เรือนหวังฮูหยิน
"อย่างแรกเจ้าต้องคิดก่อนว่าเจ้าอยากได้พัดแบบใด ลองวาดให้ข้าดูก่อน" เถียนซูหลินนึกออกแต่พัดทั่วไป ส่วนที่คิดออกก็ไม่กล้าวาดให้ดู แต่ถูกสายตาอีกฝ่ายจ้องนางจึงพยักหน้ารับและยื่นภาพวาดคร่าวๆ ให้หวังฮูหยินดู นางยื่นมือมารับภาพวาดของเถียนซูหลิน
"พัดก็คือพัด ไม่ได้แตกต่างกัน ไม่รู้ทำไมพี่ใหญ่ข้าต้องทำให้เรื่องมากด้วยก็ไม่รู้" หวังฮูหยินเป็นสตรีใจเย็นเมื่อมองภาพวาดในมือก็ได้แต่ยิ้ม มิได้ดูถูกภาพวาดของนางแม้แต่น้อย ไม่นานนางจึงเอ่ยถามเพิ่มเติม
"มีขนนกสีขาวเท่านั้นหรือ?" เถียนซูหลินส่ายหน้า"มีขนนกยูงด้วยเจ้าคะ แต่ข้านำมาแค่สีขาว คราแรกคิดว่าจะนำเฉพาะขนมาติดกันเป็นแพ แต่เมื่อคิดแล้วออกจะเรียบง่ายเกินไป คงไม่ถูกใจท่านแม่เป็นแน่"
"ความเรียบง่ายก็สามารถสร้างความโดดเด่นได้ หากคุณหนูเถียนนำขนนกมาถักทอจนแล้วเสร็จ เพิ่มภาพวาดลงไปจะงดงามหรือไม่" หวังฮูหยินกล่าวชี้แนวทางให้ นางพยักหน้ากล่าวเพิ่ม
"ข้าก็เคยคิดแบบนั้นด้วยเจ้าค่ะ เพียงแต่...ข้าวาดรูปไม่สวยขนาดข้าลองวาดดอกได้ยังได้เป็นก้อนหินเลยเจ้าค่ะ ข้าเกรงว่าขนนกที่งดงามเมื่อโดนปลายพู่กันของข้า มันคงจะอัปลักษณ์น่าดู" นางได้แต่ถอนหายใจ จนท้ายที่สุดก็เอ่ยออกมา
"ข้าไม่คิดแล้วดีกว่าเจ้าค่ะ ให้ตัวพัดคงเป็นด้ามไม้เหมือนเดิม ปักขนนกสีขาวส่วนด้านบนพัดอาจจะประดับขนนกยูงอีกชั้นใช้ความงามของขนนกเป็นหลัก ทำออกมาสักหลายแบบแล้วค่อยเลือกชิ้นที่ดีที่สุด"
"อย่างไรก็งดงามทั้งนั้นหากเป็นฝีมือของบุตรสาว คนเป็นมารดาย่อมชื่นชอบอยู่แล้ว"
"เจ้าค่ะ ข้าก็หวังว่าอย่างนั้น ขอบคุณหวังฮูหยินที่ชี้แนะข้านะเจ้าคะ"
"ขอบคุณอะไรกัน ข้ายังไม่ได้ทำสิ่งใดเลย" นางยิ้มรับและขอตัวกลับจวนเพื่อจัดการกับสิ่งนี้ ทว่าก่อนกลับหวังโสว่เหรินบอกกับนางว่าเขาจะเริ่มทำงานในอีกห้าวันข้างหน้า เถียนซูหลินได้แต่
พยักหน้ารับไม่ได้สนใจที่จะถามว่างานที่เขาทำเป็นงานอะไรเพราะถึงอย่างไรงานที่ได้คงเป็นงานที่บิดาของเขาเป็นผู้ฝากให้และหนีไม่พ้นพวกงานในราชสำนัก เวลาเช่นนี้นางได้แต่สนใจงานของตนเองในมือ
เมื่อเถียนซูหลินมาถึงจวนของตน นางก็ตรงเข้าเรือน รื้อขนนกในหีบออกมาวางเพื่อจัดการทำพัดตามแบบที่นางคิดเอาไว้ นางรื้อๆต่อๆอยู่เป็นนานก็ไม่สำเร็จ พอหงุดหงิดก็ล้มเลิกลงไปนั่งที่เตียงทิ้งตัวนอนก่ายหน้าผากราวกับเรื่องนี้สร้างความหนักใจให้นางอย่างสุดซึ้ง
