บท 3

2514 Words
3 ขนสัตว์ที่เก็บเอาไว้หายไปแบบปริศนามันก็เป็นเรื่องที่น่าพิศวงเกินทนแล้ว ทว่ามันยังไม่จบแค่เท่านั้นหลังเปอร์ได้พบเจอกับความพิศวงยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อเขาพบว่ารูปในโทรศัพท์ที่เปอร์ถ่ายเก็บเอาไว้เมื่อตอนหัวค่ำ ช่วงที่เขากำลังเดินทางกลับบ้านได้หายไปด้วย “มันจะหายไปได้ยังไง ในเมื่อมันอยู่ในโทรศัพท์ของเราเลยนะ” เปอร์พึมพำกับตัวเองทั้งคิ้วขมวด หลังเวลาต่อมาเมื่อเขาจัดการใส่เสื้อผ้ามาอยู่ในชุดนอนแล้ว เปอร์ก็ต้องมานอนเครียดต่อ เพราะรูปที่เขาถ่ายเก็บเอาไว้มันหายไปจริง ๆ โดยมันก็ไม่ได้หายไปแค่ในไฟล์รูปภาพเท่านั้น แต่ในไฟล์ถังขยะมันก็ถูกลบทิ้งไปแล้วด้วย ซึ่งถ้าหากนี่เป็นฝีมือของมนุษย์ด้วยกัน คนที่ทำก็คงจะเป็นคนที่รอบคอบอยู่พอสมควร “หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของมนุษย์หมาป่า?” เขาตั้งข้อสันนิษฐานต่อ เพราะสิ่งที่หายไปจากเหตุการณ์พิศวงในครั้งนี้มันมีเพียงแค่ขนสัตว์ปริศนาและรูปหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุเท่านั้น ซึ่งถ้าหากดูเพียงแค่เท่านี้ มันก็อดคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกเสียจากคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ต้องการให้เปอร์นำเรื่องราวไปเผยแพร่ต่อในโลกอินเทอร์เน็ต “แต่ก็ช่างเถอะ เราเขียนบทความลงไปแล้ว เพราะงั้นมันก็คงไม่ได้ใช้แล้วล่ะ” เขาว่าต่อ พยายามบอกตัวเองให้หยุดคิดเรื่องนี้ เพราะต่อให้เขาสงสัยไป ยังไงเปอร์ก็คงไม่มีทางรู้ความจริงอยู่ดี ช่วงเย็นของวันต่อมา... หลังจากที่เปอร์เลิกงานแล้ว แม่ของเขาก็ได้นัดแนะให้เปอร์ไปเจอกับเธอที่ห้างสรรพสินค้าที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวในเขตนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ช่วยกันซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารที่บ้านของลุงนิค พร้อมซื้อของไปฝากเจ้าของบ้านตามมารยาทด้วย “แม่... ผมขอซื้ออันนี้ได้หรือเปล่า?” ขณะที่กำลังเข็นตะกร้าเดินตามหลังแม่อย่างเงียบ ๆ เปอร์ก็รีบเรียกหาเธอเป็นภาษาไทยโดยพลัน เมื่อสายตาเขาเหลือบไปเห็นของโปรดเข้าพอดี “เอามาสิ หยิบมาสักสองแพ็กเอาไปเผื่อลุงนิคด้วย” แม่หันมาบอก “ขอบคุณครับ” เมื่อได้รับการอนุญาตจากเธอแล้ว เขาก็รีบเอื้อมมือไปหยิบลูกพลับจำนวนสองแพ็กลงใส่รถเข็นทันที เพราะนาน ๆ ทีเปอร์ถึงจะเห็นผลไม้เอเชียถูกนำเข้ามาขายในเมืองนี้ ต่อมาเมื่อจัดการซื้อของเสร็จ เปอร์กับคุณโทมัสก็ช่วยกันยกของขึ้นรถต่อ โดยแผนการของพวกเขาก็ถูกปรับเปลี่ยนไปจากเดิมนิดหน่อย จากที่ตอนแรกพวกเขาตั้งใจว่าจะเดินทางไปบ้านลุงนิคตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นวันนี้ตอนเย็นแทน “วันนี้เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยหรือเปล่า?” คุณโทมัสชวนเปอร์สนทนา ระหว่างที่ทั้งสองกำลังยืนขนของช่วยกัน ซึ่งเปอร์กับสามีใหม่ของแม่ก็ไม่ได้สนิทกันนัก พวกเขาคุยกันแทบนับคำได้และจะพูดคุยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นเท่านั้น “ก็เหมือนทุกวันครับ ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเท่าไร” เปอร์ตอบกลับไปทั้งรอยยิ้ม เพราะการทำงานที่ร้านอาหารของคุณนายสมิธ สำหรับเขามันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว “เปอร์เก่งมากเลยนะ อายุยังไม่ถึงยี่สิบดีด้วยซ้ำแต่รู้จักทำงานหาเงินใช้แล้ว” คุณโทมัสกล่าวชม “ขอบคุณสำหรับคำชมครับ” เปอร์บอกกลับไปทั้งรอยยิ้ม โดยในเวลาเดียวกันนั้นเขากับคุณโทมัสก็ช่วยกันขนของขึ้นรถเสร็จพอดี เวลาต่อมาเมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่แม่กับคุณโทมัสกำลังช่วยกันเตรียมของที่จำเป็นไปที่รถ เปอร์ก็วิ่งขึ้นมายังชั้นสองของบ้าน เพื่อมาจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมไปนอนค้างที่บ้านของลุงนิค ซึ่งเขาก็ไม่ลืมที่จะหยิบโน้ตบุ๊กไปด้วย เผื่อว่าเปอร์จะได้ใช้มันในการเขียนบทความ เพราะไหน ๆ เขาก็จะได้ไปทางตอนเหนือของเมืองแล้ว บางทีเปอร์อาจจะได้เจออะไรดี ๆ แล้วนำมาเขียนบทความหารายได้เสริมก็ได้ “ไม่ลืมอะไรใช่ไหมลูก?” “ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ลืมอะไรแล้วนะครับ” “แม่จะไม่พาเรากลับมาเอาแล้วนะ คิดดี ๆ ว่าลืมอะไรหรือเปล่า” “ไม่ลืมหรอกแม่... ว่าแต่เราไปนอนค้างที่บ้างลุงนิคสองคืนใช่ไหมครับ” เปอร์ถามกลับไป “ใช่ แล้วเราจะกลับมาที่นี่ในวันอาทิตย์ มีธุระให้ต้องไปทำต่อเหรอ” แม่ถามกลับมา “เปล่าครับ ผมแค่ถามเฉย ๆ” เปอร์ตอบกลับไป จากนั้นเขาก็พาตัวเองขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังที่ประจำของตัวเองอีกครั้ง เพื่อที่พวกเขาจะได้เดินทางไปยังตอนเหนือของเมืองเสียที โดยการเดินทางครั้งนี้ก็น่าจะใช้เวลาราว ๆ หนึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้ อันที่จริง... เปอร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณโทมัสใช้ถนนเส้นไหนในการเดินทาง เนื่องจากเขาเผลอหลับมาตลอดทั้งทาง แต่เขามารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ถูกแม่ปลุก เมื่อการเดินทางร่วมชั่วโมงได้สิ้นสุดลงแล้ว “กว่าจะตื่นได้นะเปอร์ ขี้เซาจังเลย” แม่ออกปากบ่น ขณะที่เปอร์กำลังใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำลายของตัวเองที่ติดอยู่ตรงมุมปากออกไป “ขอโทษครับ พอดีวันนี้เปอร์เพลีย ๆ นิดหน่อย” เขาว่าเสียงงัวเงีย จากนั้นถึงค่อยลงจากรถเพื่อขนของช่วยลุงโทมัสเข้าไปในบ้านของลุงนิค