เดือนต่อมา
ตั้งแต่ที่วายุช่วงชิงเอาจูบของน้องต่างสายเลือดมา เขาก็ไม่ค่อยได้เจอหน้าเธอเลย เพราะการงานของเขาที่ต้องออกต่างจังหวัดไปดูแลรีสอร์ตที่กำลังก่อสร้าง จะได้เจอก็ตอนที่แม่วานให้มารับวาวีตอนสุดสัปดาห์ที่จะต้องกลับไปค้างคืนที่บ้าน และก็ได้รับแป้งร่ำติดรถกลับไปด้วย ที่ผ่านมาเขาก็เจอแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น แถมแป้งร่ำก็คอยเว้นระยะห่างจากเมื่อก่อน เธอคงระแวงจะโดนเขาจู่โจมอีกนั่นเอง
วันนี้หลังจากที่วายุเคลียร์งานที่ต่างจังหวัดเสร็จแล้ว ก็ได้ขับรถเข้ากรุงในทันที หมายมั่นว่าอยากจะมาชวนวาวีไปรับประทานอาหารและเพื่อที่จะมาเจอหน้าเด็กดื้อ ที่เขามักจะเห็นหน้าเธอแว้บเข้ามาในความคิดอยู่บ่อยครั้งในตอนที่กำลังทำงานอยู่
วายุขับรถมาถึงหอพักของสองสาวในเวลา 19.18 นาฬิกา เมื่อจอดรถได้เขาก็ต่อสายไปหาวาวีเพื่อที่จะบอกว่าวันนี้เขาใจดีจะพาไปเลี้ยงข้าว และให้ไปชวนคนที่เขาอยากเห็นหน้าไปด้วย
ตื๊ด.. ตื๊ด.. ตื๊ด..
"ทำไมไม่รับสายสักทีวะ" วายุบ่นให้น้องสาวเมื่อเขารอสายเป็นนานสองนาน ปกติวาวีจะรับสายในแทบจะทันทีที่มีคนโทรหา เพราะเธอจะไม่ห่างจากโทรศัพท์เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปที่ติดมักจะติดโซเซียล และช่วงเวลานี้ก็เป็นเวลาที่คาดว่าน้องสาวของเขาจะอยู่กับหน้าจอแล้ว แต่ทำไมถึงไม่รับสายเขาสักที
'หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาฝากข้อความหลังเสียงสัญญาณ'
จนในที่สุดก็มีเสียงให้ฝากข้อความดังขึ้น เมื่อทางปลายสายไม่รับสาย วายุจึงต้องดึงโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อที่จะต่อสายหาน้องสาวอีกครั้ง
ตื๊ด.. ตื๊ด..
'ฮัลโหลพี่ยุ!'
ในที่สุดวาวีก็รับสายเสียที แต่เสียงที่ดังกระหึ่มแทรกเข้ามาพร้อมกับรับสายที่ตะโกนโวกเวก ทำให้วายุถึงกับขมวดคิ้วยุ่งสงสัย เพราะเสียงนั้นดังหลายเดซิเบลเกินความปลอดภัยของการได้ยิน นี่ยัยน้องตัวดีมันอยู่ไหนที่เนี่ย
"แกอยู่ไหน ทำไมเสียงดังขนาดนี้?" วายุถามเสียงขุ่น เสียงดนตรีตึ้มตั้มที่ดังเข้ามาพานให้หัวใจแกร่งเต้นระทึกไปด้วย เสียงเพลงดังขนาดนี้กลัวเหลือเกินว่าเขาจะคุยกับวาวีไม่รู้เรื่องหากใช้เสียงปกติ
'อะไรนะพี่!'
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อวาวีตะโกนกลับมา เธอไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
"แกอยู่ไหน!" วายุจึงจำเป็นต้องตะโกนไปดัง ๆ ดีที่ว่าเขายังอยู่ในรถเลยไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกน ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นที่สนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมาแน่
'อ๋อ หนูอยู่ผับ A !'
วายุถึงใจเต้นระทึกเมื่อได้ยินสถานที่ที่น้องสาวตอบกลับมา ก็นั่นมันเป็นสถานที่เที่ยวของนักท่องราตรี ยัยน้องตัวดีมันริอ่านไปเที่ยวกลางคืนอย่างนั้นเหรอ วาวีไปงั้นก็แสดงว่าแป้งร่ำก็อาจจะไปด้วยกัน
"เด็กพวกนี้นี่!" วายุกดตัดสายอย่างนึกโมโหพลางคำรามในลำคอคาดโทษเด็กเกเร ถึงหญิงสาวทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะกันแล้ว แต่เขาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าและเคยเที่ยวสถานบันเทิงพวกนี้มาก่อน เขารู้ว่ามันไม่ปลอดภัยกับสาวสวย ๆ อย่างพวกเธอเลย มีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น
เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเสร็จ วายุก็เหยียบคันเร่งบังคับรถไปยังสถานที่วาวีบอก
ประมาณสิบห้านาที วายุก็ขับรถมาจอดยังหน้าผับ A สถานบันเทิงนี้อยู่ใกล้กับหอพักและมหาวิทยาลัย เจ้าของคงมองขาดถึงได้มาเปิดระแวกนี้ ที่มีแต่นักศึกษาวัยคะนองอยากรู้อยากลอง ในแต่ละคืนคงมีรายได้เข้ากระเป๋าหลายบาทเลยทีเดียว
ลงรถได้วายุก็สาวเท้าก้าวยาว ๆ เพื่อมุ่งหน้าเข้าไปด้าน ใจแกร่งเต้นโครมครามตามจังหวะเสียงดนตรีที่ดังขึ้นชัดทุกครั้งที่เขาก้าวไปใกล้ยังศูนย์กลางความบันเทิง
วายุไม่เสียเวลาโทรหาวาวีอีก เพราะเสียงดังขนาดนี้หากเขาใช้สายตามองหา คงจะหาเจอเร็วกว่ารอให้วาวีรับสาย
'อยู่นั่นไง' แล้วเสียงที่วายุพูดกับตัวเองก็ดังขึ้นในหัว เป็นไปตามคาดเมื่อสายตาคมได้ไปปะทะกับใบหน้าขาวเนียนของแป้งร่ำเป็นคนแรก ความสวยใสของเธอเด่นกระจ่างอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน เป็นตัวดึงดูดให้สายตาดุจเหยี่ยวให้หยุดมองตอนที่กวาดตามองหา ข้าง ๆ เธอมีวาวียืนโยกกายตามเสียงดนตรีอยู่ ส่วนอีกข้างมีเด็กหนุ่มหน้ามนคนหนึ่งที่โยกกายอยู่ไม่ห่าง
สองหนุ่มสาวเอาแต่หัวเราะร่าใส่กัน เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มทำให้ทั้งสองต้องเอียงตัวชิดกันเมื่อต้องพูดคุย ช่างเป็นภาพที่บาดใจพี่ชายต่างสายเลือดเช่นเขาเสียเหลือเกิน ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกได้แค่เดือนเดียว เด็กสาวใสก็ริอ่านมีแฟนเสียแล้ว
สายตาคมมองไปที่สองหนุ่มสาวเขม็งขณะที่เท้าก็ก้าวไปข้างหน้า ฟันกรามขบเข้าหากันแน่นพยายามข่มอารมณ์โกรธาเอาไว้ ถึงจะไม่พอใจกับภาพตรงหน้าขนาดไหนเขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเธอ เธอมีสิทธิ์จะไปคบกับใครก็ได้ แต่อีกใจก็อยากตะบันหน้าไอ้หน้าหล่อนั่นที่บังอาจมาหัวร่อต่อกระซิกกับน้องสาวต่างสายเลือดของเขา น้องสาวที่โดนเขาจูบเมื่อเดือนก่อน
