7

1758 Words
          ผู้ชายคนนี้ปากร้ายจริง           ขิมแขเหลือบตาลงสำรวจตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่เธอยืนแอ่นจริงหรือ พบว่าไม่จริงเสียหน่อย ก็นึกชังน้ำหน้าเขายิ่งนัก           และหากเธออยากจบ ก็ไม่ควรต่อปากต่อคำกับเขา           เพราะเธอผิดจริงที่ลุกล้ำเข้ามาในสถานที่ของเขา โดยไม่ได้รับอนุญาต ขิมแขหมุนตัวจะจากไป ก็แว่วเสียงเขาดังมาอีก “ขอโทษสักคำไม่มีล่ะ ไร้มารยาททั้งแม่ทั้งลูก สงสัยจะเป็นกันทั้งตระกูล”           พื้นอารมณ์เดิมยังไม่นิ่ง พอถูกต่อว่าซ้ำก็ฉุนกึก ปรี้ดขึ้นในตอนนั้นเอง พร้อมอาการปวดหัวจี๊ด จู่ ๆ ขาของเธอก็อ่อนพับลง แล้วสติก็ดับวูบไป ราวกับใบไม้ร่วงหล่นลงจากกิ่ง นิรันดร์ยืนอยู่ไม่ไกล พอเห็นอย่างนั้นก็พุ่งตัว เข้ามารับโดยสัญชาตญาณ           “นี่ คุณ คุณ”           เขารับร่างของเธอเอาไว้ได้ทัน แล้วเขย่าด้วยเรี่ยวแรงระดับหนึ่ง เห็นว่าตัวอ่อนระทวย เลยช้อนขึ้นอุ้ม พาเข้าบ้านไปเสีย           เมื่อกี๊ยังทำท่าปากดีอยู่เลย ทำไมล้มง่ายนัก           หรือเป็นอีกลูกไม้ เอาไว้อ่อยผู้ชาย           พ่อม่ายหัวเราะหึเบา ๆ คิดอย่างหมิ่น ๆ เดี๋ยวจะดูว่าจับ ๆ แตะ ๆ แล้วจะฟื้นง่ายไหม คิดอย่างนั้นแล้วก็ทำทีเป็นแตะเป็นตรวจไปทั่วเรือนร่างคร่าว ๆ ไล่จากศีรษะมาก่อน มือของเขาปาดขึ้นไปแถวไรผมข้างซ้าย แตะถูกรอยนูนใหญ่ใต้กลุ่มผม ข้างขมับ นิรันดร์ก็ให้ขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง เขม่นมองอย่างครุ่นคิด พบว่าแบบนี้เธอเป็นลมไปจริง ๆ ไม่ใช่แค่แกล้ง นิ่งไปอึดใจเดียว จับร่างของขิมแขพลิกตะแคง ดึงชายเสื้อกำลังจะเปิดขึ้น ก็พอดีที่ปลายฝนเดินออกมาจากในห้องเสียก่อน เจ้าตัวเดินเร็ว ๆ เข้ามาหา พร้อมกับร้องถามบิดาไปพลาง           “ทำอะไรอยู่คะคุณพ่อ”           นิรันดร์เหลือบตามองบุตรสาว ขยับตัวบัง มือปัดชายเสื้อของขิมแขลงอย่างเดิม ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ปลายฝนเดินเข้ามาจนใกล้ พอเห็นคนที่นอนบนโซฟาก็ถามด้วยสีหน้าฉงนเล็กน้อย “คุณแม่ของภูนี่คะ คุณพ่อจะทำอะไรคุณแม่ภูหรือคะ” จบคำถามบุตรสาว นิรันดร์ถึงกับสบถออกมาเบา ๆ คำหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ เขานี่หรือจะทำอะไรผู้หญิงคนนี้           “พ่อลงไปเดินเล่น เห็นเขายืนอยู่ที่สวนของบ้านเรา ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ก็หมดสติเสียก่อน พ่อเลยพามาพักบนบ้านนี่ไงครับ”           ปลายฝนยกมือขึ้นลูบคางมนตนเองไปมา มองนิ่งที่พ่อตนเองสลับกับแม่ของภูผา ก่อนจะร้องออกมาเบา ๆ           “ตายแล้วคุณพ่อคะ คุณแม่ของภูหน้าซีดด้วยนะคะนั่น เดี๋ยวฝนโทรตามภูดีกว่าค่ะ”           นิรันดร์ฟังจบนึกเอะใจทันที อ้าปากจะถามว่าโทรตามมาทำไม ทำเหมือนกับยังติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เขาสั่งห้ามไปแล้วนี่ แต่บุตรสาวตัวดีเดินหันหลังจากไปแล้ว ไม่ถึงห้านาที ปรากฏว่าภูผาปั่นจักรยานเข้ามาที่นี่อย่างว่องไว ก่อนจะโยนมันทิ้งวิ่งขึ้นมาบนบ้าน           ปลายฝนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ขยับลุกยืนบอกกับทางเด็กหนุ่ม           “คุณน้าเพิ่งฟื้นน่ะภู”           “คุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ”           ภูผาเข้ามาดูอาการของมารดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล พอดีกับที่ขิมแขเริ่มรู้สึกตัวแล้ว ก็ค่อยพยักหน้าเบา ๆ บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก ออกแรงขยับตัวลุกขึ้นนั่งด้วยตนเอง           เจ้าถิ่นที่กอดอกมองดูอยู่ เอ่ยขึ้นด้วยวาจาวางอำนาจ ไม่เหมือนคนขันอาสาเลยสักนิดเดียว           “ฟื้นก็ดีแล้ว บ้านของพวกคุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปส่ง”           “ไม่เป็นไร ฉันกับลูกกลับเองได้”           ขิมแขบอกจบ ลุกขึ้นยืนทันที แล้วก็เสียหลัก ดีที่นิรันดร์อยู่ใกล้ที่สุด เขาคว้าตัวเธอเอาไว้ทัน ส่ายหน้าอย่างเอือม อดบ่นไม่ได้           “ทำเป็นเก่ง ไปขึ้นรถ ผมจะไปส่ง”           ปลายฝนมองมาที่เธอแล้วลอบมองทางบิดาด้วยดวงตาเป็นประกาย คิดอะไรซุกซนในหัวครู่เดียว ปรี่เข้ามาประคองเสียเอง แล้วพากันลงไปยังรถที่จอดอยู่ด้านล่าง                    นิรันดร์พาทั้งสองแม่ลูกขับไปส่งที่ Rehab and Nursing @ P.House ในเวลาต่อมา แล้วก็พบว่าห่างจากบ้านพักตากอากาศของเขาไม่ถึงสามกิโลเมตรดีด้วยซ้ำ เป็นเขาที่ไม่รอบคอบเอง คราวที่ให้ลูกน้องหาข้อมูลก็ไม่ได้ดูด้วยว่าสองแม่ลูกนั่นพักอาศัยอยู่แถวไหน โลกมันกลมขนาดนี้ได้อย่างไร หากเขารู้ว่าคู่กรณีอยู่แถบนี้ ไม่มีทางเสียล่ะ ที่จะซื้อที่ผืนนี้ปลูกบ้านพักตากอากาศหลังงามให้ระคายใจ ยิ่งอยากอยู่ให้ไกล ๆ ที่ไหนได้ นี่ยิ่งใกล้ไปใหญ่ ใกล้เสียจนแทบหายใจรดต้นคอกันอยู่แล้ว จอดรถได้ ก็พบร่างสูงเทียมกันกับเขาแต่ขาวกว่ามาก ยืนมองมาทางนี้ ภูผาเอื้อมมือไปจับจูงขิมแขลงรถ พร้อมทักทายชายที่ยืนมองด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรงเล็กน้อย           “คุณพ่อ กลับมาเมื่อไรหรือครับ”           ชายที่ภูผาเรียกว่า ‘คุณพ่อ’ สำรวจนิรันดร์และปลายฝนอึดใจ ค่อยหันไปตอบคำถามของภูผาด้วยเสียงทุ้มนุ่มละมุนฟังดูสุภาพ “พ่อเพิ่งมาถึงเมื่อครู่”           แล้วพินิจใบหน้าของขิมแข ก่อนจะตรงเข้าไปหาเธอ ถามด้วยสีหน้าแววตานิ่ง ๆ แบบที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้           “ออกไปไหนกันมาหรือ”           ภูผามองบิดาตัวเองที่มักกักตนกับมารดาให้อยู่แต่ในบริเวณบ้านเสมอ หากออกไปต้องรายงานให้คนสนิทของท่านทราบทุกครั้ง ก็รีบเข้ามายืนขนาบข้างขิมแข เอ่ยขึ้นคล้ายต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ “คุณแม่เป็นลมครับคุณพ่อ” ได้ยินบุตรชายบอกแบบนั้น นายแพทย์พิริยะหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วขยับไปแตะหลังมือตัวเองที่หน้าผากและแก้มของขิมแขด้วยท่าทีคล้ายจะสุภาพ นิรันดร์มองทั้งสองคนแล้ว ก็เมินไปทางอื่นด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก มันขวางหูขวางตาชอบกล ขวางเสียจนไม่อยากเสียสายตามอง ในอกในใจของเขานี่ก็แปลก มันคันยิบ ๆ เหมือนถูกมดนับแสนนับล้านตัวกัดพร้อม ๆ กัน ขิมแขยิ้มบาง ๆ ขยับตัวออกจากนายแพทย์พิริยะเล็กน้อย ตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามก่อนหน้านี้ “พอดีออกไปวิ่งกับตาภูมา แล้วก็เลยวูบ หน้ามืดไปเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ” ได้ยินขิมแขบอกว่าออกไปวิ่งมา และไม่ได้เป็นอะไรมาก นายแพทย์พิริยะจึงพยักหน้าเบา ๆ ทำนองว่าเข้าใจส่งให้ ก่อนเลื่อนสายตามองเลยไปทางนิรันดร์กับปลายฝนอีกครั้ง คล้ายต้องการให้คนของตนเองแนะนำว่าคนแปลกหน้าสองคนนี้ คือใคร           “เพื่อนของภูน่ะค่ะ เผอิญผ่านมาเจอพอดี เลยอาสามาส่งบ้าน”           นิรันดร์ชะงักเล็กน้อย มองมาทางเธอแล้วครุ่นคิดในใจว่าทำไมต้องโกหกว่าพวกเขาแค่ผ่านมาเจอเธอด้วย ก่อนถูกตัดความคิดด้วยเสียงสุภาพของนายแพทย์พิริยะ ทางนั้นยิ้มแล้วแนะนำตัวเองก่อน คล้ายอยากผูกมิตรกับเขา “ผม นายแพทย์พิริยะครับ” นิรันดร์ไม่ได้ยิ้มตอบ เพราะไม่ได้อยากผูกมิตรด้วยเท่าไรนัก แนะนำตัวเองตามมารยาทอย่างแกน ๆ        “นิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุล นี่ลูกสาวของผม ปลายฝน” นายแพทย์พิริยะมองนิรันดร์อึ้งไปครู่ แล้วว่าขึ้นอย่างสุภาพ           “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณนิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุล”           ภูผาและขิมแขขอพาปลายฝนไปเดินดูรอบ ๆ รีสอร์ต โดยทิ้งให้สองคุณพ่อได้สนทนากัน คล้อยหลังทั้งสามไปแล้ว นายแพทย์พิริยะถึงได้เอ่ยขึ้น           “เด็กสมัยนี้โตไวนะครับ ไม่เหมือนสมัยเรา พอโตไวขึ้นก็เริ่มเรียนรู้อะไร ๆ ไวขึ้น อย่างเรื่องเพศตรงข้ามนี่ยิ่งไวไปใหญ่ เราห้ามก็ยิ่งทำให้อยากขืน อยากฝืนออกจากกำแพงที่เราสร้างกักพวกเขาเอาไว้” นายแพทย์พิริยะกล่าวจบ หันมองนิรันดร์ แล้วก็ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้ว พ่อม่ายรู้สึกขวางหูขวางตาชอบกล           “แทนที่เราจะห้ามพวกเด็ก ๆ ผมว่าเราน่าจะให้แกได้รู้จักกัน ทำความสนิทสนมกัน แต่อยู่ภายใต้สายตาของพวกเรา พ่อแม่ไม่ดีกว่าหรือครับ หรือคุณนิรันดร์คิดเห็นอย่างไร แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ ผมเคารพความคิดเห็นคนอื่นเสมอ”           ถุยเถอะ... นิรันดร์ผุดรอยยิ้มไม่สบอารมณ์ที่มุมปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาดำมืด ไม่หลงเหลือความเป็นมิตรอีกต่อไป “จำเป็นขนาดไหน ถึงต้องให้ลูกชายคุณมาทำความรู้จักกับลูกสาวของผม” แล้วขยับตัวลุกขึ้นยืนทันที ไม่พอใจตั้งแต่อีกฝ่ายเกริ่นนำขึ้นมาแล้ว ใช่สิฝั่งของตนนั่นเป็นลูกชายนี่ มันจะไปทำความรู้จักกับใครที่ไหนไม่เสียหายเท่าลูกสาวของเขาหรอก จังหวะนั้นเองที่ขิมแข ภูผาและปลายฝนเดินกลับมาที่โต๊ะพอดี ขิมแขมองเห็นสีหน้าแววตาของชายทั้งคู่ก็รีบปรี่เข้าไปหา ยิ้มบาง ๆ เอ่ยขัด “ปลายฝน หนูว่า หนูจะไปธุระกับคุณพ่อต่อใช่ไหมลูก” “ใช่ค่ะคุณน้า ฝนลาเลยนะคะ สวัสดีค่ะ ไปนะภู บาย” ปลายฝนดูอาการของบิดาออก รีบรับสมอ้างต่อจากขิมแขทันที ไหว้กราดไปทางนายแพทย์พิริยะด้วย แล้วเข้าไปจับแขนบิดา พาออกจากตรงนั้น กึ่ง ๆ ลากแขนบิดากลับรถที่จอดอยู่ ร่างสูงใหญ่เปี่ยมโทสะ หน้าตาแดงกล่ำเพราะโกรธสุดขีด ไม่มีทางที่เขาจะให้ลูกสาวไปทำความรู้จักกับผู้ชายคนอื่นซี้ซั้วไปทั่วแน่ ๆ ต่อให้พ่อมันเป็นหมอมาจากไหนก็ตามที ไม่มีทางโน้มน้าวความคิดของเขาได้ นิรันดร์ไม่มีทางยอมให้ลูกสาวของตัวเองเรียนรู้เพศตรงข้ามเด็ดขาด!  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD