บทที่ 11 ไม่ยอมรับผิด

1520 Words
“การที่ลี่อินทำงานมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายย่อมต้องแข็งแรงกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว เพียงแต่ที่แล้วมาลี่อินเลือกที่จะยอมและไม่สู้ แต่เวลานี้มันไม่ใช่ มู่สงทำร้ายฉีหลินจนเกือบตาย ลี่อินลงไปช่วยน้องก็ป่วยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากฉันเป็นลี่อินฉันก็เลือกที่จะสู้ ดีกว่าเป็นคนอ่อนแอแล้วโดนทำร้ายไม่รู้จบ” ทันทีที่ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านพูดจบ มีชาวบ้านเกือบครึ่งที่เห็นด้วย ส่วนคนที่ไม่ออกความคิดเห็นก็ไม่เชื่อว่าลี่อินจะเป็นปีศาจอย่างที่สะใภ้ใหญ่บ้านจางกล่าวหา “นั่นสิ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อว่าลี่อินเป็นปีศาจ แต่เพราะต้องการเรียกร้องความยุติธรรมคืนมาเลยต้องสู้ เธอเองใช่ว่าจะมีเรี่ยวแรงมาก แม้ว่าจะลงงานในแปลงนา แต่ทำงานแบบไหนพวกเรารู้ดี สะใภ้รองเสียอีกที่ทำงานมากกว่าหล่อน” “ใช่ เรื่องนี้ฉันเห็นด้วย” “ฉันด้วย” “ฉันเองก็ไม่เชื่อคำกล่าวหาของสะใภ้ใหญ่ที่บอกว่าลี่อินเป็นปีศาจ หลานชายฉันสิบขวบแบกเครื่องโม่ไหว เช่นนั้นหลานฉันก็เป็นปีศาจด้วยสิ” ชาวบ้านหลายคนต่างสนับสนุน บ้านจางไม่คิดว่าเรื่องจะลุกลามเช่นนี้ ย่าจางจึงถลึงตาใส่ลูกสะใภ้ตัวดีด้วยความโมโห “แม้เรื่องนี้สะใภ้ฉันอาจจะผิด แต่เรื่องมู่สงฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะกล้าคิดฆ่าฉีหลิน ต่อให้ตัดขาดกันแล้ว ฉีหลินกับมู่สงก็ยังคงมีสายเลือดเดียวกัน” ย่าจางรีบหาคำแก้ต่างก่อนที่เรื่องจะลุกลามไปมากกว่านี้ ต่อให้มู่สงจะทำผิดจริง แต่เธอไม่มีวันยอมให้หลานชายต้องรับโทษแน่นอน และไม่คิดว่าสองพี่น้องที่กำพร้าพ่อแม่จะกล้ามีเรื่องกับเธอ!! “ทำยังไงย่าถึงจะเชื่อคะ หรือต้องรอให้อาฉีตายก่อน แล้วให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารแดงเข้ามาเกี่ยวข้องและสืบสวนเรื่องนี้” ลี่อินตอบกลับอย่างเชือดเฉือน แม้จะมีหลายคนแปลกใจกับการเปลี่ยนไปของเด็กน้อย แต่ไม่มีใครคิดว่าเธอจะเป็นปีศาจอย่างที่สะใภ้ใหญ่บ้านจางกล่าวหา เพียงแต่คิดว่าที่ลี่อินเปลี่ยนไปเพราะโดนกระทำเกือบตาย เป็นใครก็ต้องสู้กลับเป็นธรรมดา “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดกับย่าแบบนี้ได้ยังไงลี่อิน หรือเพราะเจ้าสามไม่อยู่สั่งสอนเลยกลายเป็นเด็กก้าวร้าว” ลูกชายคนโตพอเห็นว่าแม่เริ่มคุมเหตุการณ์ตรงหน้าไม่อยู่จึงเอ่ยตำหนิลี่อิน “ลุงใหญ่จะด่าจะว่าหรือตำหนิลี่อินยังไงก็ได้ แต่เรื่องนี้พ่อกับแม่ของลี่อินไม่เกี่ยว และท่านทั้งสองไปอยู่บนสวรรค์แล้ว การที่ลุงใหญ่มองว่าลี่อินก้าวร้าว เพราะต้องการให้ลี่อินและอาฉีจบเรื่องนี้ใช่ไหมคะ” ลี่อินมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจ จะดุด่าว่าเธอ เธอยอมรับได้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพ่อและแม่ ท่านทั้งสองจากไปแล้ว ควรให้ลุงใหญ่มากล่าวถึงเช่นนี้หรือ เมื่อลี่อินรู้ทันความคิดของตนเอง พี่ใหญ่ของบ้านจึงเบือนหน้าหนีและไม่ตอบอะไรอีก “ส่วนเรื่องที่พี่มู่สงทำร้ายโดยการผลักฉีหลินจมน้ำ และไม่คิดที่จะเรียกคนมาช่วยเหลือ อีกทั้งยังสั่งห้ามสหายที่ไปด้วยไม่ให้บอกใคร เรื่องนี้จะเอายังไงคะ ลุงหัวหน้าหมู่บ้านคะ ลี่อินต้องการแจ้งทางการค่ะ ผิดถูกว่าไปตามกฎหมาย หากผลออกมาว่าลี่อินผิดใส่ร้ายพี่มู่สง ลี่อินพร้อมที่จะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง แต่ถ้าผลออกมาว่าพี่มู่สงทำผิดจริง ลี่อินต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด” เมื่อเห็นท่าทีเอาจริงของลี่อิน บ้านจางได้แต่เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง ส่วนตัวต้นเรื่องกลับหลบอยู่ด้านหลังย่าของตน ไม่ยอมออกมาเผชิญหน้าและไม่คิดจะแก้ต่างให้ตัวเอง ต่อให้วันนั้นลี่อินจะไม่อยู่ในเหตุการณ์ที่น้องชายและกลุ่มของมู่สงทะเลาะกัน แต่เธอเชื่อในสิ่งที่ฉีหลินเล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่เล็กจนห้าขวบ ฉีหลินไม่ใช่คนโกหก และเธอเชื่อมั่นในตัวน้องชายว่าไม่ใส่ร้ายใครแน่ ชาวบ้านที่มายืนดู มีหลายครอบครัวที่บุตรหลานของตนเป็นสหายของมู่สง ใบหน้าจึงเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่ กลัวว่าลูกหลานของตนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ “เรื่องนี้ลี่อินจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดใช่ไหม” หัวหน้าหมู่บ้านถามย้ำอีกครั้ง หากลี่อินมั่นใจ เขาก็พร้อมที่จะไปแจ้งทางการ การกระทำของบ้านจางเขารับไม่ได้จริง ๆ แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะจับตัวใครสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างไรเรื่องนี้หากลี่อินต้องการ เขาก็พร้อมที่จะแจ้งทางการให้ทันที “ใช่ค่ะ ลุงหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องนี้ลี่อินจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และไม่คิดจะไว้หน้าใครทั้งนั้น” ลี่อินตอบชัดเจน เรื่องนี้เธอไม่ปล่อยให้คนที่ทำร้ายน้องชายเธอหลุดรอดไปได้อีกแล้ว ต่อให้จะเอาผิดไม่ได้ แต่อย่างไรเธอต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากบ้านจางให้จงได้ “ไม่ได้นะ ไม่ได้ จะแจ้งทางการได้ยังไง ฉีหลินตกน้ำไม่เกี่ยวกับมู่สงเสียหน่อย อีกทั้งพยานและหลักฐานไม่มี ไม่มีใครเชื่อแกหรอกนางลี่อิน” ย่าจางโวยวายเสียงดัง และเรียกร้องหาทั้งพยานและหลักฐาน เธอเชื่อมั่นว่าสองพี่น้องบ้านสามจางคงไม่มีพยานมาช่วยยืนยัน “พยานมาแล้ว !!” นางต้วนส่งเสียงมาก่อนที่จะแหวกชาวบ้านเข้ามา เธอมาพร้อมกับบ้านหวางและอาจ้ง สหายที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น “หล่อนเกี่ยวอะไรด้วยนางต้วน เรื่องนี้เป็นเรื่องครอบครัว หล่อนอย่ามาแส่” ย่าจางตอบกลับด้วยอารมณ์ขุ่นมัวผสมเกรี้ยวกราด “ป้าต้วนเวลานี้ไม่ต่างจากครอบครัวของลี่อินและอาฉี อีกทั้งป้าต้วนยังคอยดูแลเราสองคนยามลี่อินป่วย จะบอกว่าป้าต้วนเป็นคนนอกไม่ได้ค่ะ มาแล้วหรือคะป้า” ลี่อินตอบกลับชัดเจน พร้อมกับให้ฐานะกับนางต้วนเป็นคนในครอบครัว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม ดูแตกต่างกันนักกับบ้านจาง “อืม ป้ามาแล้ว อาจ้งเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังหน่อยซิ ไม่ต้องกลัวความผิด ลี่อินสัญญาแล้วว่าจะไม่เอาเรื่องคนที่ยอมเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ฟัง ส่วนคนที่ช่วยกันปกปิดความผิด แม้จะเอาเรื่องได้น้อยกว่าผู้กระทำ ทว่ายังไงต้องชดใช้ค่าเสียหายตามที่ลี่อินและอาฉีเรียกร้อง” นางต้วนกล่าวกับอาจ้งด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่กลับพูดเสียงดังให้กับคนที่ช่วยปิดบังเหตุการณ์ในวันนั้นด้วยน้ำเสียงที่คุกคามและกดดัน “ครับ” อาจ้งตอบรับและเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด ซึ่งเป็นคำพูดเดียวกับฉีหลินที่เล่าให้พี่สาวและหัวหน้าหมู่บ้านฟังเช่นกัน ทันทีที่อาจ้งเล่าจบ ทุกคนจึงหันไปมองจางมู่สงอย่างตำหนิ เพราะไม่คิดว่าเด็กอายุแค่สิบขวบจะกล้าทำร้ายน้องชายบ้านสาม นี่คงกะจะให้ฉีหลินตาย ไม่อย่างนั้นคงไม่สั่งห้ามสหายเพื่อปิดบังเรื่องนี้ “นายโกหก ฉันไม่ได้ทำ” จางมู่สงตะโกนลั่นเพื่อปัดภัยให้พ้นตัว และจ้องหน้าสหายตาแข็ง “นายทำ นายสั่งให้พวกเราเงียบปากไว้ ไม่งั้นนายจะลากพวกเราให้รับผิดไปกับนายหากมีคนรู้เรื่องนี้” เมื่ออาจ้งกล้าพูด สหายร่วมเหตุการณ์ในวันนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง “ใช่แล้ว วันนั้นมู่สงสั่งห้ามพวกเรา เพราะความกลัวพวกเราเลยไม่กล้าพูดเรื่องนี้ ขอโทษนะฉีหลิน” แต่ละคนได้แต่เอ่ยขอโทษฉีหลินกันไม่หยุด และยังหันมาขอโทษลี่อินกับเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อพยานและหลักฐานพร้อม หัวหน้าหมู่บ้านจึงคิดจะเอาเรื่องนี้แจ้งทางการ ‘นี่สิบขวบยังร้ายกาจขนาดนี้ หากโตไปไม่กลายเป็นโจรหรือไม่ก็กล้าฆ่าคนตายเลยหรือยังไง’ “ไม่ ฉันไม่ผิด พวกแกใส่ร้ายฉัน เจ้าฉีหลินเป็นลูกอาสาม ฉันจะทำร้ายมันทำไม” “นั่นสิ บ้านสามเคยลักขโมยอาหารไปฉันยังไม่เคยบอกใครเลย แล้วทำไมลี่อินถึงรวมหัวกับเด็กพวกนี้มาใส่ร้ายมู่สงของฉันล่ะ” สะใภ้ใหญ่ออกมาปกป้องลูกชายพร้อมกับโยนเรื่องอาหารของบ้านจางที่เคยหายไปขึ้นมา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD