bc

ลี่อิน ทะลุมิติมาพร้อมระบบฟาร์ม (ยุค70)

book_age16+
314
FOLLOW
2.3K
READ
reincarnation/transmigration
HE
time-travel
kickass heroine
rebirth/reborn
poor to rich
like
intro-logo
Blurb

จางลี่อิน เด็กสาวจากชนบทที่อยู่กับน้องชายเพียงลำพัง เพราะพ่อแม่ได้ตกตายไปเนื่องจากล้มป่วย ครอบครัวปู่ย่าขับไล่ออกมาจากบ้านเพราะอ้างว่าที่พ่อแม่ของเธอตกตายนั้นเป็นเพราะเด็กทั้งสอง

จางลี่อินต้องทำงานคอมมูนตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งล้มป่วยและตายไป ทิ้งน้องชายไว้เพียงลำพัง

จางลี่ซิน เป็นวิญญาณของผู้ป่วยติดเตียงจากยุคปัจจุบัน ที่ถูกทอดทิ้ง ขาพิการ แต่เป็นอัจริยะแห่งยุค ฉลาดหลักแหลม คิดค้นระบบเกมส์ให้กับริษัทยักษ์ใหญ่

วิญญาณของลี่ซินมาเข้าร่างของลี่อิน ซึ่งมาพร้อมกับระบบฟาร์มในเกมส์ พร้อมกับมีระบบสุดป่วน จนวันหนึ่งระบบกลายมาเป็นมนุษย์ ทำให้สามคนรักกันไม่ต่างจากคนในครอบครัว

ลี่อินคนใหม่เลี้ยงดูน้องชายมาอย่างดี จนอายุ 12 ปี เธอได้พบเจอกับครอบครัวนายพลระดับสูง และได้ช่วยเหลืออีกฝ่ายที่กำลังโดนยิง ทางครอบครัวนั้นรับสามพี่น้องไปเป็นบุตรบุญธรรม จากเด็กบ้านนอก กลายเป็นคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่ ลี่อินช่วยผู้เป็นพ่อบุญธรรมจัดหาเสบียงให้กองทัพ ช่วยเหลืองานพ่อบุญธรรม โดยใช้ของจากระบบเกมส์ที่ได้มา

หลังยุคปฏิวัติ มีอีกอย่างที่ลี่อินชื่นชอบคือการร่ำเรียน เพราะชาติที่แล้วไม่ได้เรียน จึงไปสอบเทียบจบ และสอบเข้ามหาวิทยาลัย สาขาภาษาอังกฤษ ลี่อินสร้างชื่อให้กับพ่อแม่บุญธรรม

และได้พบกับ ซ่งอวี้เฉิง นักธุรกิจที่มาทำธุรกิจในเมืองที่ลี่อินเรียน

อวี้เฉิงจ้างลี่อินให้มาเป็นล่ามให้กับเขา ทั้งสองคนรักและผูกพันธ์กัน จับมือกันฝ่าฟันอุปสรรคของครอบครัวซ่ง ที่ปู่ซ่งนั้นเข้มงวด แต่เพราะความสามารถของลี่อิน จึงไม่ยากที่จะทำให้คนอื่นหลงรัก

chap-preview
Free preview
บทที่ 1 ครอบครัวจาง
จางลี่อินเด็กสาววัยแปดขวบ เธอเป็นลูกสาวคนโตของบ้านสามจาง ชีวิตในวัยเด็กนั้นแสนอัตคัดนัก เด็กน้อยต้องทำงานทุกอย่างซึ่งไม่ต่างจากทาสในเรือนตั้งแต่วัยสามขวบ แม้ว่าจะยังเดินไม่แข็งและพูดไม่ชัดแต่เด็กน้อยมักจะช่วยงานพ่อแม่เสมอ เมื่อเวลาล่วงเลยจนอายุแปดขวบ จางลี่อินกลายเป็นเด็กที่มีท่าทางไม่ต่างจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งการใช้ชีวิตของเด็กน้อยต่างจากลูกหลานบ้านใหญ่และบ้านรองนัก เนื่องจากบ้านจางทั้งสามยังไม่มีการแยกบ้าน ทุกอย่างที่หามาได้จึงเข้ากองกลางทั้งหมด การใช้ชีวิตของจางลี่อินที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความยากลำบากแค่ไหน ทว่าครอบครัวยังมีความสุข เพราะสี่คนพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตk แต่เวลานี้กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากพ่อและแม่เกิดป่วยหนักนั่นเอง “อินอิน หากพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ลูกจงใช้ชีวิตให้ดีและดูแลน้องให้ดีนะลูก” จางเค่อเอ่ยวาจาคล้ายกับสั่งเสียบุตรสาว ถึงแม้จางลี่อินจะอายุเพียงแปดขวบ แต่เขาเชื่อว่าเธอจะสามารถดูแลจางฉีหลินน้องชายวัยห้าขวบได้ “พ่ออย่าพูดเช่นนี้ พ่อกับแม่ต้องหาย อินอินไม่ยอมให้พ่อกับแม่เป็นอะไรไป ใช่แล้ว! อินอินต้องไปหาย่า ไปขอเงินพาพ่อกับแม่ไปหาหมอ” แม้จะพูดออกมาเช่นนี้แต่เด็กน้อยรู้ดีว่าย่าคงไม่ยอมให้เงินแน่ ต่อให้จะเป็นความหวังที่ริบหรี่ จางลี่อินก็พร้อมที่จะแบกหน้าไปขอเงินย่า “อย่าเลยลูก แม่กับพ่อรู้ตัวดี ต่อไปแม่กับพ่อจะมองดูลูกทั้งสองคนจากสรวงสวรรค์ แม่ขอโทษ” นางจงลู่เอ่ยทั้งน้ำตา เธอรู้ตัวดีว่าเวลาของเธอและสามีเหลือไม่มากแล้ว ต่อให้บุตรสาวตัวน้อยจะไปขอเงินจากกองกลาง ใช่ว่าแม่สามีจะหยิบยื่นให้ ทว่าสิ่งที่เธอยังกังวลและเป็นห่วงจนไม่อาจจะจากโลกนี้ไป มีเพียงบุตรสาววัยแปดขวบและบุตรชายวัยห้าขวบเท่านั้น หากไม่มีเธอกับสามีชีวิตของทั้งสองจะเป็นอย่างไร แต่ทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้ล้วนขึ้นอยู่กับชะตากรรม ชาติที่แล้วเธอและสามีอาจจะทำกรรมอะไรไว้ หรือทำบุญมาน้อย ชาตินี้จึงอยู่กับลูกทั้งสองได้ไม่กี่ปี “ไม่นะคะแม่ อินอินไม่ยอมให้พ่อกับแม่เป็นอะไร หากย่าไม่ให้เงิน อินอินจะเข้าไปใช้แรงงานในตลาดมืด ทำงานไม่กี่วันก็น่าจะได้เงินค่ารักษาพ่อกับแม่แล้ว” ลี่อินพยายามหาลู่ทางเพื่อจะหาเงินค่ารักษาพ่อกับแม่ ต่อให้มีความหวังเพียงครึ่งส่วนเธอก็จะทำ “อย่าเลยลูก ตลาดมืดมันอันตรายเกินไป พ่อกับแม่ขอพักสักหน่อย เหนื่อยเต็มทีแล้ว” จางเค่อน้ำเสียงเริ่มอิดโรย เขารู้ตัวดีว่าลมหายใจแทบจะหมดลงแล้ว เพียงแต่ไม่อยากให้ลูกสาวคิดมาก จึงเอ่ยว่าอยากพักผ่อน “เช่นนั้นอินอินจะลองเข้าไปหาย่าดูค่ะ ยังไงอินอินจะต้องพาพ่อกับแม่ไปหาหมอให้ได้” เด็กน้อยยังไม่ทิ้งความหวัง เธอรีบลุกออกมาจากห้องก่อนจะมุ่งไปยังบ้านใหญ่ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยให้น้องชายวัยห้าขวบอยู่ดูแลพ่อกับแม่ จงลู่เมื่อเห็นว่าลูกสาวจากไปแล้ว จึงขยับร่างกายเข้าหาอ้อมกอดของสามี นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอสามารถอยู่ในอ้อมกอดของชายอันเป็นที่รักได้ “หากชาติหน้ามีจริงฉันขอเกิดมาเป็นภรรยาพี่อีกนะพี่จางเค่อ” จงลู่อยู่ในอ้อมกอดของสามีทั้งน้ำตา เธอหวังว่าชาติหน้าจะได้อยู่กินกับสามีโดยมีลูกทั้งสองคนอีกครั้ง “หากเหนื่อยก็พัก ยังไงเราทั้งสองคนหลังจากนี้คงได้แต่มองอินอินและอาฉีจากสวรรค์ พี่รักน้องนะจงลู่” น้ำตาของลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม เขาไม่คิดเช่นกันว่าจะมีชีวิตอยู่ข้างกายลูกและเมียแค่นี้ “ฉันก็รักพี่นะพี่จางเค่อ” สองสามีภรรยาโอบกอดกันด้วยความรัก เพียงไม่นานลมหายใจของทั้งคู่แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดทั้งสองก็ลาลับโลกนี้ไป โดยทิ้งลูกน้อยทั้งสองใช้ชีวิตอยู่กันตามลำพัง “แกมาที่นี่ทำไม” ย่าจางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าลูกชายและลูกสะใภ้ป่วยหนัก แต่เพราะเธอไม่ต้องการเอาเงินกองกลางให้เลยไม่คิดจะสอบถามถึงอาการป่วยของทั้งสองคน “อินอินอยากจะมาขอเบิกเงินจากย่าค่ะ ฉันจะพาพ่อกับแม่ไปหาหมอ ตอนนี้อาการพ่อกับแม่ไม่สู้ดี อินอินกลัวว่า...” “แล้วยังไง จะตายก็เรื่องของพวกแก ฉันไม่มีเงินให้หรอกนะ ยาต้มก็กินแล้ว ยังไม่หายอีกหรือไง บ้านนี้มีค่าใช้จ่ายเยอะ แกน่าจะรู้นะ” ย่าจางกล่าวเหมือนบ้านสามไม่ใช่ครอบครัว ทำให้เด็กน้อยอย่างลี่อินได้แต่กล้ำกลืนคำกล่าวต่อจากนี้กลับเข้าในอก “แต่พ่อเป็นลูกชายบ้านจางเหมือนกันนะคะ ต่อให้ย่าจะไม่ชอบแม่ แต่ย่าควรจะช่วยรักษาพ่อ อย่างน้อย...” “หยุดนะ ! แกกล้าดีอย่างไรกล่าวหาฉันเช่นนี้ เจ้าสามเป็นลูกฉันแล้วยังไง ในเมื่อมันป่วยฉันไม่ใช่หมอฉันจะรักษามันยังไง ป่วยแล้วหายเองไม่ได้ก็ตาย ๆ ไปเสีย อย่าอยู่เป็นภาระคนอื่นอีกเลย ส่วนแกก็กลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมมาทำงานล่ะ แกต้องทำงานเป็นสองเท่าแทนพ่อแม่ที่นอนป่วยยังไงล่ะ” กล่าวจบย่าจางก็สะบัดก้นเดินเข้าห้อง ปล่อยให้จางลี่อินกลืนน้ำตาลงท้องและเดินกลับไปยังห้องของครอบครัวตนเองที่อยู่ด้านหลังบ้าน “พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” เด็กน้อยวัยห้าขวบยิ้มให้พี่สาวด้วยความดีใจ จางฉีหลินออกมานั่งอยู่หน้าห้อง เพียงเพราะต้องการให้พ่อกับแม่ที่กำลังป่วยได้พักผ่อน โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เลยว่าหลังจากที่จางลี่อินออกมาจากห้องเพื่อไปยังบ้านใหญ่ สองสามีภรรยาได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว “พ่อกับแม่ล่ะอาฉี” จางลี่อินยิ้มให้น้องชายอย่างอิดโรย พร้อมกับปาดน้ำตาทิ้ง เธอเป็นพี่สาวคนโตจึงไม่อยากให้น้องชายเห็นว่ากำลังร้องไห้ “ยังนอนอยู่ครับ” “หิวหรือยัง” “หิวแล้วครับ แต่ยังกินไม่ได้” จางฉีหลินตอบกลับด้วยความใสซื่อ แม้ว่าจะหิว ทว่าจางฉีหลินคิดว่ายังไม่ถึงเวลา ต้องรอบ้านใหญ่และบ้านรองกินเสียก่อน บ้านสามจึงจะกินได้ “อดทนอีกหน่อยนะ พี่จะไปดูพ่อแม่ก่อนแล้วจะไปต้มข้าวให้” ถึงแม้ว่าจะยังไม่แยกบ้าน ทว่าย่าจางไม่ชอบสะใภ้สามเนื่องจากเป็นเด็กกำพร้า ทำให้บ้านสามไม่มีสิทธิ์ไปกินอาหารร่วมกับบ้านใหญ่ ซึ่งต่างจากบ้านรองที่สะใภ้นั้นย่าจางหามาเองเลยไม่โดนรังเกียจ ทำให้บ้านสามต้องทำกับข้าวกินเองโดยใช้ครัวร่วมกัน แต่ใช่ว่าจะได้กินอาหารดี ๆ หรือว่าได้กินอาหารให้อิ่มท้อง เพราะเมื่อไรที่พ่อของจางลี่อินดักสัตว์ได้ จะต้องแบ่งเข้าบ้านใหญ่ก่อนเสมอ และส่วนที่เหลืออันน้อยนิดนั่นแหละคืออาหารของบ้านสาม “ครับพี่ใหญ่” จางฉีหลินตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะจูงมือน้องชายเข้าไปในห้องเพื่อดูอาการของพ่อแม่ ทว่าเมื่อเธอเปิดประตูเข้ามา สิ่งที่เห็นคือร่างที่หมดลมหายใจนอนกอดกัน มือของเด็กน้อยสั่นไหวตามความรู้สึก “พี่ใหญ่ ทำไมพ่อกับแม่ยังนอนอยู่อีก” จางฉีหลินแหงนหน้ามองพี่สาวด้วยความแปลกใจ ทำไมพ่อกับแม่ยังอยู่ในท่าเดิม “อาฉีฟังพี่ใหญ่นะ อาฉีไปบ้านลุงผู้นำ แจ้งท่านว่ามีเรื่องด่วนได้ไหม อาฉีกล้าวิ่งไปคนเดียวหรือไม่” จางลี่อินพยายามกลั้นน้ำตาสุดกำลัง ไม่ใช่ไม่อยากบอกน้อง แต่เธออยากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย อย่างไรมีคนตายต้องแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านอยู่แล้ว “อือ ได้สิ อาฉีวิ่งเร็ว” แม้จะไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวถึงให้ไปตามหัวหน้าหมู่บ้าน แต่จางฉีหลินยอมทำตามแต่โดยดี เมื่อจางฉีหลินไปแล้ว จางลี่อินจึงเดินเข้าไปยังเตียงเตาที่มีร่างของพ่อกับแม่นอนอยู่ “ทำไมคะ ทำไมพ่อกับแม่ไม่รออินอินไปทำงานก่อน อินอินจะได้เอาค่าจ้างมาพาพ่อกับแม่ไปหาหมอ” ร่างน้อยฟุบหน้าลงกับเตียง มือทั้งสองจับร่างพ่อแม่ไว้อย่างหวงแหน น้ำตาเด็กน้อยไหลเป็นทาง เสียงสะอื้นปานจะขาดใจ หากใครได้ยินคงอดที่จะสงสารในโชคชะตาของบ้านสามจางไม่ได้ “พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว อินอินจะทำยังไง อินอินจะอยู่อย่างไร อาฉีล่ะ น้องยังเล็กนัก” จางลี่อินร้องไห้คร่ำครวญกับร่างไร้วิญญาณของพ่อกับแม่ จนลืมนึกไปว่าตนเองอายุเพียงแปดขวบและแก่กว่าจางฉีหลินเพียงสามปีเท่านั้น ไม่นานจางฉีหลินพาหัวหน้าหมู่บ้านมาถึง เด็กน้อยเห็นพี่สาวร้องไห้ก็รีบเดินเข้าไปหา “พี่ใหญ่ร้องทำไม เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ตื่นแล้ว” เด็กน้อยใช้มือปาดน้ำตาให้พี่สาว จางฉีหลินช่างไร้เดียงสานัก ภาพตรงหน้าทำให้หัวหน้าหมู่บ้านอดน้ำตาซึมไม่ได้ “พ่อกับแม่จากไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ต่อไปนี้อาฉีจะต้องอยู่กับพี่สองคน อาฉีห้ามดื้อนะรู้ไหม” “อยู่บนสวรรค์หมายความว่ายังไง อาฉีไม่เข้าใจ” แววตาใสซื่อมองไปยังพี่สาวของตน จางลี่อินเลือกที่จะเงียบ แต่สองแขนคอยกอดร่างน้องชายไว้ เพราะจางฉีหลินเริ่มเขย่าร่างพ่อแม่เพื่อเรียกให้ทั้งสองคนตื่น หัวหน้าหมู่บ้านจัดการเรื่องเอกสารการตายของทั้งสองคนให้ โดยมีพิธีฝังในวันรุ่งขึ้นเนื่องจากบ้านจางไม่ยินดีให้ทำพิธีในบ้าน แม้จะไม่พอใจแต่หัวหน้าหมู่บ้านทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นคนนอก อีกทั้งบ้านสามยังไม่มีการแยกบ้านนั่นเอง สุดท้ายบ้านสามจางจึงเหลือเพียงเด็กน้อยวัยแปดขวบและห้าขวบให้เผชิญชีวิตกันเพียงสองคน

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook