บทที่ 9 ทวงความยุติธรรม

1551 Words
“เช่นนั้นเรื่องนี้ป้าจัดการเอง ลี่อินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านดีไหม มันต้องมีสักคนที่ยอมมาเป็นพยานให้สิ” นางต้วนมั่นใจว่าต้องมีสักคนที่มาเป็นพยานให้กับอาฉีว่าใครคือคนที่ผลักอาฉีตกน้ำ “ลี่อินไม่อยากให้ป้าต้องมาเดือดร้อนด้วย...” เรื่องนี้ลี่อินตั้งใจจะจัดการด้วยตัวเอง เพราะไม่ต้องการให้ป้าต้วนผู้มีพระคุณเพียงหนึ่งเดียวของเธอต้องมาเดือดร้อนไปด้วย “ไม่เลยลี่อิน แม้เราจะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ลี่อินกับอาฉีก็เหมือนกับหลานป้าคนหนึ่ง อย่าคิดว่าป้าเป็นคนนอกสิ เรื่องนี้ป้าจัดการเอง รอไม่นาน” นางต้วนเอ่ยกลับมาด้วยรอยยิ้ม นางคิดว่าทั้งสองคนเป็นลูกเป็นหลานของตัวเอง เลยไม่คิดว่าการกระทำครั้งนี้จะเป็นการรบกวน “เอาล่ะป้าไปก่อน เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียเปล่า ๆ แล้วลี่อินจะไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเลยไหม” “ค่ะป้า เราไปเจอกันที่นั่นนะคะ” ลี่อินมีแผนสำรอง หากไม่มีใครมาเป็นพยานให้ เธอต้องฟ้องร้องและอ้างถึงทหารแดงที่ยังมีอยู่ในเมืองนี้ ทันทีที่ตกลงกันเรียบร้อย นางต้วนจึงไปบ้านของเด็กเหล่านั้น มีเพียงสองสามบ้านที่เธอเคยพูดคุย แต่ต้องรู้ก่อนว่าวันนั้นเด็กบ้านนั้นอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่ เมื่อป้าต้วนไปแล้ว ลี่อินจึงวางมือจากงานตรงหน้าและเดินเข้ามาพูดคุยกับน้องชาย “อาฉี พี่ถามหน่อยว่าอาฉีต้องการเอาเรื่องมู่สงหรือไม่” ฉีหลินเงยหน้ามองพี่สาวดวงตาเป็นประกาย ความคับแค้นใจในวันนั้นยังจุกอกเขาอยู่ เพียงแต่ก่อนหน้านี้พี่สาวให้ปล่อยวาง เขาจึงเงียบเฉย และไม่พูดถึงเรื่องวันนั้นอีก ไม่คิดว่าเวลานี้พี่ใหญ่จะเอ่ยขึ้นมา “ครับ ผมต้องการเอาคืนพี่มู่สง แต่...” เด็กน้อยก้มหน้า ไม่กล้าพูดว่าพี่ใหญ่นั่นแหละที่ให้เขาปล่อยวาง “เอาล่ะ อาฉีฟังพี่นะ หลังจากนี้ต่อไปหากถูกใครรังแก พี่ขอให้อาฉีสู้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาฉีต้องไม่ใช่ฝ่ายที่ไปหาเรื่องเขาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราทั้งสองได้แต่ยอมรับชะตากรรมและอยากใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่เมื่อมีคนมาหาเรื่อง พี่ไม่อยากให้อาฉียอมเหมือนที่แล้วมา พี่เองก็เช่นกัน พี่ขอโทษนะอาฉีที่ทำให้น้องต้องลำบาก” ฉีหลินเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และคาดไม่ถึงว่าพี่สาวของตนจะพูดคำเหล่านี้ออกมา “พี่ใหญ่ยังป่วยอยู่ใช่ไหม” ด้วยความใสซื่อและยังไร้เดียงสา ฉีหลินจึงคิดว่าพี่สาวยังไม่หายดี ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดให้เขาสู้ ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาไม่ว่าพ่อแม่จะยังอยู่หรือจากไปแล้ว พี่ใหญ่มักจะให้เขายอมบ้านใหญ่ตลอด และไม่ชอบให้เขาเถียงหรือมีเรื่องกับคนอื่น ลี่อินมองอย่างเอ็นดูกับความใสซื่อของฉีหลิน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง และอธิบายให้น้องชายเข้าใจ “ฮ่า ๆ ๆ พี่หายป่วยแล้ว แข็งแรงมากด้วย ตั้งแต่ป่วยพี่คิดและทบทวนมาตลอด ถ้าเกิดเรายังยอมอยู่แบบนี้ นอกจากบ้านจางจะคอยรังแกเราสองคน เด็กคนอื่นเห็นเราไม่สู้ก็อาจจะมารังแกอาฉีหรือพี่อีก ดังนั้นถ้าหากอาฉีหรือพี่ไม่อยากโดนรังแกและเอาเปรียบ เราทั้งสองต้องสู้กลับ แต่นั่นหมายถึงกับคนที่มารังแกเราเท่านั้น” “ทำไมล่ะครับ” “เพราะถ้าเราโต้กลับคนที่รังแกเราก่อน เราสามารถพูดได้ว่าเราป้องกันตัว แต่ถ้าเราไปหาเรื่องเขาก่อน ก็หมายความว่าเราเป็นอันธพาล เข้าใจไหม” ฉีหลินครุ่นคิดด้วยท่าทางเกินเด็ก อีกทั้งยังมีการขมวดคิ้ว จนลี่อินอดไม่ได้ที่จะยื่นมือมาคลึงคิ้วของฉีหลินเพื่อให้คลายออก “อาฉีเข้าใจแล้วครับ แต่หากเราโต้กลับพี่มู่สง ย่ากับป้าสะใภ้จะไม่มาตีเราหรือครับพี่ใหญ่” แม้เขาจะมองออกว่าตัวเองสู้จางมู่สงได้ แต่เมื่อไรที่ย่าและป้าสะใภ้รู้เรื่อง เขาและพี่ใหญ่ไม่วายถูกตีจนก้นชาและหลังลายอีกแน่ เวลานี้พ่อแม่ไม่อยู่คอยปกป้องแล้ว หากย่ากับป้าสะใภ้ตีเขาและพี่สาวใครจะมาช่วยกันล่ะ “อาฉีฟังพี่นะ วันนั้นที่เราโดนย่าไล่ออกจากบ้าน อาฉีเห็นพี่เขียนชื่อในสัญญาสองฉบับนั้นไหม” “เห็นครับ” “นั่นละ สัญญาสองฉบับนั้นเป็นหนังสือแยกบ้านและหนังสือตัดขาดที่บ้านจางมอบให้เราทั้งสองคน เวลานี้เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับบ้านจางอีกแล้ว ไม่ว่าหลังจากนี้เราจะมีกินหรือจะอดตาย บ้านจางไม่อาจจะสอดมือเข้ามายุ่งได้อีกแล้ว” “อาฉีเข้าใจแล้วครับ แต่... นิสัยย่ากับป้าสะใภ้” “ไม่ต้องกังวล หากเรามีเงินพี่จะส่งอาฉีเรียน นี่อาฉีอายุเข้าเกณฑ์แล้ว พี่จะตั้งใจทำงานหาเงินเพื่อซื้อหนังสือและเสื้อผ้า รวมถึงจ่ายค่าเทอมให้อาฉีได้เรียนเหมือนกับเด็กคนอื่น และพี่อยากให้อาฉีได้เรียนสูง ๆ ส่วนเรื่องนิสัยของย่าและป้าสะใภ้ ต่อให้เรามีเงินแต่ยังทำตัวเหมือนเดิม อยู่บ้านหลังเดิม ย่ากับป้าสะใภ้คงไม่เข้ามายุ่งหรือวุ่นวายกับเราหรอก เมื่อไรถึงเวลาที่รัฐเปิดการค้าเสรี ให้ซื้อขายบ้านได้อย่างอิสระ พี่จะซื้อบ้าน แล้วเราย้ายเข้าไปอยู่ในอำเภอกัน พี่ทำอาหารเป็น พี่จะเปิดร้านเล็ก ๆ ไว้ค้าขายและคอยดูการเติบโตของอาฉี ดีหรือไม่” ฉีหลินเข้าใจสิ่งที่พี่สาวพูดมาไม่ทั้งหมด แต่เด็กน้อยยังคงพยักหน้าให้ ขอแค่ย่ากับป้าสะใภ้ไม่เข้ามายุ่งกับครอบครัวเขาก็พอ “ครับพี่ใหญ่ อาฉีจะเป็นเด็กดี” “ดีมาก อาฉีหิวหรือยัง เราไปจัดการเรื่องอาฉีตกน้ำกันก่อนดีหรือไม่ หรืออาฉีจะกินข้าวก่อน” “เราจะไปไหนกันครับพี่ใหญ่ ฟ้าจะมืดแล้ว” “ไปบ้านลุงหัวหน้าหมู่บ้านกัน เราจะไปฟ้องเรื่องที่จางมู่สงผลักอาฉีตกน้ำและทำให้พี่ล้มป่วย อาฉีจะสู้ไหม” ลี่อินบอกกล่าวถึงจุดประสงค์ที่จะพาน้องชายไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ทำให้อาฉียิ้มกว้างและพยักหน้าหงึกหงัก “สู้ครับ อาฉียังไม่หิว อาฉีทนได้ อาฉีจะเอาคืนที่พี่มู่สงทำให้พี่ใหญ่ป่วย” ฉีหลินไม่คิดจะเอาคืนให้ตนเอง แต่คิดจะเอาคืนคนที่ทำให้พี่สาวต้องว่ายน้ำไปช่วยเขาจนล้มป่วย ลี่อินมองน้องด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพากันไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านทันที ทางนางต้วน บ้านหลังแรกที่นางต้วนเดินทางมาคือบ้านหวาง “ลู่ซือ อยู่บ้านไหม” “อ้าว น้าต้วน มีอะไรหรือเปล่า” “พอดีฉันจะมาสอบถามเรื่องบางอย่างกับอาจ้ง ขอเข้าไปคุยด้วยหน่อยได้หรือไม่เล่า” นางลู่แม้จะฉงนใจแต่ก็เปิดประตูให้นางต้วนเข้ามาในบ้านแต่โดยดี เมื่อเข้ามาถึงก็พบกับทุกคนที่ห้องโถงของบ้าน “อ้าว นางต้วน เกิดอะไรขึ้นกันเล่าถึงได้มาที่นี่” แม่สามีของลู่ซือเอ่ยทักเมื่อเห็นคนคุ้นเคยมาเยี่ยมเยียน “พอดีมีเรื่องจะสอบถามอาจ้งหน่อย อาจ้งมาคุยกับป้าหน่อยได้หรือไม่” นางต้วนตอบกลับ ก่อนจะยิ้มให้เด็กชายคนหนึ่งที่ก้มหน้างุดอยู่ข้างย่าของตนเอง แม่สามีของลู่ซือมองไปทางหลานชาย ในใจคิดว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่แล้ว เนื่องจากนางต้วนไม่ค่อยมาเสวนากับบ้านหวางมากนัก แต่ครั้งนี้มาถึงนี่ย่อมต้องมีอะไรแน่ “ฉันไม่อ้อมค้อมแล้วนะ หลายวันก่อนอาฉีลูกชายบ้านสามจางตกน้ำเกิดจากโดนจางมู่สงผลักตก มีหลายคนบอกว่าอาจ้งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย วันนี้ฉันเลยจะมาถาม เพราะเวลานี้ลี่อินกับอาฉีไปแจ้งเรื่องกับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว แม้กฎหมายจะทำอะไรเด็กไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าพวกทหารแดงไม่สนใจว่าคนนั้นจะเด็กหรือคนโต เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม” บ้านหวางตกใจหนักมาก ไม่คิดว่าลูกหลานของตนเองจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากเรื่องถึงทหารแดงคงไม่จบง่าย ๆ นางต้วนเองไม่คิดจะเอาคำกล่าวพวกนี้มาขู่ เพียงแต่ต้องการให้อาจ้งเป็นพยานเท่านั้น แต่ยังไม่บอกว่าเธอและลี่อินนั้นต้องการอะไร เพียงแค่รอว่าบ้านหวางจะตอบไปทิศทางไหน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD