2
โอเค... เปอร์คิดว่าตอนนี้เขากำลังเจอเรื่องที่น่าพิศวงอยู่
เช้าวันต่อมาในวันที่เปอร์ได้ออกไปทำงานสายกว่าทุกวัน เนื่องจากคุณนายสมิธผู้เป็นเจ้าของร้านต้องออกไปทำธุระที่ต่างเมือง เขาที่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ต้องเผลอขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อบนเตียงนอนขนาดจิ๋วของเขามีขนสัตว์ติดอยู่ที่ปลอกหมอน
“นี่เป็นขนของสัตว์อะไร” เปอร์ว่าพร้อมหยิบเอาขนสีขาวขึ้นมาดูอย่างใกล้ ๆ เพื่อพิจารณาว่ามันเป็นขนของสัตว์อะไร
“กระรอกเหรอ?” เขาว่าต่อ ก่อนที่ข้อสันนิษฐานนั้นจะถูกลบล้างไป เมื่อห้องนอนของเปอร์มันไม่มีเส้นทางไหนหรือว่ามีต้นไม้ใหญ่ที่จะสามารถทำให้กระรอกเข้ามาในห้องนอนเขาได้เลย แถมแถวบ้านคุณโทมัสเปอร์ก็ไม่เคยเห็นกระรอกอาศัยอยู่ตามต้นไม้เลยสักครั้ง
“ขนแบบนี้... หมาป่าแน่นอน! นายเชื่อฉัน”
“ชักจะหมกหมุ่นเกินไปแล้วนะเจเน็ต หมาป่าตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนั้น ถ้ามันเข้าไปในบ้านฉันหรือแม้กระทั่งขึ้นมานอนอยู่บนเตียงเดียวกันฉันก็ต้องตื่นแล้วสิ” พูดจบ เปอร์ก็ส่ายหน้าให้เจเน็ตไปหนึ่งหน หลังเขาได้นัดเธอให้ออกมานั่งกินขนมและนั่งเล่นอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ก่อนที่เปอร์จะเข้างานในช่วงบ่าย ซึ่งก่อนที่เขาจะออกจากบ้านเปอร์ก็ได้เก็บเอาขนสัตว์ปริศนามาด้วย เนื่องจากเขาคิดว่าเจเน็ตน่าจะพอเดาได้ว่ามันเป็นขนของสัตว์อะไร
“ถ้าไม่ใช่หมาป่าแล้วมันจะเป็นขนของสัตว์ได้ล่ะ” เธอถามกลับมาเสียงจริงจัง “มีสัตว์อะไรที่มีขนสีขาวน่ะ”
“อาจจะเป็นแมว” เปอร์เอ่ย
“แมวงั้นเหรอ? บ้านนายเลี้ยงแมวหรือไง”
“ไม่ได้เลี้ยง แต่ว่าแมวเป็นสัตว์ที่มีขนาดตัวไม่ใหญ่มากและก็เดินเบาด้วย เพราะงั้นมันก็น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าหมาป่านะ” เปอร์ว่า โดยเขาก็ไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีที่จะคล้อยตามคำพูดของเจเน็ตที่พยายามโน้มน้าวบอกว่านี่เป็นขนของหมาป่า
“อีกอย่างนะ... ถ้าเผื่อว่านี่เป็นขนของหมาป่าจริง ๆ เธอคิดว่าฉันจะได้มีโอกาสมานั่งคุยกับเธอแบบนี้หรือไง มันคงจะทำร้ายฉันและจับกินเป็นอาหารแล้วล่ะ” เขาพูดต่อ ซึ่งคราวนี้มันก็ทำให้เจเน็ตเริ่มมีท่าทีโอนอ่อนและเกิดความคล้อยตามเขาที่บอกว่านี่อาจจะเป็นขนของแมวมากกว่าสัตว์ที่เธอว่า
“ก็อาจจะมีความเป็นไปได้” เธอตอบกลับมาและซักไซ้เขาต่อ “ไหน ๆ เราก็ได้คุยเรื่องนี้กันแล้ว งั้นดีเลย... ช่วยเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฉันฟังแบบละเอียดหน่อยสิ
“...”
“วันที่นายเจอกับสัตว์ที่มีดวงตาสีแดงอะไรนั่น”
“ก็อย่างที่ฉันเคยเล่าไปนั่นแหละ จะให้เล่าละเอียดมากแค่ไหนกัน?” เปอร์ถามเพื่อนพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง เนื่องจากเขาพยายามจะลืมเลือนเหตุการณ์นั้นไป เพราะมันทำให้เขาเกิดอาการคิดมาก ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมเสียอย่างนั้น
“วันนั้นฉันไม่ได้เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ หรอกนะ เพราะมันหลบอยู่ในพุ่มไม้ แต่เท่าที่ดูจากขนาดตาของมัน ฉันคิดว่าสัตว์ที่ว่ามันคงจะตัวใหญ่กว่าฉันมากกว่าสองเท่าเห็นจะได้”
“แล้วนายได้เล่าเรื่องนี้ให้แม่หรือพ่อเลี้ยงตัวเองฟังหรือเปล่า? เพราะบางทีแม่หรือคุณโทมัสน่าจะให้คำตอบได้นะว่ามันเป็นสัตว์อะไร” เจเน็ตเอ่ย ซึ่งเปอร์ก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปเท่านั้น
“ฉันยังไม่ได้เล่าหรอก พอดีเย็นวันนั้นมีเรื่องนิดหน่อย” เปอร์ตอบกลับ จากนั้นเขาก็นิ่งไปเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเว็บไซต์ที่เจเน็ตให้มา
“ฉันเองก็มีบางอย่างที่อยากถามเธอเหมือนกัน เรื่องเว็บไซต์นั่นน่ะ”
“เว็บไซต์ที่ฉันให้นายไปน่ะเหรอ”
“ใช่” เปอร์พยักหน้ารับแล้วว่าต่อ “ฉันเห็นในเว็บนั่นเขารับซื้อบทความที่เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าด้วย ฉันก็เลยอยากรู้น่ะว่ามันได้เงินจริง ๆ ไหม หมายถึง... มันได้เงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“อ๋อ เรื่องนั้นก็ต้องได้เงินจริง ๆ สิ ไม่งั้นเว็บคงโดนถล่มเละไปแล้วล่ะ” เจเน็ตยืนยันกลับมา ทว่าคำพูดของเธอกลับทำให้เปอร์เผลอขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเขามีความสงสัยอยู่เต็มไปหมด
“แล้วเว็บเขาเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าบทความพวกนั้นเหรอ”
“มันก็ได้มาจากหลายแหล่งนะ ทั้งค่าสมัครสมาชิกในแต่ละเดือน แล้วก็ค่าโฆษณาอะไรนั่นอีก อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าเว็บได้เงินมาจากตรงไหนบ้าง แต่หลัก ๆ ก็น่าจะมาจากพวกนี้นี่แหละ” เจเน็ตบอกกลับมาพร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติม “จริง ๆ เท่าที่ฉันรู้มานะ เหมือนคนก่อตั้งเว็บนี้เป็นพวกมหาเศรษฐีที่คลั่งไคล้พวกตำนานหรือสิ่งลี้ลับอยู่แล้วอะ แล้วการก่อตั้งเว็บนี้ก็เป็นแค่งานอดิเรกของเขาเฉย ๆ”
“แบบนี้นี่เอง” เมื่อได้ยินเพื่อนว่าเช่นนั้น เปอร์จึงขานรับเสียงแผ่ว ก่อนที่ต่อมาคำถามจากเจเน็ตจะเรียกความสนใจจากเขา
“แล้วนี่นายถามทำไมเหรอ อย่าบอกนะว่าสนใจน่ะ”
“ก็นิดหน่อย เพราะเห็นว่ามันเป็นช่องทางทำเงินได้” เปอร์บอกเพื่อนไปตามตรง
“แต่ว่านายไม่เชื่อว่ามนุษย์หมาป่ามีจริงไม่ใช่เหรอ? แล้วจะเขียนได้ยังไง อีกเรื่องนะ... ถ้านายคิดจะขายบทความในเว็บนี้ เขาไม่ได้ต้องการแค่ข้อความที่บอกว่าพบเห็นนะ แต่เขาต้องการหลักฐานด้วย”
“ก็นี่ไงหลักฐาน” ว่าจบ เปอร์ก็ชูหลอดใสที่บรรจุขนสัตว์ปริศนาให้เพื่อนดู โดยทันทีที่เจเน็ตเห็นเช่นนั้น เธอก็เป็นฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันบ้าง ก่อนจะถามกลับมา
“ไหนนายบอกว่านี่มันอาจเป็นขนแมวไง คิดจะไปหลอกคนอื่นหรือไง”
“ฉันไม่ได้หลอกคนอื่นสักหน่อย” เปอร์รีบปฏิเสธคำครหานั้นทันที
“...”
“แต่ฉันเจอสัตว์ที่น่าจะเป็นมนุษย์หมาป่าต่างหาก” เขาว่าต่อ โดยคำพูดของเปอร์ก็ทำให้เจเน็ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง
“เอาเถอะ... อยากจะทำอะไรก็ทำเลย งั้นฉันก็ขอให้บทความที่นายจะเอาไปขายในเว็บผ่านการอนุมัติก็แล้วกันนะ” เจเน็ตพูดด้วยน้ำเสียงปลง ๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมกลับเลยนะครับคุณนายสมิธ”
“แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้นะ”
“ครับ” เปอร์ขานรับด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากร้านในช่วงสามทุ่มของวัน หลังจากที่เขาจัดการเก็บร้านเรียบร้อยแล้ว
โดยร้านอาหารของคุณนายสมิธ เปอร์ก็ได้ทำหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่พนักงานคิดเงิน คนเสิร์ฟอาหารรวมไปถึงพนักงานเก็บโต๊ะ เขาทำหน้าที่ครอบคลุมทุกอย่างจนแทบจะเป็นหุ้นส่วนอีกคนของร้านด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเปอร์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกกดขี่แต่อย่างใด เนื่องจากเปอร์เต็มใจที่จะทำประกอบกับค่าแรงรายวันที่เขาได้จากคุณนายสมิธมันก็สมเหตุสมผลกับความเหนื่อยของเขา
“เมื่อวานมันเกิดขึ้นตรงนี้สินะ” ขณะที่กำลังเดินกลับบ้านเหมือนอย่างทุกวัน เปอร์ก็พูดกับตัวเองไปด้วย หลังเขาจะต้องแวะถ่ายรูปจุดเกิดเหตุตอนที่เจอกับดวงตาสีแดงสดผ่านพุ่มไม้ เพื่อเอาไปเป็นภาพประกอบบทความตามคำแนะนำของผู้ดูแลเว็บ
ซึ่งพอเขามั่นใจแล้วว่าตรงจุดที่เขากำลังยืนอยู่มันเป็นที่ ๆ เดียวกันกับที่เปอร์ต้องหยุดเดิน เพราะได้ยินเสียงกิ่งไม้แห้งหัก เปอร์ก็รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ทันที โดยเขาก็ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพพุ่มไม้ที่เคยเห็นดวงตาสีแดงสดในนั้นด้วย
“เดี๋ยวนะ... ถ้าเป็นสัตว์จริง ๆ งั้นก็ต้องมีรอยเท้าใช่ไหม เพราะเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางเดินเข้าไปใกล้พุ่มไม้แล้วกวาดสายตามองพื้น ตั้งใจจะมองหารอยเท้าของสัตว์ปริศนา
ก่อนที่เวลาต่อมาเปอร์จะเบิกตากว้างแล้วรีบย่อตัวลงนั่งทันที เมื่อเขาเห็นรอยเท้าขนาดใหญ่ปรากฎอยู่ตามบริเวณพื้นดินตรงหลังพุ่มไม้ เขาใช้มือสัมผัสที่รอยเท้าเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา พยายามพิจารณาว่ามันเป็นสัตว์อะไรกันแน่ จะใช่หมาป่าอย่างที่เจเน็ตพูดหรือว่าเป็นสัตว์ชนิดอื่นกัน
โดยหลังจากที่เปอร์ได้พิจารณามันอย่างใกล้ ๆ แล้ว สัตว์อีกชนิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา นั่นก็คือหมีสีน้ำตาล
“หรือว่าจะเป็นหมี” เขาว่า ยังคงไม่มั่นใจว่ามันเป็นสัตว์อะไร แต่ที่แน่ ๆ เปอร์เลือกที่จะถ่ายรูปรอยเท้าเหล่านั้นเก็บไว้อีกครั้ง เพื่อเอาไปเป็นภาพประกอบบทความและเผื่อเขาได้ใช้ในอนาคต
หลังเก็บภาพทุกอย่างจนคิดว่าได้มาครบแล้ว เปอร์ก็รีบพาตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้นทันที เนื่องจากเวลานี้มันค่อนข้างมืดแล้ว อีกทั้งไฟข้างทางก็ติด ๆ ดับ ๆ อีก ซึ่งระหว่างที่เปอร์กำลังเดินเท้ากลับบ้านของตัวเองด้วยความเร่งรีบนั้น เขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สนใจสิ่งรอบตัว เมื่อเปอร์รู้สึกได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองทุกการกระทำของเขา
ซึ่งความรู้สึกนี้มันก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เปอร์เดินไปเจอรอยเท้าของสัตว์ปริศนาแล้ว
“วันนี้ทำไมกลับถึงบ้านช้าจังเลยล่ะลูก งานที่ร้านอาหารเยอะเหรอ?”
“ไม่ได้เยอะครับ แต่พอดีวันนี้ผมเข้างานตอนบ่ายน่ะ” เมื่อกลับมาถึงบ้าน และเห็นแม่กำลังนั่งดูโทรทัศน์กับคุณโทมัสอยู่ ระหว่างที่เปอร์กำลังถอดรองเท้าเก็บเข้าชั้น เขาก็หันไปสนทนากับเธอด้วย เมื่อแม่ถามไถ่หลังจากที่วันนี้เปอร์กลับบ้านผิดเวลา เนื่องจากปกติเขาจะเข้างานช่วงเช้าและเลิกงานตอนเย็น
“อ๋อ แล้วนี่เปอร์กินข้าวเย็นมาหรือยัง? แม่ทำอาหารไทยไว้ให้นะ ถ้าหิวก็ตักกินได้เลยเพราะแม่หุงข้าวไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณครับ” เปอร์เอ่ยพลางเดินไปดูอาหารไทยที่แม่ได้วางเอาไว้ตรงโต๊ะทานอาหาร ซึ่งเธอก็ได้ทำแกงเขียวหวานใส่กระดูกหมูเอาไว้ให้เขา นั่นจึงทำให้เปอร์เดินไปตักข้าวสวยมาหนึ่งจาน ตั้งใจจะนั่งกินข้าวเย็นให้เสร็จก่อน เขาถึงค่อยขึ้นห้อง
“แล้วนี่แม่กลับมานานหรือยังครับ” ขณะที่กำลังทิ้งตัวลงนั่งที่ประจำ เขาก็ชวนแม่คุยไปด้วย
“ก็ก่อนหน้าเปอร์สักสองชั่วโมงเห็นจะได้” แม่ตอบกลับมาและว่าต่อ เมื่อเธอเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ “ลืมบอกไป... วันเสาร์อาทิตย์นี้เราจะไปนอนค้างที่อื่นกันนะลูก”
“ครับ? พวกเราจะไปที่ไหนกันเหรอ” เปอร์ถาม
“บ้านลุงนิค เปอร์จำลุงนิคได้หรือเปล่า? คนที่เขาไปรับเปอร์มาจากสนามบินน่ะ” แม่เอ่ย
“จำได้สิครับ แม่พูดเหมือนเปอร์รู้จักคนในเมืองนี้เยอะอย่างนั้นแหละ”
“นั่นแหละ เราจะไปนอนค้างที่นั่นกัน บ้านลุงนิคเขาก็อยู่ทางตอนเหนือของเมืองนี้นี่แหละ” เธอพูดต่อ ทว่าคำพูดบางประโยคของเธอกลับทำให้เปอร์เกิดอาการหูผึ่ง
ทางตอนเหนือของเมืองงั้นเหรอ?
“ทำไมจู่ ๆ เราถึงจะได้ไปนอนค้างที่บ้านลุงนิคล่ะครับ” เปอร์ถามกลับไป เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ไปเยือนฝั่งทางนั้น
“ลุงนิคเขาชวนไปเก็บเห็ดที่นั่นน่ะ ตอนนี้เห็ดกำลังออกดอกเยอะเลย เขาเห็นว่าแม่ชอบกินเห็ดก็เลยชวนให้ไปเก็บ อีกอย่างลุงโทมัสเองก็ไม่ได้เจอกับลุงนิคนานแล้วด้วย” แม่ตอบ ซึ่งถ้าเปอร์จำไม่ผิดพ่อสื่อพ่อชักที่ทำให้แม่กับลุงโทมัสได้เจอกันก็คือลุงนิคนี่แหละไม่ใช่ใครอื่น
“ว่าแต่เปอร์สะดวกหรือเปล่า หรือว่าลูกมีนัดกับเจเน็ตแล้ว”
“สะดวกครับ ผมไปกับแม่ได้” เปอร์รีบให้คำตอบกลับไปทันที เนื่องจากเขาอยากไปเยือนทางฝั่งนั้นบ้าง เพราะตั้งแต่ที่เปอร์ย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ เขายังเก็บที่เที่ยวได้ไม่ครบด้วยซ้ำ
หลังกินข้าวเย็นเสร็จเปอร์ก็รีบพาตัวเองขึ้นมายังห้องและจัดการเปิดโน้ตบุ๊กทันที เนื่องจากมีเรื่องให้ต้องทำต่อ โดยตั้งแต่ที่เจเน็ตแนะนำเว็บไซต์นั้นให้เขารู้จัก เปอร์ก็แทบจะเปิดมันเกือบทุกเวลา เพราะสิ่งที่อยู่ในนั้นมันน่าสนใจไปหมด ทั้งเรื่องบทความที่มีให้อ่าน รวมไปถึงเงินที่จะได้หากนำเรื่องราวไปเผยแพร่ในเว็บไซต์นั้นด้วย
“สมัครเป็นสมาชิกเรียบร้อยแล้ว งั้นก็แสดงว่าเขียนบทความได้เลยใช่ไหมนะ” เปอร์พึมพำ เมื่อเขาได้รับอีเมล์ยืนยันการสมัครมาแล้ว โดยในเว็บไซต์ก็จะมีการเป็นสมาชิกแบบสองประเภท นั่นคือการเป็นสมาชิกธรรมดาที่ไม่เสียค่าสมัครและการเป็นสมาชิกแบบพิเศษที่จะมีค่าสมาชิกเป็นรายเดือน
เอาเข้าจริง... เปอร์ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมาทำแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละเขาอยากได้เงินมาซื้อของที่อยากได้ นั่นจึงทำให้เขาต้องมานั่งอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊กและนั่งพิมพ์บทความเป็นภาษาอังกฤษ
“เท่านี้ก็เรียบร้อย คราวนี้ก็รอให้ทีมงานตรวจสินะว่าผ่านหรือเปล่า” หลังจัดการอ่านทวนเรียบร้อยแล้วและไม่ต้องการแก้ไขอะไรอีก เปอร์ก็พูดเสียงแผ่วพลางบิดขี้เกียจไปมาอยู่สองสามที ก่อนที่เขาจะกดส่งบทความไปให้ทีมงานเพื่อตรวจสอบเนื้อหาอีกที ซึ่งถ้าหากบทความของเปอร์ผ่านการพิจารณา เขาก็จะได้รับเงินค่าบทความในอีกสองสัปดาห์ถัดไป
โดยหลังจากที่เปอร์ทำสิ่งที่เขาต้องทำเสร็จแล้ว เปอร์ถึงค่อยลุกขึ้นไปอาบน้ำทำกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ซึ่งวันพรุ่งนี้เขาก็จะได้ทำงานที่ร้านอาหารคุณนายสมิธเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่วันถัดจากนั้นมันจะเป็นวันหยุด
ขณะที่เขากำลังยืนอาบน้ำอุ่นอยู่ในห้องน้ำ เปอร์ก็มีการฮัมเพลงอย่างสบายอกสบายใจไปด้วย ทุกอย่างเป็นไปด้วยความปกติ เขาตั้งใจว่าหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เปอร์ก็จะเข้านอนเลย เนื่องจากเขาเพลียมาทั้งวันแล้ว
เพล้ง!
“เสียงอะไรน่ะ!” ทันทีที่ได้ยินเสียงของตกคล้ายกับจะเป็นแก้ว เปอร์ที่ยังอยู่ในห้องน้ำก็รีบพูดขึ้นด้วยความตกใจทันที ก่อนที่ต่อมาเขาจะรีบล้างตัวแล้วเดินออกไปดูในห้องนอนว่าของอะไรตก แล้วมันตกได้ยังไง
ซึ่งพอเปอร์เดินเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบกวาดสายตามองหาต้นเสียงที่ว่านั้นทันที แต่แล้วเขาก็ต้องพบกับความพิศวง เมื่อเปอร์พบว่าหลอดแก้วที่เขาเก็บขนสัตว์ปริศนาเอาไว้ได้หายไปจากโต๊ะ
“ขน... ขนหายไปไหน” เขาว่าเสียงตกใจพร้อมพยายามกวาดสายตามองหาหลอดจิ๋วนั้น เผื่อว่ามันจะกลิ้งตกพื้น ทว่าเขากลับไม่พบอะไรเลยราวกับว่ามีคนหยิบไป
...ด้วยความจงใจ
“บ้าน่า แล้วมันจะหายไปได้ไง ในเมื่อหน้าต่าง...” หลังหันไปทางหน้าต่างห้อง เสียงของเปอร์ก็ต้องหายไปในลำคอ เพราะตอนนี้หน้าต่างห้องนอนของเขากำลังเปิดอ้าซ่า ทั้งที่ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าไปในห้องน้ำ เปอร์จำได้ว่าเขาไม่ได้เปิดหน้าต่างห้องเอาไว้ เนื่องจากสภาพอากาศข้างนอกกำลังเย็นลง