปีนี่เอง จึงไม่รู้จักประวัติปูมหลังของเธอเลย เคยออกปากถามคนในนี้ก็ไม่มีใครเล่าอะไรที่ต่างไปจากนายแพทย์พิริยะสักคน เลยคร้านจะถาม แล้วใช้ชีวิตหมดไปวัน ๆ กับการเลี้ยงดูภูผา และทำงานในคลินิกกายภาพบำบัดแห่งนี้เท่านั้น
ขิมแขเดินไปดูชายสูงวัยสองคนที่คุยกันไม่หยุด พาออกกำลังฟื้นฟูกล้ามเนื้อไปพร้อม ๆ กัน สลับกับเดินไปดูอาม่ากิม พาท่านออกกำลังกายเบา ๆ ชะลอการฝ่อตัวของกล้ามเนื้อต่ออีกเซท ก่อนพาไปส่งให้บุตรสาวที่รออยู่ที่ห้องรับรองของญาติ ค่อยกลับมานั่งเปิดใบบันทึกการรักษา เขียนสิ่งที่ให้บริการลงในนั้น
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าพี่ขิมไม่ได้เรียนทางนี้มา แต่ทำไมพี่ขิมถึงรู้เทคนิค ทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ด้วย แล้วทำไมไม่ทำงานสายงานตัวเองแล้วล่ะคะ เบื่องานพยาบาลแล้วหรือ”
นิ่งเป็นครู่ เรื่องที่เทียนหอมยกมาถาม นอกจากจะหาคำตอบไม่ได้แล้ว ยังเป็นเรื่องไม่สบายใจลำดับต้น ๆ ของเธออีกด้วย
ขิมแขรู้ว่าการใช้เครื่องมือกายภาพบำบัดรักษาคนไข้ในคลินิกแห่งนี้ โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นนักกายภาพบำบัดนั้น หากพูดกันตามหลักแล้วถือว่าผิดเต็มประตู แต่แล้วจิตใจอีกฝ่ายก็คอยปลอบประโลมตัวเอง เข้าข้างตัวเอง แล้วหักหลักการนั่นทิ้งไป
ว่าที่ตนเองทำ เพราะต้องการช่วยเหลือคนป่วยเหล่านี้ ในเมื่อเธอรู้วิธีการรักษา ที่อาจสั่งสมหลงเหลือในความทรงจำตั้งแต่ก่อนป่วย ไม่ได้จางหายไปทั้งหมด และเธอบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดหาผลประโยชน์อื่นใดจากรักษาผู้คน อีกทั้งที่นี่ก็เป็นคลินิกในพื้นที่ของครอบครัวของเธอ ใครจะมาเอาผิดเธอได้
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง มันอธิบายไม่ถูก”
ขิมแขตอบ มือที่กำลังเขียนเลยหยุดไปด้วย นิ่งเหมือนคิดอะไร ก่อนก้มหน้าลงเขียนต่อ “เคยถามหมอพีอยู่ที แกบอกว่าพี่ชอบงานทางนี้ เมื่อก่อนพี่เป็นพยาบาล คอยช่วยหมอพีมาก่อน ตั้งแต่คบหาจนแต่งงานกัน แล้วพอแกเห็นว่าพี่ชอบงานพีที (PT :: Physical Therapy) เลยส่งพี่ไปเทคคอร์สสั้น ๆ ก็เลยพอจะเป็นบ้าง” นี่คือคำบอกเล่าจากปากของนายแพทย์พิริยะ เธอตอบเทียนหอมตามคำที่จำมาได้
“พรสวรรค์บวกพรแสวงไรงี้หรือคะ เฮ้อ...หอมล่ะอยากมีบ้างจัง นี่หอมจบเฉพาะด้านมา ยังรู้ไม่เท่าพี่ขิมเลยนะเนี่ย”
พลันเสียงอดีตนายทหารยศใหญ่ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“หนูขิมลุงปั่นจักรยานครบยี่สิบนาทีแล้วนา”