แล้วเด็กดื้อนั่นก็เหลือเกิน เธอไม่คิดอะไรบ้างเลยเหรอที่โดนจู่โจม ไม่หวั่นไหวบ้างเลยหรือไงที่โดนเขาแตะต้อง หรือว่าเธอมีแฟนอยู่ก่อนแล้วก่อนที่จะโดนเขารุกใส่ เลยชินชากับเพศตรงข้าม ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บจี๊ดที่อกด้านซ้ายที่ผู้หญิงที่เขาเอาแต่คิดถึงมีคนเคียงข้างแล้ว
ในเมื่อเด็กคนนั้นมีเจ้าของอยู่แล้วก็จำเป็นต้องตัดใจ พยายามจะไม่สนใจใบหน้าสวยใสนั้น สายตาคมละจากใบหน้าระรื่นนั้นมาสนใจน้องสาวจอมดื้อของตัวเองแค่คนเดียว
วายุเดินไปถึงก็เอื้อมมือไปจับแขนวาวีเพื่อแสดงตัว เขาไม่ได้ส่งเสียงเรียกเพราะรู้ว่านั่นเป็นการกระทำที่สูญเปล่า เสียงเพลงดังขนาดนี้เขาไม่ใช้เสียงให้เหนื่อยหรอก
"พี่ยุ!" วาวีหันมองเจ้าของมือที่บังอาจมาแตะต้อง แต่เมื่อหันไปเจอกับหน้าดุของพี่ชายเธอก็ตาโตเท่าไข่ห่าน ตกใจไม่น้อยไม่คิดว่าพี่ชายจะตามมา
"กลับ!" วายุพูดสั้น ๆ พลางดึงแขนน้องสาวเพื่อจะให้ออกไปให้พ้นสถานที่วุ่นวายนี้ ตอนที่เขามีอารมณ์สุนทรีย์แล้วมาเที่ยว เขาไม่เคยคิดว่ามันวุ่นวาย แต่วันนี้มันเซ็งที่ต้องมาเห็นภาพบาดตา ทุกอย่างเลยขวางหูขวางตาไปเสียหมด
"ไม่เอา! หนูเพิ่งมาเองนะ!" วาวีตะโกนแข่งกับเสียงเพลง ขืนตัวไว้ไม่ยอมเดินตามแรงลากจูงของพี่ มืออีกข้างเอื้อมไปคว้าแขนแป้งร่ำไว้เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว และเพื่อนเธอก็ช่างรู้ใจช่วยดึงไว้อีกแรง
"ยัยวา!" วายุคำรามเสียงดัง สายตาคมมองหน้าเล็กของวาวีด้วยความขุ่นเคืองก่อนจะลามไปหาเด็กดื้ออีกคนที่ดึงแขนเพื่อนไว้ ออกแรงช่วยดึงเพื่อนเต็มที่ สายตาของบรรดานักศึกษาเพื่อน ๆ ของเธอก็มองมายังเขาอย่างตำหนิชัดเจน เด็กพวกนี้ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นตัวร้ายอย่างไรอย่างนั้น
"ขอหนูอยู่ต่อสักสองชั่วโมงนะ หนึ่งชั่วโมงก็ได้ นะ นะ" วาวีสะบัดแขนออกจากมือแกร่งของพี่ชาย ยกมือชูสองนิ้วประกอบคำพูด ก่อนจะต่อรองลดนิ้วเหลือแค่หนึ่งเมื่อเห็นสายตาดุของพี่ชาย เพิ่งจะมาไม่ถึงชั่วโมงเลย กลับตอนนี้เสียดายตายเลย
"แม่งเอ๊ย!" วายุสบถหงุดหงิดเมื่อไม่สามารถพาน้องกลับได้ ความรักที่มีต่อน้องทำให้เขาไม่อาจหักหาญน้ำใจลากตัวเธอกลับไปได้ ทำได้แต่สะบัดตัวหันไปนั่งยังเก้าอี้ด้านหลัง ที่มันว่างเพราะพวกเด็กเกเรลุกขึ้นมาเต้นกันหมด
วายุจึงจำใจต้องนั่งเฝ้าน้องสาวและนั่งมองเพื่อนน้องสาวกับแฟนของเธอด้วยใจที่ขุ่นมัว จะกลับก็ไม่ได้เพราะห่วงพวกเธอ โดยเฉพาะน้องสาวต่างสายเลือด กลัวว่าเธอจะเมาแล้วโดนไอ้หน้ามนนั่นหลอกล่อไปทำมิดีมิร้าย ถึงจะแฟนกันแต่เขาก็ไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดต่อหน้าต่อตาเขาเด็ดขาด
........................
อะ..อ้าว ลุงโดนเทเสย 5555