5

2133 Words
          “หนูขิมลุงปั่นจักรยานครบยี่สิบนาทีแล้วนา”           ขิมแขรีบลุกออกไปหา ถามกลับอย่างสุภาพ           “ค่ะท่าน จะ exercise ต่อเลยไหมคะ หรือจะพักก่อน”           “พักก่อนก็ดีลูก เอ้อ...นี่ไม่ต้องเรียกลุงว่าท่านเทิ่นอะไรทั้งนั้นเลยนะ”           “อ้าว แล้วทำไมทีหอมให้เรียกท่านล่ะคะ” เทียนหอมแกล้งโอดโอยแทรกขึ้น เพราะอดีตนายทหารเกษียณอายุราชการคนนี้ถือตัวมาก แต่กับขิมแขกลับให้ความสนิทสนม ไว้วางใจแค่เพียงคนเดียว           อดีตนายพลหรี่ตาลงมอง บ่นหญิงสาวคราวหลานไม่จริงจังนัก           “เราน่ะไม่สำรวม ดูสิขนาดผู้ใหญ่เขาคุยกันก็ยังพูดแทรกขึ้นมาได้ กระโดกกระเดกก็ปานนั้น เดี๋ยวพูดจ๊ะ ๆ จ๋า ๆ กับคนอายุมากกว่า ใครเขาพูดจ๊ะจ๋ากันกับคนรุ่นปู่ ไม่รู้จักกาลเทศะ เรียกท่านน่ะถูกแล้ว”           เทียนหอมแอบมุ่ยหน้า ขิมแขเห็นแล้วก็ยิ้ม ถามขัดอย่างต้องการช่วยสาวรุ่นน้อง ไม่ให้โดนบ่นมากไปกว่านี้ “อย่างนั้นคุณลุงอบเข่าต่อเลยนะคะ”           “ดีลูกดี”           “เตียงประจำเตียงแรกเลยค่ะ เดี๋ยวให้กานดาวางแผ่นร้อนรอ”           แล้วเดินมาสะกิดเทียนหอมก้มลงคุยด้วยเบา ๆ“อยากให้ท่านนายพลชอบใช่ไหม มานี่พี่จะบอกว่าทำยังไง”           เทียนหอมเอียงคอมองอย่างสนใจ ถามสั้นๆ “ทำยังไงคะ”           “พี่จะอธิบายหลักให้ฟังก่อน” เกริ่นขึ้นมาประโยคหนึ่ง แล้วแจงต่อจากนั้น “ทฤษฎีนี้ เขาเรียกกันว่า Mirroring Technique หรือภาษาไทยเรียกว่าเทคนิคกระจกเงา มันคือการลอกเลียนแบบพฤติกรรมของคนอื่นอย่างเนียน ๆ หอมสังเกตพี่นะ เวลาพี่พูดกับคุณลุง พี่จะเลียนน้ำเสียง สำเนียง แล้วก็จังหวะการพูดของท่าน ที่สำคัญห้ามพูดแทรกเด็ดขาด”  “แค่นี้เองหรือคะ” สาวรุ่นน้องมุ่นคิ้ว ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก เลยมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ แล้วว่าต่อ           “ทีแรกพี่ก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอลองเอาไปใช้กับเคสนี้แล้วรู้สึกว่าท่านคุยกับพี่ได้สนิทใจขึ้น ก็เลยต้องเชื่อ แรกๆ พี่แค่คัดลอกท่าทาง พอหลัง ๆ เริ่มเลียนคำพูดบางคำของท่าน แล้วก็ใช้โต้ตอบมาเรื่อย ๆ อีกอย่างต้องรู้จักธรรมชาติของคนด้วย อย่างคนอาชีพแบบนี้ เคยเป็นใหญ่ เคยสั่งคนได้ มีลูกน้องใต้บังคับบัญชาเยอะแยะ เขาย่อมต้องชอบคนที่อ่อน ไม่แข็งเข้าหา”             “ถ้าหอมทำบ้าง คุณลุงจะว่าหอมล้อเลียนท่านไหมล่ะคะ”           “ก็ต้องเนียนหน่อย แล้วอย่าเกร็ง ทำตัวสบาย ๆ”           “ขอบคุณนะคะพี่ขิม ไว้หอมจะลองวิชาว่าได้ผลหรือเปล่า”           สองสาวแยกย้ายกันดูคนไข้รายอื่น จัดแจงเคลียร์คิวจนเสร็จหมดแล้ว ค่อยกลับมานั่งเขียนบันทึกการรักษาต่อ โดยมีเทียนหอมยืนกินมะม่วงแช่อิ่มมองด้วยสายตาสงสัยไม่หายถึงปูมหลังของอีกฝ่าย แต่ก็ขี้เกียจเซ้าซี้ถามให้มากความนัก ชวนคุยเรื่องกินดีกว่า           “พี่ขิม วันนี้วันเกิดหอมนะคะ”           “อยากกินอะไรล่ะ” ขิมแขถามขณะยังก้มหน้าเขียนบันทึกการรักษาต่อ ไม่ได้หยุดมือ เทียนหอมแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด ตอบทันที           “เราไปร้านพี่มิตรกันดีไหมคะ”           “อือม์ เอาสิ”           “คุณขิมขา” ผู้ช่วยที่ชื่อกานดาเรียกเสียงหวานแทรกเข้ามา ขิมแขหันไปมองแล้วก็ว่า           “มีอะไรหรือดา”           “เสื้อผ้าที่ขึ้นแบบไว้รอบก่อน เสร็จแล้วนะคะ พอจะว่างเป็นแบบให้ดาหรือยังคะ”           นิ่งคิดครู่เดียวก็ว่า “เอาไว้มะรืนนี้ได้ไหม กลางสัปดาห์คนไข้ไม่เยอะมาก เราจะได้มีเวลาเซทฉากกัน พี่ว่าฉากเดิม ๆ มันเก่าแล้วด้วยนะ”           “ดีค่ะ ขอบคุณนะคะคุณขิม” กานดาตอบรับแล้วจากไปทันที เทียนหอมรีบชมเปราะขึ้นมา “ไม่รู้คนซื้อเสื้อผ้าพี่ดา เพราะเห็นพี่ขิมใส่สวย หรือเพราะแบบเสื้อสวยกันแน่นะคะ” ยิ้มแล้วมองอย่างรู้ทันอีกฝ่าย           “แบบเสื้อผ้าสวยสิ ไม่สวยใครจะกล้าซื้อใส่กัน” “นี่ถ้าคลินิกเราไม่มีพี่กานดา คงยุ่งหนักกว่านี้นะพี่ขิม” พยักหน้ารับ แล้วก้มเขียนแบบบันทึกผู้มารับบริการต่อ           กานดาเป็นผู้ช่วยกายภาพบำบัดมานานเกือบสิบปี เคยผ่านงานในโรงพยาบาลเอกชนมาก่อน ก่อนหน้าจะมาทำงานที่นี่ สองปีก่อนเจ้าตัวมาขอลาออก เพราะจะไปขายเสื้อผ้าออนไลน์อย่างเดียว แต่ขิมแขเห็นว่ากานดามีความสามารถและความรับผิดชอบสูง อีกอย่างการจะมีผู้ช่วยที่รู้งาน เป็นงาน ก็ฝึกกันไม่ได้ง่ายๆ จึงโน้มน้าวกันสารพัดว่ามีรายได้หลายทางย่อมดีกว่าขายของอย่างเดียว พอกานดาขอให้เธอเป็นนางแบบเสื้อผ้าให้ ขิมแขก็ตกปากรับคำ เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ดีกว่าเสียผู้ช่วยรู้งาน แล้วควานหาคนใหม่ไปเรื่อย ๆ ที่ไม่รู้จะทำงานมีประสิทธิภาพเท่ากานดาไหม           เทียนหอมเลยยิ่งชื่นชมเธอใหญ่โต ที่เธอรักษาทรัพยากรบุคคลของคลินิกเอาไว้ได้ ต่างจากนายแพทย์พิริยะที่ไม่เคยเห็นหัวใคร หากไม่พอใจหรือบกพร่องเล็กน้อย เป็นได้ไล่ออกเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว           “หมอพีน่าจะเอาแนวความคิดแบบนี้ไปใช้บ้างนะคะพี่ขิม”           เทียนหอมบ่นอุบ เพราะเคยถูกนายแพทย์พิริยะคาดโทษเอาไว้ เนื่องจากเคยเข้ามาในคลินิกแล้วพบเทียนหอมกำลังนอนพักในห้องรักษาห้องหนึ่งเข้าพอดี เนื่องจากปวดท้องประจำเดือนมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาเลิกงานแล้ว แต่นายแพทย์พิริยะกลับพูดว่ากล่าวเทียนหอมเสีย ๆ หาย ๆ จนขิมแขต้องออกโรงป้องน้องเอาไว้           เทียนหอมน้อยใจถึงขนาดยื่นใบลาออกมาแล้ว จนขิมแขต้องปลอบใจอยู่เป็นนาน กว่าจะดึงสาวรุ่นน้องเอาไว้ได้ จากนั้นมาเทียนหอมไม่เคยมองหน้า ไม่ให้ความเคารพนายแพทย์พิริยะอีกเลย           “หมอพีเป็นเจ้าของที่นี่นะ หอมอย่าลืม” บางทีก็ต้องออกปากเตือนแบบนี้อยู่เรื่อย             “หอมไม่สนหรอกค่ะ และที่หอมยังอยู่ที่นี่ก็เพราะพี่ขิม ไม่ใช่ว่าหอมไม่มีที่ไป พี่ขิมอย่าลืม” เทียนหอมแย้งกลับคำพูดของเธอ ด้วยสีหน้าตึง ๆ ขิมแขวางปากกาลง รวบใบบันทึกทั้งหมดรวมกันส่งให้เจ้าหน้าที่เวชระเบียนของคลินิก เข้ามาโอบบ่าเทียนหอมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน           “พี่ไม่ลืมหรอก ขอบคุณหอมมากที่ยอมอยู่ที่นี่กับพี่”           เทียนหอมน้ำตารื้น ขอบตาแดง แสร้งเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนบรรยากาศ “ชอบทำซึ้งเรื่อยเลย ไม่เอา ไม่คุยเรื่องนี้ หอมหิวแล้วค่ะ”           ทุ่มครึ่ง ส่งคนไข้หมดแล้ว ช่วยกันเคลียร์ของในคลินิกจนเห็นว่าเรียบร้อยดี แวะหาภูผา ชวนให้ไปด้วยกัน แต่ทางนั้นขออยู่อ่านหนังสือ จึงควงแขนกับเทียนหอมตรงไปยังร้านอาหารของมิตร           สองสาวลงจากรถได้ ชวนกันคุยกระหนุงกระหนิงมุ่งหน้าเข้าร้านอาหารเล็ก ๆ แต่รสชาติจัดจ้านถึงใจ ยังเดินไม่ถึงในร้านดี หูแว่วเสียงมิตร สาวใหญ่เจ้าของสถานที่เอ่ยดักเสียก่อน “วันนี้มีหอยอวบ ๆ หอยข้างขึ้นนะจ๊ะสาว ๆ พี่มิตรแกงไว้แล้ว กับผัดพริกหมูป่ารสเด็ด แล้วก็ไข่เจียวแก้เผ็ด รับรองกินหมดจาน ปากบานแน่นวล” เทียนหอมมุ่ยหน้าโวยวาย           “นี่มันวันเกิดหอมนะคะ ทำไมทำแต่อาหารเอาใจพี่ขิมเนี่ย”           “ของน้องหอมก็มีจ้ะ ผัดเปรี้ยวหวานหมูหมึกกุ้ง แล้วก็เค้กปลาช่อน เป็นยังไงคะ ชอบไหม” มิตรเจ้าของร้านบอกยิ้ม ๆ เทียนหอมได้ยินชื่อรายการอาหารโปรดก็ยิ้มหวาน โดดเข้าไปกอดเอวเจ้าของร้านเสียแน่น ประจบออดอ้อน           “รักพี่มิตรที่สุดในร้านเลย”           มิตร สาวใหญ่วัยห้าสิบปีมองคนที่เข้ามากอด บ่นปนขำ “ร้านพี่มิตรมีพี่มิตรคนเดียว น้องหอมไม่รักพี่มิตรที่สุดในร้าน จะรักใครคะ ”           สาวใหญ่มองมาทางเธอแล้วยิ้มทักทาย “คุณขิมอุตส่าห์แวะมาทั้งที่ พี่ก็ต้องทำของโปรดไว้รอสิ” มิตรเงียบไปหน่อยหนึ่ง แล้วว่า “ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ เมื่อก่อนคุณขิมไว้ตัวออกจะตาย พอเป็นไข้เลือดออก นอนห้องไอซียูเป็นห้าเดือนหกเดือน จนใครเขาก็ว่าไม่รอดแล้ว พากันกวาดศาลาวัดรอ ก็หายไข้ปุ๊บเลย แล้วยังกลายเป็นคุณขิมคนใหม่แบบนี้อีก พี่มิตรจะเม้าท์ให้ฟังว่าคนแถวนี้แอบไปคุยกันว่าอาจจะมีวิญญาณใครมาสิงคุณขิมหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ค่ะ ใครไม่เชื่อก็ช่างแต่พี่มิตรคนหนึ่งล่ะค่ะที่เชื่อ” ขิมแขยิ้มเล็กน้อย ถอนใจเฮือก แตะแหวนที่สวมติดนิ้ว หมุนไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร ถามคล้ายชวนคุยมากกว่าจะอยากรู้จริง ๆ “เมื่อก่อนขิมเป็นยังไงหรือคะพี่มิตร”           สาวใหญ่เจ้าของชื่อ ‘มิตร’ นึกถึงขิมแข คนก่อนป่วยแล้ว ก็ได้แต่ปัดมือไม้ว่อนไปมา ไม่อยากนินทาเจ้าตัวให้เจ้าตัวฟัง ว่าเมื่อก่อนป่วยน่ะ แรงขนาดไหน           ขิมแขเป็นคนสวยและชอบศัลยกรรมเป็นชีวิตจิตใจ           เคยมาที่ร้านของเธอครั้งเดียว มิตรปากไวทักว่าคางเริ่มย้อยเท่านั้นเอง ด่ามิตรไม่ซ้ำคำเลย แต่เอาเถอะ มิตรไม่ถือ มิตรโทษตัวเองว่าปากไวเกินไป ชาวบ้านแถวนี้ส่ายหัวกันทุกคนถึงกิริยาวาจาของขิมแข มิตรเองยังสงสัยอยู่เลยว่าการป่วยหนัก ๆ ทำให้คนความจำเสื่อมได้ด้วยหรือ           บางทีเจ้าตัวอาจคิดได้ แต่ไม่รู้จะใช้มุกไหนเข้าหาสังคม มิตรคิดว่าแบบนี้ก็ถือดีเหมือนกัน มิตรเองถึงจะเป็นคนพูดจาโผงผางแต่จริงใจ อย่างน้อยการคิดได้ของขิมแขก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา แล้วตัดบทออกไปว่า           “เอาเป็นว่า ไม่เคยมาเหยียบร้านพี่ ไม่กินกับข้าวร้านพี่แค่นั้นแหละค่ะ” มิตรชวนคุยเรื่องอื่นต่อ “งวดนี้ออกเลขอะไรคะคุณขิม”           ขิมแขถึงกับถอนใจเลยทีเดียว           เธอบอกเลขมั่วไปรอบเดียวแล้วถูก หลังจากนั้น พวกของมิตรก็แทบจะเอาผ้าสามสีมาผูกที่เอวของเธอ           “ไม่เอาแล้วพี่มิตร เดี๋ยวไม่ถูกจะพากันมาบ่นขิมอีก”           สาวใหญ่ยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนบอกอีกเรื่อง เมื่อนึกขึ้นได้           “ตาล้วนเขาจะขายที่แล้วนะ คุณขิมรู้หรือยัง”           “หรือคะ เห็นหมอพีเคยบ่นว่าอยากได้ที่ของแกอยู่ แกขายเท่าไรคะพี่มิตร พอรู้ราคาไหม”           มิตรทำหน้ายุ่งยากใจแล้วว่า “ขายไม่แพงหรอกค่ะ แต่เขาไม่ขายให้หมอพีนะคุณขิม”           “อ้าว หมอแกอยากได้ออกจะตายไป เห็นเคยไปคุย ไปถามกันถึงบ้าน”           ไม่มีใครพูดอะไรจากนั้น ท่าทีภายนอกนายแพทย์พิริยะดูดี พูดจาสุภาพนุ่มนวลแบบผู้ดี แต่มิตรพอมองออก ว่าอีตาหมอคนนี้ลึก ๆ แล้วน่ากลัวแปลก ๆ มิตรมองข้ามสองสาวไปนอกร้าน แล้วทักเสียงดังไปถึงถนน           “ตายยากจริง นั่นไงคะ มาพอดีเลย”           ชายวัยหกสิบปลาย ๆ เจ้าของที่ ขับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าผ่านหน้าร้านมาพอดี เจ้าตัวจอดพักรถ เดินเข้ามาในร้านของมิตร           มิตรเลยถามนำให้ขิมแข “ที่ที่ว่าจะขายน่ะ ขายไปหรือยังตา”           ชายสูงวัย ผ้าขี้ริ้วห่อทองมองขิมแขด้วยสายตาแปลก ๆ ตอบเสียงห้วน           “ขายแล้ว”           “ขายให้ใคร”           “คนที่กรุงเทพ เขาซื้อไว้” ชายเจ้าของที่ตอบปัดๆ เหมือนไม่อยากอยู่คุยด้วยนาน เข้ามาหยิบถุงใส่ข้าวกล่อง จ่ายเงินให้มิตร แล้วจากไปในทันที           “ขายให้คนที่กรุงเทพไปแล้วค่ะคุณขิม”           มิตรบอกแล้วเดินเข้าไปหลังร้าน ทยอยยกอาหารมาวางให้โดยมีเทียนหอมเข้าไปช่วยยก ขิมแขเลิกสนใจเรื่องที่ดินตรงนั้นแล้วเดินตามเข้าไปช่วยบ้าง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD