เมื่อรถม้ามาถึงจวน บ่าวไพร่รู้ดีว่าเป็นรถม้าสกุลเถียนคหบดีของเมืองหลวง จึงรีบเชื้อเชิญให้มายังเรือนรับรองที่กินเลี้ยงกัน
เถียนต้านรู้สึกกังขาที่แขกเหรื่อมีไม่มากนัก เมื่อมีโอกาสจึงเอ่ยถามกับเจิ้งสีผิงอย่างเปิดเผย
เขาได้รับคำตอบจากสหายของตนว่าเป็นการเลี้ยงเฉพาะในครอบครัว หากเชิญผู้อื่นมาย่อมไม่ดีแน่และอาจจะทำให้คนในสกุลกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงโดยเฉพาะเจิ้งโหย่งเฉียน อีกประการผลแพ้ชนะของสงครามก็ยากที่จะคาดเดา ครอบครัวเจิ้งจึงยังไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวจึงเลี้ยงส่งบุตรชายเงียบๆเท่านั้น
เถียนต้านพยักหน้ารับรู้ และพิจารณาว่าสมควรแล้วเพราะเท่าที่เขาเคยรู้มาคงไม่มีจวนไหนเลี้ยงส่งบุตรชายที่ไปทำศึกสงคราม มีแต่เลี้ยงฉลองเมื่อทำความดีความชอบกลับมา
การรวมตัวของสองสกุลเพียงโต๊ะตัวหรือสองตัวคงจะเล็กเกินไป วันนี้พ่อบ้านจึงได้เตรียมโต๊ะราวห้าถึงหกตัวเพราะไม่อยากให้เจ้านายนั่งเบียดเสียดกัน เมื่อทานอาหารได้ซักพักเจิ้งสีผิงก็สั่งให้เจิ้งโหย่งเฉียนพาเถียนซูหลินไปคุยด้านนอก เขาไม่ขัดใจบิดาจึงลุกขึ้นพานางไปคุยที่สวนหลังจวน
"ข้าไปด้วย" เจิ้งชิวยี่บุตรสาวอายุุน้อยเรียกร้องที่จะตามไปแต่ถูกเจิ้งสีผิงห้ามและดุต่อหน้าผู้อื่นจนนางต้องนั่งลงหน้าง้ำหน้างอ
เจิ้งสีผิงเห็นใบหน้าไม่พอใจของเจิ้งชิวยี่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะปลอบประโลมทั้งยังแอบส่งสายตาตักเตือนจนอีกฝ่ายหลุบตาต่ำแสร้งทำเป็นหยิบตะเกียบขึ้นมา เมื่อเจิ้งสีผิงเห็นว่าบุตรสาวรู้ความบ้างแล้วจึงหันหน้ามาชนจอกสุรากับสหายอย่างเถียนต้านเหมือนเดิม
เถียนซูหยินอมยิ้มดวงตาเปล่งประกาย ตลอดทางเดินเมื่อได้อยู่กับเจิ้งโหย่งเฉียน แม้เขาจะเดินนำไม่เห็นใบหน้าทว่านางก็ยังรู้สึกขวยเขินจนยากจะปิดบัง พยายามจะปั้นหน้าบึ้งตึงแต่นางทำไม่ได้ ในเมื่อใจมีสุขไยต้องแสร้งปิดบัง
"เชิญ!" เขาบอกให้นางเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา พร้อมๆกับมีสาวใช้ถือถาดอาหารว่างพร้อมน้ำชาตามมา
"นี่! เจ้าจะไปนานไหม" นางเอ่ยปากถามเพื่อทำลายความเงียบ เพราะหลังจากสาวใช้วางถาดน้ำชาและของว่างเขาก็ไม่พูดอะไร นางไม่อยากเอ่ยเรื่องที่มีปากเสียงกับเขาในวันนั้น
"ไม่รู้สิ อาจจะหกเดือน หนึ่งปีหรือมากกว่านั้น"
"นานขนาดนั้นเชียว? แต่ว่าเจ้าเคยไปทางเหนือไหม?" เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ นางยิ้มขึ้นมาเหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง
"ข้าเคยอ่านในตำรามาว่าทางเหนือมีสัตว์ร้ายน่ากลัวในยามค่ำคืน สุนัขจิ้งจอกจะมากันเป็นฝูง อำพรางตัวในความมืด ดวงตามันราวกับแสงไฟที่เจิดจ้าน่ากลัว พร้อมที่จะขย้ำเหยื่อที่มันจ้อง พวกมันไม่กลัวคนแต่กลัวไฟ เจ้าต้องระวังตัวด้วยเล่า" นางเล่าเรื่องให้เขาฟังราวกับเล่านิทานที่โรงน้ำชา มือไม้ยกขึ้นประกอบท่าทางทำให้เขาหันมามองหน้านาง ดวงตาลุ่มลึกยากคาดเดาทำให้นางรู้สึกใจเต้นแรง จนทำอะไรไม่ถูก เขาจ้องมองนางจนนางร้อนไปทั่วใบหน้า จึงหลุบตาต่ำคิดว่านางพูดอะไรผิดไปเอ่ยปากขึ้นเปลี่ยนเรื่อง
"อ๋อ...ข้าปักถุงหอมให้เจ้าด้วย แต่ว่าอาจจะดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ข้าสัญญานะว่าครั้งหน้าข้าจะทำให้ดีกว่านี้แน่ หากมีเวลามากกว่านี้สักหน่อย" เสียงนางค่อยเบาลงเพราะเริ่มรู้สึกอับอายกับถุงหอมของตนเอง งานพวกนี้นางไม่ถนัดจริงๆแล้วยิ่งใช้เวลากระชั้นชิดเช่นนี้ด้วยแล้วผลงานออกมาย่อมดูไม่ดี
ถุงหอมอยู่ในมือของเขาพร้อมกับสายตาที่พิจารณา ในถุงหอมไม่มีกลิ่นหอมของดอกไม้แต่กลับเป็นกลิ่นของใบโป้เหอ [1] อันสู้ [2] เขาขมวดคิ้วมุ่น นางรีบอธิบายให้เขาเข้าใจ
"พอดีข้า...เอ่อ...ข้าพยายามแล้วแต่ข้าทนกลิ่นพวกนั้นไม่ได้จริงๆ ทั้งยังทำให้ข้าคันไปหมดทั้งตัว แต่เจ้าเชื่อเถอะว่าของพวกนี้จะทำให้เจ้าสดชื่นขึ้น" เขาพยักหน้ารับและเก็บถุงหอมไว้ใต้แขนเสื้อ นางเห็นการกระทำของเขาในใจยิ่งชื่นสุข
"พรุ่งนี้ข้าไปส่งเจ้าที่ประตูเมืองนะ" เขาไม่ตอบเพียงแค่ยกน้ำชาดื่ม นางถือว่านั่นคือการตอบรับ
"เมื่อไหร่นะที่เจ้ากลายเป็นคนเงียบเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบพูดมาก เจ้ามักถือดาบไม้และวิ่งตะโกนสั่งให้เจ้าพวกนั้นเป็นโจร ข้าเป็นคนที่เจ้าเข้าไปช่วย ส่วนเจ้าจะเข้าไปจัดการ..." นางเล่าเรื่องราวในวัยเด็กด้วยแววตาเปล่งประกายสดใสมีชีวิตชีวา เขาหลุบตาต่ำยกน้ำชาขึ้นจิบหวังอำพรางรอยยิ้มที่มุมปากน้อยๆ จนแทบจะไม่ได้เห็น แต่ยังคงเงียบไม่กล่าวอะไร หูยังคงฟังคำที่นางเจื้อนแจ้ว สายตาหันไปจ้องมองดอกบัวที่สระน้ำ จู่ๆก็หันกลับมามองเถียนซูหลินจนนางรู้สึกตัวจึงเปลี่ยนมาถามเขา
"เจ้ามองหน้าข้าแล้วไม่พูดอะไรเลย เจ้าหมายความว่ายังไง" เขาหันมาจ้องมองไปยังใบหน้ารูปไข่ เล็กเรียว หน้าผากกลมมน ดวงตาสุกสกาว นางนับว่าเป็นสตรีงามผู้หนึ่ง หากไม่....
"เจ้าอยู่นี่ก็ต้องทำตัวให้ดี" เขาตัดสินใจเอ่ยออกมา นางยิ้มพยักหน้า
"แน่นอน ข้าทำดีอยู่แล้ว หากไม่มีใครทำข้าก่อน นี่! เจ้าต้องเขียนจดหมายมาหาข้าด้วยเล่า ส่วนข้าเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะเขียนหาเจ้าตลอดแน่ ข้าสัญญา" นางพูดจบเขาก็ไม่ตอบได้แต่ละสายตาไปมองบรรยากาศรอบสวน
เมื่อเขาไม่ตอบนางก็ไม่พูดได้แต่เงียบและมองบรรยากาศไปพร้อมกับเขา แต่เพราะการนั่งนิ่งๆมักมีความคิดแทรก ความสับสนในใจเข้ามาเหมือนเกลียวคลื่น นางใช้ปลายเล็บจิกไปจิกมากับเล็บอีกข้างเพื่อรวบรวมความคิดและคำพูดในที่สุดความคิดทั้งหมดทั้งมวลก็ตกผลึก
"โหย่งเฉียน ข้าชอบเจ้านะ ชอบเจ้ามากๆ แม้ในฝันทุกคืนจะไม่มีเจ้าแต่ข้าก็ยังชอบเจ้า ได้โปรดอย่าทรยศต่อความรู้สึกข้าเพราะมันจะทำให้ข้าเจ็บมาก พรุ่งนี้ข้าจะไปส่งเจ้านะ" จู่ๆนางก็พูดออกมา แม้จะไม่เหมาะกับเวลาสงบของเขาแต่นางก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจเป็นเพราะภาพเขาและสตรีผู้นั้นไหลเข้ามาในมโนภาพของนาง เขาหันมามองนางนิ่ง ยังไม่ทันตอบเถียนซูหลินก็ลุกเดินไปแล้ว
นางแทบจะวิ่งออกมาและรู้สึกว่าตอนนี้หัวใจเต้นแรง 'พูดแล้ว ข้าพูดออกมาแล้ว' คำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับเขาช่างมากมาย แต่นางไม่ต้องการให้เขาโต้ตอบ นางเลือกที่จะปิดการสนทนาโดยใช้คำพูดอ้อนวอน ขอร้องไม่ให้เขาทำ เพราะไม่รู้ว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่
หากนางไต่ถามหรือพูดอะไรมากกว่าประโยคเมื่อครู่ นางคาดเดาได้ว่าคนอย่างเขาต้องปฏิเสธหรือไม่ตัวนางเองที่จะต้องมีอารมณ์หงุดหงิดและต่อด้วยการมีปากเสียงกับเขากันแน่ ดังนั้นนางเลือกวิธีนี้นับว่าดีที่สุด
[1] *โป้เหอ คือ เปเปอร์มิ้นท์ หรือสะระแหน่
[2] อันสู้ คือ ยูคาลิปตัส