เมื่อมื้อค่ำสิ้นสุดเถียนต้านมาที่เรือนและเอ่ยกับบุตรสาวว่าอีกสองวันเจิ้งโหย่งเฉียนจะออกเดินทางไปทางเหนือ เพื่อปราบกบฏ เพราะในสกุลเจิ้งเพิ่งจะมีเจิ้งโหย่งเฉียนเป็นทหารและเข้าทำงานรับใช้ราชสำนักคนแรก จึงไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อบุตรชายต้องเดินทางไกลไปรบเพื่อปกปักรักษาดินแดน ทางจวนจึงคิดที่จะกราบไหว้บรรพชนและจัดงานกินเลี้ยงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้บุตรชายในวันพรุ่งนี้ นายท่านใหญ่นามเจิ้งสีผิงจึงเชิญสหายสนิทอย่าง
เถียนต้านและครอบครัวมาร่วมกันทานอาหารที่จวน
"แล้วทำไมเขาไม่บอกข้าเล่าเจ้าคะ ไปนานและเสี่ยงอันตราย เรื่องสำคัญขนาดนี้เขากล้าปิดบังข้าได้ยังไง" นางดูจะหงุดหงิดที่ได้ยิน แม้จะดูเป็นการเอ่ยถามทว่านางก็ไม่ต้องการคำตอบเพียงแต่แสดงความรู้สึกออกมาเท่านั้น เถียนต้านก็มิได้เอ่ยตอบเพียงแต่เค้นรอยยิ้มออกมา
"เจ้าก็ไปเตรียมตัว พรุ่งนี้จะได้ไปจวนนั้น" นางยังคงทำหน้าบึ้งตึงใส่บิดาแต่เขาก็ไม่สน ทำเพียงลูบศีรษะน้อยๆของบุตรสาวอย่างเอาอกเอาใจ ก่อนที่จะหมุนตัวออกจากเรือนไป
เถียนซูหลินยากที่จะปฏิเสธการไปเยือนจวนสกุลเจิ้งครั้งนี้
ใจหนึ่งก็อยากพบหน้าก่อนที่เขาจะเดินทางไกล ส่วนอีกใจยังตัดพ้อกับการกระทำของเขา การปฏิเสธหรือตอบรับในใจย่อมสับสน เรื่องการไปเยือนในใจของทุกคนนั้นล้วนทราบดีว่านางย่อมตอบรับอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่หากนางจะปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลว่าเขากับนางมีปากเสียงกันใครเล่าจะเชื่อ
เพราะอำนาจแห่งความคิดถึงที่มีต่อเขารุนแรง นางจึงปฏิเสธการโกรธขึงครั้งนั้นออกไปและเข้าข้างตัวเองว่านางนั้นคือคู่หมั้นหมายที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรู้เห็น ทางสกุลเจิ้งก็ไม่มีทีท่าว่าจะให้ผู้ใหญ่ติดต่อกับสตรีสกุลหลิว เช่นนั้นนางต่างหากคือฮูหยินเขาในภายหน้า การคิดเข้าข้างตัวเองอย่างองอาจนี้ช่างมีความสุขยิ่ง
ช่วงสายรถม้าออกจากจวนเพื่อไปงานเลี้ยงสกุลเจิ้ง โดยมีกำหนดการหลังจากไหว้บรรพชนแล้วเสร็จยามใด เถียนซูหลินที่ไม่ได้เดินทางมาจวนสกุลเจิ้งนานรู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้าหุบยิ้มไม่ได้ ในใจมีแต่คำพูดที่ว่า 'ครอบครัวของเจ้าเป็นผู้ชวนข้ามาเองนะ ข้าไม่ได้เสนอหน้ามา'