เกือบสามเดือนที่นิรันดร์วุ่นวายกับการสร้างบ้านพักตากอากาศบนที่ดินผืนใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อไม่นานนี้ เขาตั้งใจสร้างบ้านหลังเล็ก ให้เสร็จทันช่วงที่ปลายฝนปิดเทอม อยากพาบุตรสาวมาพักผ่อนสักระยะ หากิจกรรมทำร่วมกันแบบพ่อลูกอย่างที่เคยทำ เพราะช่วงนี้เขากับลูกชักห่างเหินกันเกินไป สามวันดีสี่วันทะเลาะ
จะว่าไป ก็ตั้งแต่มีไอ้เด็กเวรนั่นแทรกกลางระหว่างเขากับปลายฝนนี่เองเลยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่มั่นคงแบบเดิม
บริษัทรับเหมาที่เขาใช้บริการทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นเรียบร้อย ดีตามที่ตกลงกัน นิรันดร์แวะไปดู เดินตรวจสำรวจรอบบ้านแล้วก็ถูกใจไม่น้อย บ้านหลังเล็กท่ามกลางธรรมชาติ อีกทั้งมีสวนกุหลาบล้อมรอบแบบนี้ ตรงกับที่วาดเอาไว้ทุกอย่าง
“คุณรันดร์ชอบไหมคะ”
เสียงถามจากริมฝีปากแดงจัดเอ่ยขัดความคิดที่กำลังวางแผนเที่ยวกับบุตรสาว นิรันดร์เหลือบมองทางหญิงสาวคนนั้น ค่อยตอบกลับไป
“ดีครับ”
“แอนนี่ก็ว่าดีค่ะ ที่ตรงนี้สวยมาก พอได้แปลนบ้านและสวนที่คุณรันดร์เลือกไว้ เลยยิ่งเข้ากันไปใหญ่ สวยมากเลยนะคะ น่าอยู่ น่ามานอนด้วย...เอิ่ม แอนนี่หมายถึงน่ามาพักด้วยคนน่ะค่ะ ถ้าคุณรันดร์จะกรุณา” แอนนี่บอกเนิบนาบ ทิ้งสายตาขณะจบประโยค
พ่อม่ายที่หมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่เลยได้แต่นิ่งไป ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สายตาของนิรันดร์ยังจับภาพบ้านเบื้องหน้าเอาไว้แบบนั้น
แอนนี่เห็นแล้วก็อาสาเสียงอ่อนเสียงหวานต่อ เพื่อทำลายบรรยากาศเงียบงันนั้น “งานเสร็จ ส่งมอบแล้ว หลังจากนี้คุณรันดร์มีหรือไม่มีงานให้แอนนี่ทำ ติดต่อหาแอนนี่ได้ตลอดเลยนะคะ แอนนี่พร้อมสำหรับคุณรันดร์เสมอค่ะ”
นิรันดร์ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดใด เขาผละจากมาด้วยท่าทีเฉยเมย ตรงขึ้นรถในทันที
ผู้หญิงสมัยนี้กล้า ก๋ากั่นจนเกินงาม
รุกขนาดนี้ ผู้ชายนักล่าคงพากันห่อเหี่ยวไปหมด เขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่ชอบสตรีลักษณะนี้เลย
แอนนี่เป็นน้องสาวของเพื่อนเขาเอง เจ้าหล่อนรับหน้าที่ดูแลบ้านหลังนี้ให้เขา เธอดูแลทุกอย่าง จนออกจะเกินหน้าที่มากไป ส่งข้อความหาเขาราวกับสนิทสนมกัน ที่สำคัญกิริยาวาจาไม่ได้มีความสำรวม ไม่สงวนท่าทีเอาเสียเลย ดูล้นจนหมดสิ้นคำว่าสุภาพสตรี
พลันนึกถึงอดีตภรรยาขึ้นมาอีกครั้ง
ปิยมาภรณ์ของเขาน่ารัก อ่อนหวาน ติดจะขี้อายด้วยซ้ำไป นอกจากเวลาที่ต้องทำงานเท่านั้น ที่เธอจะดูเข้มงวดจริงจังออกดุนิด ๆ งึมงำสบถออกมาคำหนึ่ง เมื่อความคิดถึงพุ่งทะยานจนปวดร้อนไปหมดทั้งเบ้าตา ขณะขับรถกลับบ้าน
สิบสามปีแล้ว ไม่เคยมีใครแทนที่ปิยมาภรณ์ของเขาได้เลย
ไม่เคยมี...
นิรันดร์พาตัวเองถึงบ้านในเวลาต่อมา จอดรถแล้วก็พยายามนั่งปรับอารมณ์ครู่หนึ่งค่อยลงจากรถ แล้วเดินขึ้นไปยังห้องของบุตรสาว ที่หาเรื่องมางอนเขาอีกแล้ว
เมื่อวาน แม่ตัวดีส่งข้อความว่าซื้อตั๋วดูหนังเอาไว้ อ้อนจะให้เขาไปดูด้วย แต่เพราะเขาติดประชุมด่วนก็เลยบอกให้เลื่อนออกไปก่อน วันหลังค่อยไป แม่ตัวดีงอนเขาอีกจนได้ ยิ้มมุมปากขณะก้าวย่างไปยังเบื้องหน้า วันนี้จะเซอร์ไพรส์ลูกเสียหน่อย ตั้งใจจะพาออกไปดูหนัง แล้วแวะดูของที่เจ้าตัวบ่นอยากได้วันก่อนนู้น คิดแผนเอาใจลูกเสียเพลิน เดินจนมาถึงประตูห้อง หูแว่วเสียงคุยของปลายฝนข้างในนั้น
“ฝนถามพี่ธนูแล้ว พี่ธนูบอกว่าคุณพ่อติดประชุมสองวันเลย”
“ภูคงไปไหนไม่ได้หรอก เกรงใจคุณแม่” อีกเสียงบอกกลับมาแบบนั้น
“ตลอดเลย งั้นฝนโทรชวนเพื่อนฝนดีกว่า แล้วทีหลังไม่ต้องโทรหาฝนแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อนครับฝน ก็ได้ครับ แต่ภูต้องขออนุญาตคุณแม่ก่อนนะ หรือเอาอย่างนี้ได้ไหม ภูชวนคุณแม่ไปด้วยกันกับเราดีกว่า”
“เอาอย่างนั้นหรือ แบบนั้นก็ได้ งั้นมารับฝนด้วย ฝนจะรอที่ร้าน…”
คนยืนฟังอยู่พักใหญ่ผลักประตูห้องของบุตรสาวเข้าไปทันที บอกเสียงกร้าวกรุ่นด้วยโทสะ “ไม่เอาอย่างไหนทั้งนั้น!”
ปลายฝนลอบกรอกตา ละจากหน้าจอที่กำลังคุยกับภูผามาที่บิดาของตัวเอง ว่าด้วยน้ำเสียงติดรำคาญอยู่ไม่น้อย “คุณพ่อเข้าห้องลูกโดยไม่ได้ขออนุญาตอีกแล้วนะคะ”
นิรันดร์มองเหี้ยมไปยังภูผาที่ในจอสี่เหลี่ยมบนเตียงนอนของปลายฝน เดินไปสัมผัสหน้าจอตัดการสนทนาด้วยตัวเอง แล้วมองหน้าบุตรสาวด้วยแววตาผิดหวัง “นี่ลูกยังแอบติดต่อกับมันอีกหรือปลายฝน”
“ภูเป็นเพื่อนของลูกนะคะ ทำไมลูกจะติดต่อพูดคุยกับเพื่อนไม่ได้”
“คุยกับเพื่อนได้ แต่คนนี้ พ่อไม่ให้ลูกคุยกับมัน”
สิ้นคำประกาศก้อง นิรันดร์มองบุตรสาวที่ใส่เสื้อยืดเนื้อบางแถมคอเสื้อยังกว้างคว้านลึก จนเห็นเนื้อหน้าอกบุตรสาวรำไร เลยไปยังกางเกงก็พบว่าสั้นเสียจนเลยคำว่าน่ารักน่าเอ็นดูไปไกลโข เปลี่ยนมาติเรื่องเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายแทน
“แล้วนี่ ลูกแต่งตัวอะไรแบบนี้ ถ้าจะใส่แบบนี้ ถอดเลยดีไหม”
ปลายฝนทำหน้าตาเบื่อหน่ายใส่บิดาทันที เถียงกลับ “ลูกก็แต่งของลูกแบบนี้ทุกที คุณพ่ออารมณ์ไม่ดีแล้วมาพาลลูกทำไมคะ” นิรันดร์สาบานได้ว่าปลายฝนไม่เคยใส่เสื้อผ้าแบบนี้มาก่อน แล้วสั่งเสียงเข้มงวด
“ลุกขึ้น! ไปเก็บกระเป๋าเลยไป”
ปลายฝนนั่งนิ่ง ไม่ยอมขยับตัว ต่อต้านด้วยท่าทาง ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อโกรธมากขึ้น เค้นเสียงแข็งหนักสั่งอีกที
“พ่อบอกให้ไปเก็บของ ได้ยินไหมปลายฝน”
เด็กสาวสะดุ้งหน่อยหนึ่ง บิดาเรียกชื่อจริงแบบนี้น้อยครั้งมาก ไม่อารมณ์ดีสุดขีด ก็ต้องตรงกันข้ามคือโมโหแบบสุดขั้วนั่นเอง
แต่แล้วแม่ตัวดีก็ยังทำเฉย
“...”
เห็นกิริยาต่อต้านของบุตรสาวแล้วก็แค่นยิ้ม พอลูกแข็งมา คนเป็นพ่อก็แข็งเข้าใส่ บอกอย่างต้องการเอาชนะ “ดี! ไม่ต้องเก็บก็ได้ ไปทั้งอย่างนี้เลยก็แล้วกัน”
นิรันดร์คว้าข้อมือบุตรสาวได้ก็จับจูงกึ่งลากพาออกจากห้อง เด็กสาวตะโกนเรียกพี่เลี้ยงทันที
“พี่กล้วยคะ ช่วยฝนด้วยค่ะ”
พี่เลี้ยงวัยสามสิบต้น ๆ วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากหลังบ้านอย่างไว เมื่อแว่วเสียงคุณหนู พอเห็นว่าพ่อลูกคู่นี้ทะเลาะกันอีกแล้ว ก็ยกมือไหว้ทางคนพ่อปลก ๆ อ้อนวอนแทนเด็กสาว
“คุณรันดร์ขา อย่าทำโทษน้องฝนเลยนะคะ กล้วยขอล่ะค่ะ”
“ทำอะไร ฉันจะพาลูกไปพักผ่อน”
ปลายฝนขืนตัวไว้ พร้อมกับแกะมือของบิดาออกไปพลาง “ไม่จริงค่ะพี่กล้วย พ่อจะเอาฝนไปขังแล้วก็ล่ามโซ่ด้วย”
นิรันดร์เกร็งข้อนิ้วไม่ให้รัดมือของลูกจนแน่นเกินไป กระนั้นก็ไม่ยินยอมให้ลูกแกะจนหลุดออกจากมือของตนไปได้ เสียงแข็งใส่
“มาอ้อนพ่อท่านั้นท่านี้ ขอใช้โทรศัพท์คุยธุระกับเพื่อน พอพ่ออนุญาต ลูกขัดคำสั่งพ่อทันที โทรหามันทำไม รู้ว่าพ่อไม่ชอบก็ยังจะทำ”
ปลายฝนหน้าเบ้ ก่อนจะร่ำไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นใจ “ฮือ ๆ คุณพ่อใจร้าย ห้ามนู่น ห้ามนี่ ห้ามนั่นไปหมด ลูกจะไม่มีเพื่อนเลยสักคนก็เพราะคุณพ่อ ลูกไม่ระ...”
ใบหน้าคนเป็นพ่อดำมืดลงทันทีเมื่อได้ยินคำตัดพ้อเลยเถิดแบบนั้น กล่าวดักคอบุตรสาวเสียงเข้ม
“ลูกอย่าพูดนะ ว่าลูกไม่รักพ่อแล้วน่ะ”
เด็กสาวได้ยินพ่อดักตนแบบนั้นก็หน้าง้ำ น้ำตาอาบแก้ม เชิดใบหน้าน่ารักมองบิดาด้วยแววตาดื้อรั้น สะบัดเสียงใส่
“ลูกไม่พูดหรอกค่ะ เพราะคุณพ่อพูดมันออกมาแล้ว”
นิรันดร์ฮึ่มฮ่ำในลำคอที่ถูกปลายฝนย้อนเกล็ดเข้าให้ แล้วออกแรงลากแขนบุตรสาวไปยังรถที่จอดอยู่ ก่อนจะหันกลับมาบอกกล้วยว่าให้เก็บเสื้อผ้าให้แม่ตัวดี ตามหลังมาอีกที
กล้วยเดินขึ้นห้องไป ก็สะอื้นไห้ไปพลางด้วยความสงสารนายน้อยที่ถูกบิดาดุว่าเสียหนัก เธอเลี้ยงปลายฝนมาตั้งแต่สองขวบ หลังจากคุณผู้หญิงจากไป แม้ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของกล้วย แต่กล้วยก็รักเหมือนลูก ไม่เคยต้องให้เด็กสาวเจ็บช้ำน้ำใจ เสียใจเลยสักครั้ง
จริงอยู่ที่พอปลายฝนเริ่มโตก็ยิ่งเอาเรื่อง เริ่มโกหก หนีเที่ยว แต่นิรันดร์ไม่น่าจะต้องใช้ไม้แข็งแบบนี้เลยนี่นา น่าจะพูดจาดีดี คุณหนูของกล้วยไม่ใช่เด็กพูดไม่รู้เรื่องเสียหน่อย นี่ยิ่งดุ คุณหนูก็ยิ่งต่อต้านเอาสิ
นิรันดร์ยืนเฝ้าข้างรถได้ครู่ใหญ่ เห็นว่ากล้วยยังไม่ลงมาเสียที จึงกลับเข้าบ้าน เพื่อไปตาม
ปลายฝนเหลือบมองบิดาอยู่ตลอด เห็นเข้าบ้านไปแล้ว ก็รีบล้วงโทรศัพท์สำรองในกระเป๋ากางเกงออกมาส่งข้อความหาภูผา เรียบร้อยแล้วก็กระแทกหลังกับเบาะแรง ๆ อย่างโมโห
นิรันดร์กลับมาที่รถอีกครั้ง โดยมีกล้วยหอบกระเป๋าของนายน้อยตามหลังมาด้วยความเป็นห่วงนายทั้งสองคนที่ดูท่าว่าสถานการณ์จะหนักขึ้นเรื่อย
เมื่อก่อนก็เห็นว่าตามคุณพ่อออกแจ ไปไหนต้องปีนป่ายขอห้อยแข้งห้อยขาตามไปด้วยเสมอ
‘คุณพ่อขา ให้ลูกไปด้วย’
แต่ทำไมมาเปลี่ยนแปลงไป เพิ่งเป็นเมื่อต้นปีนี้เองที่คุณหนูของกล้วยชอบขัดคำสั่งคุณพ่อ แล้วก็ทำตัวสุดโต่งในบางที แต่กล้วยก็ยังเข้าข้างนายน้อยของตัวเองอยู่ดี เพราะนึกสงสารที่ต้องกำพร้ามารดา
กล้วยยืนกอดกระเป๋านายเอาไว้แน่น อึกอักครู่เดียวก็อ้อมแอ้มขอ “ให้กล้วยไปด้วยได้ไหมคะคุณรันดร์”
นิรันดร์นิ่งไปอึดใจเดียว พยักหน้าตอบรับ พร้อมกับเร่ง
“ให้เวลาเก็บกระเป๋าห้านาที”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว กล้วยก็รีบวิ่งอย่างไวไปเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง เพื่อจะได้ตามไปดูแลอารักขาปลายฝนด้วย ไม่ถึงห้านาทีกล้วยถลาออกมาจากทิศทางของเรือนพักด้านหลัง ตรงขึ้นรถของผู้เป็นนาย แล้วจึงพากันมุ่งหน้าออกจากบ้านหลังใหญ่ มุ่งหน้าสู่บ้านพักตากอากาศหลังใหม่ในเวลาต่อมา
“บ่ายนี้ เราไปกิน White Chocolate cake ไหมลูก ที่นี่มีอยู่ร้านหนึ่ง ขึ้นชื่อมาก วันที่พ่อมาดูบ้านรอบก่อน แวะชิมแล้ว อร่อยดีเหมือนกัน รสชาติแบบที่ลูกชอบเลย ไม่หวานมากหรอก รับรองกินแล้วไม่อ้วน ไปนะครับ”
... เงียบแทนคำตอบ
ตั้งแต่มาถึงที่บ้านพักตากอากาศ ก็เป็นแบบนี้สองวันแล้ว
นิรันดร์มองบุตรสาวด้วยสายตาครุ่นคิดแกมหนักใจ บุตรสาวของเขาทำท่าโกรธ ปั้นปึ่งไม่ยอมพูดจาด้วยสักคำ ไอ้จะบังคับพาออกไปนั่งรถเล่นด้วย ก็เห็นว่าเดี๋ยวจะยิ่งทะเลาะกันหนักกว่าเก่า แล้วเลยปล่อยให้ผ่านไปอีกวัน โดยไม่ได้ออกไปไหนเลย
เหมือนอย่างที่ปลายฝนบอกเอาไว้ก่อนมาไม่ผิด ว่าเอามาขังไว้ ถอนใจพร้อมกับออกเดินไปรอบ ๆ บ้าน พร้อมกับคิดหาทางง้อบุตรสาวต่อจากนั้น
เช้าวันที่สามของการมาพักผ่อน นิรันดร์ตื่นแต่เช้าตรู่ เดินออกมาดูหมอกที่ลงหนากว่าเมื่อวาน พร้อมอากาศเย็นลงอีกเล็กน้อย พลันนึกถูกใจที่นี่มากกว่าวันแรก ๆ กอดอกยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นนาน สูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดจนพอใจแล้วถึงหมุนตัวเดินลงไปยังกอไม้ดอกชนิดเดียวที่ปลูกรายล้อมรอบบ้านเอาไว้
แล้วในนาทีนั้นเอง ที่หัวใจของพ่อม่ายยังหนุ่มก็ค่อยกระหน่ำรัวจังหวะเต้นถี่ยิบขึ้น ขาของเขา เหมือนไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป มันก้าวออกเดินอย่างไว ตรงไปยังเหล่ากอกุหลาบพันธ์บิช็อบแคสเซิลที่หน้าบ้านนั่น
“ปิ่น...”
นิรันดร์ได้ยินเสียงตัวเองเอ่ยชื่ออดีตภรรยา ผ่านริมฝีปากออกมาเบา ๆ กระนั้นขายังคงก้าวเดินไปเบื้องหน้าไม่หยุด จนเกือบถึงเงาลาง ๆ นั่นอยู่แล้ว ก็หยุดเดินเสียอย่างนั้น ไม่อยากให้เป็นแค่ความฝัน ไม่อยากให้เป็นแค่ภาพลวงตา
แต่อยากให้คนตรงหน้าเป็นความจริง
แล้วร่างของหญิงสาวตรงกอดอกไม้ก็หันกลับมาที่เขา
ท่ามกลางม่านหมอกยามเช้า อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย ปรากฏเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นแทนที่จะเป็นปิยมาภรณ์อย่างที่เขาอยากให้เป็น
ต่างคนต่างตกใจ
“คุณ!”
ทั้งคู่ยืนจ้องหน้า แล้วหลุดออกมาคำหนึ่งพร้อม ๆ กัน ก่อนเงียบไป แม้ท่าทีของนิรันดร์ดูนิ่ง กระนั้นก็พอมองออกว่าเขาไม่พอใจ ที่เห็นเธอยืนอยู่ตรงนี้
“คราวก่อนก็ลูกชายแอบเข้าบ้าน คราวนี้ก็คนแม่ย่องเบาเข้ามาอีก สงสัยบ้านนี้เขาจะไม่เคร่งเรื่องมารยาทกันจริง ๆ”
ขิมแขยืนนิ่ง ไม่พูดอะไร เพราะกำลังงง ว่าทำไมพ่อของเด็กสาวนั่น ถึงมาอยู่ในบ้านพักหลังงามหลังนี้ได้ พลันความคิดก็ค่อยกระจ่างมากขึ้น นึกออกว่าที่แท้ที่ของตาล้วนขายให้คนกรุงเทพไป ก็คือขายให้เขานี่เอง
เธอกำลังบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขา
แววตาคมกริบไม่ต่างจากมีดผ่าตัดตวัดมองเธอ จนอนุมานได้ว่าเนื้อตัวกำลังมีเลือดไหลซิบ ๆ ออกมาแล้วในนาทีนั้น
ลอบถอนหายใจเบา ๆ บอกตัวเองในใจ ว่าเธอผิด ที่เข้ามาในสถานที่ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็สมควรอยู่ล่ะ ที่จะถูกเขาแสดงกิริยาแบบนี้กลับมา แถมยังเคยมีกรณีบาดหมางกันก่อนหน้าอีกด้วย
จะว่าไปก็นึกละอายอยู่ไม่น้อย
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขิมแขผ่านมาบริเวณนี้ วันก่อน ๆ ช่วงเช้าที่เธอออกมาวิ่งออกกำลังกาย จะแวะชื่นชมบ้านหลังงามและสวนกุหลาบแสนสวยพวกนี้เสมอ แต่วันนี้ประตูรั้วไม่ได้ปิดแบบทุกที และสี กลิ่น อีกทั้งบรรยากาศโดยรอบ ก็ทำเอาเธออดใจไม่ไหว เดินผ่านเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต มารู้ตัวอีกที ก็เข้ามายืนอยู่หน้ากอกุหลาบพวกนี้แล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าบ้านพักตากอากาศหลังงามหลังนี้ ที่รายล้อมด้วยกุหลาบพันธ์บิช็อบแคสเซิล จะมีเจ้าของเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ราวกับหมีกริซลี หน้าตานิ่งขรึมตลอดเวลาแต่ดูแล้วเป็นคนอารมณ์ร้อน แถมดวงตาสีดำคู่นั้นของเขาก็เหมือนกับจะมองกดคนอื่นให้ต่ำกว่าตัวเองอยู่เสมอ อ้อ คำพูดคำจาก็ยังชอบแสดงอำนาจอีกด้วย
“ฉันไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่เป็นที่ของคุณ ขอ...”
จะบอกว่าขอโทษ ก็ถูกสวนแทรกกลับมาเสียก่อน
“รู้หรือไม่รู้ว่าเป็นที่ของใคร ก็ไม่ควรบุกรุกเข้ามา” พ่อม่ายโต้กลับทันที ขิมแขนิ่งไปพึมพำไม่ดังนัก กระนั้นนิรันดร์ก็ยังได้ยินแจ่มแจ้งแดงชัดทุกคำ
“กระด้างเกินกว่าจะปลูกดอกไม้สวย ๆ แบบนี้ได้นะ”
นิรันดร์กอดอกมองเธอที่กล้ามาวิจารณ์เขาซึ่ง ๆ หน้า ตอกกลับ “บุกรุกที่คนอื่น แล้วยังกล้ามาว่าเขาอีก ไม่แปลกหรอกที่ลูกชายจะเป็นมารสังคมแบบนั้น”
เสียงกล่าวเนือยเนิบติดเย็นชา แต่ให้ความรู้สึกตีรวนวางอำนาจ ทำขิมแขสะอึกอยู่ไม่น้อย เธอเลี้ยงดูภูผามากับมือ ใครมาพูดย้ำซ้ำ ๆ ว่าภูผาไม่ดี เป็นมารสังคม ก็ขึ้นได้เหมือนกันนะ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากโต้ตอบอะไรออกไป ก็ได้ยินเจ้าของสถานที่ตอกกลับอีกประโยค
“แม่เป็นแบบนี้ไง ลูกถึงได้ไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่เอาเถอะ ผมไม่อยากตำหนิใครหรอก เข้าใจว่าการเลี้ยงดูคงเป็นไปตามอัตภาพ แล้วนี่นะ รู้ตัวว่าบุกรุกที่คนอื่นแล้วถูกจับได้ก็ควรต้องกลับออกไปได้แล้ว ไม่ใช่มายืนแอ่นอยู่นั่น”
ผู้ชายคนนี้ปากร้ายจริง