ซึ่งในจังหวะที่เขาเดินลงมาจากรถ ลุงนิคผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เดินออกมาพอดี “จำลุงได้หรือเปล่า” นั่นเป็นประโยคแรกที่ลุงนิคทักทายเปอร์ ซึ่งคำทักทายของอีกฝ่ายก็เรียกรอยยิ้มให้กับคนถูกถามได้เป็นอย่างดี “จำได้สิครับ คนรู้จักคนแรกของเปอร์” เขาว่าพลางสวมกอดลุงนิคหนึ่งทีเพื่อเป็นการทักทายกัน ก่อนที่พวกเขาจะช่วยกันขนของสดเข้าไปในบ้านและลงมือทำอาหารมื้อเย็นด้วยกัน เนื่องจากตอนที่มาถึงท้องฟ้าก็มืดแล้ว “ที่นี่ฝนตกบ่อยไหมครับ เพราะที่ทางใต้ฝนไม่ตกเลย” หลังจัดการทำมื้อเย็นเสร็จและกำลังนั่งทานข้าวด้วยกัน เปอร์ก็หันไปถามคนในท้องถิ่นด้วยความใคร่รู้ เมื่อข้างนอกบ้านของพวกเขากำลังมีเม็ดฝนโปรยปรายอยู่ “ที่นี่ฝนตกเกือบทั้งปี ลุงก็เลยชวนให้แม่เรามาเก็บเห็ดไง เพราะเห็ดกำลังออกดอกสวย แถมชาวบ้านแถบนี้ก็ไม่ค่อยกินกันแล้วเพราะออกมาเยอะเกินจนกินไม่ทัน” ลุงนิคหันมาตอบ โดยอีกฝ่ายก็มีอายุราว ๆ ห้าสิบนิด ๆ เห็นจะได้ และอันที่จริงเจ้าตัวก็มีลูกมีเมียแต่เมียเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไปแล้ว ส่วนลูกสาวก็ไปทำงานที่เมืองอื่น นั่นจึงทำให้ลุงนิคได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง “ผมชอบที่นี่นะครับ เพราะผมชอบฝน” เปอร์ว่าต่อทั้งรอยยิ้ม เขาชอบฝนยามที่มันตกตอนที่เขาเข้านอนและตื่นมาเขาก็จะได้กลิ่นดินกลิ่นหญ้า แต่เขาจะไม่ชอบฝน หากมันมาตกตอนที่เขาจะออกไปทำธุระข้างนอก “งั้นก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เลยสิ ลุงว่าจากที่เราชอบฝน บางทีเราอาจจะได้เกลียดฝนไปเลยก็ได้นะ” ลุงนิคตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงติดตลก ซึ่งยังไม่ทันที่เปอร์จะได้พูดอะไรต่อ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน เมื่อเปอร์ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังระงมอยู่ในป่าหลังบ้านลุงนิค “เสียงอะไรน่ะ” เขาพูดเสียงตกใจ เพราะไม่เคยได้ยินเสียงร้องโหยหวนเท่านี้มาก่อน “เสียงร้องของหมาป่าน่ะ พอตกกลางคืนทีไรมันชอบส่งเสียงเรียกร้องความสนใจแบบนี้ทุกที” ลุงนิคตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ และดูเหมือนจะเป็นความเคยชินของเจ้าตัวแล้ว “หมาป่ามันหอนแบบนี้เหรอครับ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสียงมันจะโหยหวนถึงขนาดนี้” เปอร์ว่า ขณะเดียวกันเสียงหอนระงมก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ก็ไม่เสมอไปหรอก” ลุงนิคตอบกลับมา “พอดีช่วงนี้มันเป็นช่วงผสมพันธุ์ของมันน่ะ พวกตัวผู้ก็เลยชอบหอนเวลาที่มันได้กลิ่นตัวเมีย” “พอพูดถึงเรื่องหมาป่าแล้ว... ผมก็นึกถึงบางอย่างได้พอดีเลยครับ” เปอร์ว่าต่อ เมื่อความข้องใจของเขายังไม่ได้รับคำตอบจากใครเลย “เรื่องมนุษย์หมาป่าใช่ไหม?” ลุงนิคถามกลับมาอย่างรู้ทัน ซึ่งนั่นก็ทำให้เปอร์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ แล้วค่อยว่าต่อ “ใช่ครับ ผมได้ยินมาว่าทางตอนเหนือของเมืองมีมนุษย์หมาป่าอาศัยอยู่ มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ?” “เปอร์เอาเรื่องพวกนี้มาจากไหนน่ะ” คราวนี้แม่พูดขึ้นบ้าง “เรื่องนี้มันดังจะตาย แทบจะเป็นจุดขายของฝั่งนี้ด้วยซ้ำ” ลุงนิคบอกแม่แล้วหันมาพูดกับเปอร์ต่อ “ลุงก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาอยู่บ้างนะ แต่ว่าลุงไม่เคยเห็นมนุษย์หมาป่าตัวเป็น ๆ เลย” “...” “ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า เห็นแต่ชาวบ้านในแถบนี้เขาลือ ๆ กันว่าที่นี่เป็นถิ่นของมนุษย์หมาป่า ซึ่งก็เป็นแค่การลือเท่านั้นแต่ยังไม่เคยมีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ได้เลยว่ามนุษย์หมาป่ามีอยู่จริง ไม่ได้เป็นแค่ตำนานที่ใคร ๆ ต่างเล่าขานกันมา” “แบบนี้นี่เอง...” “เปอร์ถามแบบนี้ แสดงว่าเราสนใจเหรอ? เพราะบ่อยครั้งก็มีคนต่างถิ่นเข้ามาในเขตนี้เพื่อสืบหาเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ก็มีหลายรายที่หายสาบสูญหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในป่า” “ป่านี้น่ะเหรอครับ?” เปอร์ไม่ถามเปล่า แต่เขายังชี้ไปตรงหลังบ้านของลุงนิคที่เป็นป่ามืดทึบเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนสูญหายด้วย “ใช่ เขตนี้มีพื้นที่ป่าถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ มันกว้างมากพอที่จะทำให้ปี ๆ หนึ่งนักปีนเขา นักสำรวจป่าและพวกที่มาหาความจริงบางอย่างสูญหายถึงปีละสิบกว่าคนเลยล่ะ” ลุงนิคอธิบาย โดยในระหว่างนั้นเปอร์ก็มองเข้าไปในป่าอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ต่อมาเขาจะถูกแม่บ่น เมื่อเปอร์มัวแต่สนใจเรื่องอื่นจนไม่สนใจอาหารตรงหน้าของตัวเอง “ตอนนี้ที่นี่ฝนกำลังตกน่ะ ลุงนิคบอกว่าฝนตกแบบนี้เกือบทั้งปี” [น่าอิจฉาจัง เพราะทางฝั่งเราฝนตกแทบนับครั้งได้เลย] “ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” เปอร์เอ่ยพร้อมเหม่อมองเพดานห้องไปด้วย เมื่อเขาได้แยกย้ายจากทุกคนขึ้นมานอนบนห้องของลูกสาวลุงนิคแล้ว โดยก่อนที่เปอร์จะเคลิ้มหลับ เขาก็ได้คุยโทรศัพท์กับเจเน็ตไปด้วย หลังเธอโทรมาหากันทันทีที่รู้ว่าเปอร์กำลังอยู่ที่ทางตอนเหนือของเมือง [แล้วนี่นายจะกลับมาตอนไหน] “แม่บอกว่าพวกเราจะกลับกันวันอาทิตย์ ถามทำไม?” เขาถามคนปลายสายกลับ [เปล่า ฉันก็แค่อยากรู้เฉย ๆ] “...” [ว่าแต่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง เจอพวกนั้นหรือยัง?] “เธอหมายถึงอะไรล่ะ?” เปอร์แสร้งถามต่อ ทั้งที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเจเน็ตกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เนื่องจากช่วงนี้มันก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวที่เธอกำลังสนใจ ตั้งแต่เจเน็ตรู้ว่าเปอร์เจอกับดวงตาสีแดงสดที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นดวงตาของหมาป่า [แหม... ไม่ใช่นายรู้อยู่แล้วเหรอว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ] เธอว่า ทำเอาเปอร์ต้องหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะว่าต่อ “ไม่เห็นหรอก ขนาดถามคนในพื้นที่เขาก็ยังบอกเลยว่าไม่เคยเห็นมนุษย์หมาป่าตัวเป็น ๆ เลยสักครั้ง” [อ้าวเหรอ...] คราวนี้เจเน็ตขานรับกลับมาด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “แต่ว่าที่นี่หมาป่าชุกชุมมากนะ วันนี้กินข้าวเย็นก็มีเสียงหอนระงมดังจนน่าตกใจ” เปอร์พูดต่อ และทันใดนั้นเสียงที่เขาได้ยินเมื่อตอนหัวค่ำก็ดังขึ้นอีกครั้ง โดยคราวนี้มันก็ดังมากเหมือนมาเห่าหอนที่ข้างหน้าต่างห้องนอนเขา “เธอได้ยินหรือเปล่า มันร้องอีกแล้ว” เปอร์ถามคนปลายสาย เมื่อเขาคิดว่าเสียงหอนของหมาป่ามันน่าจะดังเข้าไปในโทรศัพท์ [ฉันได้ยินชัดแจ๋วเต็มสองรูหูเลยล่ะ] เจเน็ตตอบกลับมา “ใช่ เหมือนจงใจมาส่งเสียงร้องใกล้ ๆ เลย” เปอร์ไม่พูดเปล่า แต่เขายังดันตัวเองขึ้นจากที่นอนแล้วเดินไปส่องหน้าต่างที่เป็นป่าหลังบ้าน เพื่อมองหาตัวต้นเสียงด้วย โดยคราวแรกเขาก็มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เนื่องจากป่ามันมืดมาก มีแต่ต้นไม้ปกคลุมอยู่เต็มไปหมดจนทำให้เปอร์มองไม่เห็นอะไรเลย เขาเกือบจะถอดใจไม่มองหาแล้ว ทว่าจังหวะที่เปอร์กำลังจะผละตัวออกมาจากหน้าต่าง เสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนมันต้องการเรียกร้องความสนใจจากเปอร์ จนทำให้เขามองเห็นตัวมันในที่สุด “เดี๋ยวฉันติดต่อกลับไปนะ” ทันทีที่มองเห็นตัวหมาป่าแล้ว เปอร์ก็รีบบอกคนปลายสายและเป็นฝ่ายตัดสายของเธอก่อนอย่างไม่รีรอ เมื่อสายตาของเขากำลังสบประสานกับดวงตาสีแดงสดแบบเดียวกันกับที่เปอร์เจอเมื่อหลายวันก่อน มันเงยหน้าขึ้นมามองเขาราวกับต้องการให้เปอร์สบตากับมันอย่างชัด ๆ ตัวมันมีขนาดใหญ่มหึมา ขนสีเทา ดำและขาวสลับไปมาอย่างสวยงาม ใช่... มันสวยงามแถมยังสง่าอีก ซึ่งถ้ามันเป็นหมาป่าตัวผู้ก็คงจะเป็นที่สนใจของสาว ๆ ในฝูงอยู่พอสมควร “ลุงนิคบอกว่ามันจะหอนเวลาได้กลิ่นตัวเมีย... แล้วไหนล่ะตัวเมียแถวนี้” เปอร์พึมพำพยายามจะใช้สายตาสอดส่องมองหาหมาป่าอีกตัวที่น่าจะอยู่แถวนี้ ทว่าเขากลับไม่เห็นหมาป่าตัวไหนเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD