“น้ำ... ขอน้ำหน่อย” ลี่อินเอ่ยขอน้ำดื่ม เวลานี้เธอคอแห้งไปหมดแล้ว
“พี่ใหญ่ พี่ตื่นแล้ว รอก่อนนะ อาฉีจะไปเอาน้ำให้” ฉีหลินปาดน้ำตาทิ้ง และยิ้มกว้างขึ้นมาเมื่อเห็นพี่สาวตื่นแล้ว
ฉีหลินหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับน้ำดื่ม
“อาฉีตกใจมากใช่ไหม พี่ไม่เป็นอะไรหรอก พี่หายป่วยแล้ว”
“อือ อาฉีตกใจมาก เรียกพี่เท่าไรก็ไม่ตื่น จน…” เด็กน้อยไม่กล้าบอกว่ากลัวพี่สาวจะตายเหมือนพ่อกับแม่เลยเอามือมาอังจมูกเพื่อดูว่าพี่สาวยังมีลมหายใจอยู่ไหม
ลี่อินเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกน้องชาย เลยหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ๆ อาฉีคิดว่าพี่ตายใช่ไหม พี่ไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอกนะ ในเมื่อพี่ยังมีอาฉีอยู่ทั้งคน”
“ครับพี่ใหญ่ ผมกลัว กลัวว่าพี่จะทิ้งผมไปเหมือนพ่อกับแม่” ฉีหลินน้ำตาคลอเมื่อคิดถึงการตายของพ่อแม่
“ต่อไปนี้พี่จะเข้มแข็งและจะไม่อ่อนแออีกแล้ว เอาล่ะ อาฉีจะไปเล่นหรือมานอนก่อนก็ได้นะ พี่จะอาบน้ำเสียหน่อย ตั้งแต่ป่วยได้แต่ให้อาฉีเช็ดตัว อาบน้ำแล้วพี่จะรีบทำอาหารให้นะ”
“ครับพี่ใหญ่” ฉีหลินยิ้มกว้าง แต่เขาเลือกที่จะไม่นอนเพราะคิดว่าพี่สาวยังไม่หายดี เด็กน้อยเลือกที่จะนั่งรอให้ลี่อินอาบน้ำเสร็จ
ลี่อินลุกขึ้นมาหยิบเสื้อผ้า แม้จะมีร่างกายเดิมแต่เวลานี้ดวงจิตเธอเข้มแข็งขึ้น แววตาเองก็แข็งกร้าวขึ้นเมื่อคิดถึงสาเหตุของการป่วยในครั้งนี้
“หลังจากนี้อย่าคิดว่าฉันร้ายก็แล้วกันนะย่า!” ลี่อินยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหยิบผ้าเดินไปอาบน้ำหลังบ้าน
เวลานี้ทั้งความทรงจำของลี่อินและลี่ซินกลับมาอยู่ในร่างนี้ทั้งหมด ทำให้เด็กน้อยวัยแปดขวบที่ดูเป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งแข็งกร้าวและมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม อย่าลืมว่าความทรงจำที่มีนั้นกลับมีของลี่ซินรวมอยู่ด้วย ความเข้มแข็งและความเป็นอัจฉริยะก็ยังคงอยู่เช่นกัน
“เฮ้อ... แล้วจะเอาความสามารถมาใช้อะไรที่นี่ล่ะ หันไปทางไหนก็มีเพียงแปลงนา อาหารก็ขาดแคลน คงต้องทำงานในคอมมูนไปก่อนสินะ” ลี่อินเอ่ยกับตัวเอง
แม้ทั้งสองดวงจิตจะกลายมาเป็นคนเดียวกัน แต่ความสามารถที่ติดตัวมาลี่อินจะเอาไปทำอะไร เรื่องเรียนต่อไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีในความคิด เพียงแต่เธอยังหวังว่าจะส่งน้องชายเรียนได้อย่างที่ต้องการ
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ลี่อินจึงเดินกลับมายังห้องครัวเพื่อจะเตรียมอาหารให้น้องชายด้วยตัวเอง
“อ้าว หายดีแล้วหรือลี่อิน ทำไมรีบลุกมาล่ะ” นางต้วนกลับมาจากทำงานตั้งใจว่าจะมาทำอาหารไว้ให้เด็ก ๆ ทั้งสองคน ไม่คิดว่าจะเจอลี่อินลุกออกมาทำอาหารเองแบบนี้
“ลี่อินหายแล้วค่ะป้า ขอบคุณมากนะคะที่ดูแลฉันกับอาฉีตลอดเลย” ลี่อินหันมายิ้มให้ ก่อนจะหันกลับไปทำอาหารต่อ
“ไม่เป็นไรหรอก แต่หายแน่แล้วใช่ไหม ป้าทำให้เองดีกว่า ส่วนเราก็ไปนอนพักเถอะ เดี๋ยวจะไข้กลับเสียเปล่า ๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะป้า ลี่อินหายแล้วจริง ๆ” ตอนนี้ลี่อินมั่นใจในร่างกายของตัวเองว่าแข็งแรงแล้ว และคงไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ อีก
“จริงสิ วันนี้ป้าได้ยินสะใภ้บ้านจางคุยกันว่าอีกไม่นานคงได้ทำศพของลี่อิน ป้านี่อยากจะเข้าไปกระชากหัวแล้วดึงมาตบจริง ๆ คนอะไร ความคิดดี ๆ ไม่มีในสมองเลย เรื่องที่ลี่อินและอาฉีต้องออกมาจากบ้านจางไม่ใช่เพราะสะใภ้พวกนี้หรือ” นางต้วนพอเห็นว่าลี่อินหายดีและไม่มีอาการอิดโรยเหมือนคนยังป่วย เลยกล้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
“ฮ่า ๆ ๆ ขนาดนั้นเลยหรือคะป้า เรื่องที่ลี่อินและอาฉีโดนไล่ออกจากบ้าน ลี่อินคิดเหมือนกันว่าน่าจะเป็นป้าสะใภ้ทั้งสองนั่นแหละค่ะ แต่คนที่ตัดสินใจน่าจะเป็นย่ามากกว่า ลี่อินจำได้ พ่อเคยพูดเสมอว่าลี่อินอาจไม่ได้เรียนเพราะย่าไม่ยอมส่งเสีย แต่กฎของบ้านจางคือหลานชายทุกคนต้องได้เรียน นี่คือคำสั่งเสียสุดท้ายของปู่ที่ทิ้งไว้”
“พ่อเฒ่าจางเป็นคนดี รักลูกรักหลานเท่ากันทุกคน ไม่น่าด่วนจากไปเร็วขนาดนั้น เอ๊ะ ! หรือว่าเรื่องพวกนี้ทำให้บ้านจางสร้างเรื่องเพื่อมาไล่เราสองคนออกมา ร้ายจริง ๆ”
นางต้วนพอคิดและผูกเรื่องราวได้ ก็รู้สึกไม่พอใจบ้านจางขึ้นมา แสดงว่าอาการป่วยของย่าจางก่อนหน้านี้คือเรื่องโกหกน่ะสิ
ลี่อินยิ้มให้ แต่ไม่ตอบอะไรกลับมา นี่จึงเป็นคำตอบว่านางต้วนนั้นคิดไม่ผิด
“แล้วบอกป้าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอาฉีถึงได้ตกน้ำ”
แม้ว่าจะเคยถามเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ลี่อินกลับไม่เคยปริปากบอก วันนี้เลยตัดสินใจเอ่ยถามอีกครั้งหลังจากที่เหมือนเด็กน้อยจะหายดีแล้ว และไม่คิดว่าลี่อินจะยอมบอกจริง ๆ
“วันนั้นอาฉีซักผ้าที่ลำธารเพราะอยากแบ่งเบางานบ้านจากลี่อิน แต่ไม่คิดว่าจะเจอจางมู่สงลูกชายของป้าสะใภ้ใหญ่ ทั้งสองมีปากเสียงกันจนจางมู่สงผลักอาฉีตกน้ำ ตอนที่ลี่อินไปถึงก็ไม่เจอกับตัวต้นเหตุ มีเพียงอาฉีที่กำลังหมดแรงลอยคออยู่กลางลำธาร” ลี่อินกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แววตาของเด็กน้อยวาวโรจน์ขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ หากเธอไปช้ากว่านั้นสักนิด เธอไม่อาจเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอาฉี น้องชายเพียงคนเดียวของเธอ
“ไอ้หยา นี่อายุเท่านี้ยังทำร้ายอาฉีเกือบตาย ถ้าลี่อินไม่ไปช่วย จะเกิดอะไรขึ้นกับอาฉีกันนะ แล้วทำไมเรื่องนี้ไม่บอกป้า ป้าจะไปเอาเรื่องบ้านจาง” นางต้วนไม่คิดแล้วว่าตนเองนั้นเป็นคนนอกเมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมด เวลานี้คิดเพียงว่าต้องไปเอาเรื่องจากบ้านจางให้ได้
ในขณะกำลังพุ่งตัวออกจากบ้านด้วยความโมโห กลับโดนมือของลี่อินรั้งไว้
“ไปเอาเรื่องตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะป้า เวลานั้นมีเพียงอาฉีเท่านั้น หากจางมู่สงปฏิเสธ เราก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิด”
“แล้วจะปล่อยเรื่องราวไว้อย่างนี้หรือลี่อิน” นางต้วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายตำหนิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะปล่อยง่าย ๆ หรือไง
“ไม่ค่ะป้าต้วน ลี่อินไม่มีวันปล่อยคนที่ทำร้ายน้องของลี่อิน แม้ตอนนี้อาฉีปลอดภัย แต่ถ้าวันนั้นลี่อินไปช้า อาฉีคงไม่รอด เพียงแต่เรื่องนี้ลี่อินต้องหาพยานให้ได้เสียก่อนค่ะ” ลี่อินฟื้นจากความตายในครั้งนี้ เธอไม่คิดจะอ่อนแอและยอมคนอื่นอีกแล้ว เพียงแต่ต้องหาพยานเพื่อมัดตัวของจางมู่สงเสียก่อน
“แล้วลี่อินจะทำยังไง เดี๋ยวนะ จางมู่สงไปไหนมักจะมีสหายคอยติดตาม แต่เราไม่รู้นี่ว่าวันนั้นมีใครอยู่บ้าง” นางต้วนครุ่นคิดเล็กน้อยและพยายามนึกถึงจางมู่สงลูกชายของสะใภ้ใหญ่บ้านจาง นึกไปนึกมากลับเห็นเพียงเด็กอายุราว ๆ สิบกว่าปีที่ดูจะนักเลงตั้งแต่เด็ก เพราะมักจะมีสหายคอยติดตามด้วยเสมอ
“หากเป็นมู่สงคนนั้น สหายของเขาป้าพ่อจะรู้จักกับบ้านของเด็กพวกนั้น ถ้าลี่อินต้องการเอาเรื่องป้าจะไปหาพ่อแม่ของเด็กพวกนั้น ลี่อินคิดว่ายังไง”
“แล้วบ้านของพวกเขาจะยอมหรือคะ เรื่องนี้ใหญ่ไม่น้อยถ้าจะเอาเรื่อง”
“ลี่อินต้องการเอาเรื่องเด็กพวกนั้นหรือไม่ หรือจะเอาเรื่องแค่บ้านจาง”
“ลี่อินต้องการเอาเรื่องเพียงบ้านจางค่ะป้าต้วน เด็กพวกนั้นไม่ได้ทำอะไรอาฉี มีเพียงแค่พูดจาไม่ดีเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นปกติของคนที่ไม่ถูกกันอยู่แล้ว”
ลี่อินไม่ต้องการเอาเรื่องเด็กพวกนั้นทั้งหมด การด่าทอหรือพูดจาไม่ดีมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วกับคนที่ไม่ถูกกัน แต่จางมู่สงนั้นไม่ใช่ ถ้ากรณีนี้เกิดกับคนโต จะเป็นข้อหาพยายามฆ่าและไม่สามารถยอมความได้ และเธอต้องไปทวงความยุติธรรมให้น้องชายเท่านั้น อีกทั้งเวลานี้เธอและบ้านจางคล้ายกับคนแปลกหน้าไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องยอมเหมือนที่แล้วมา