“ป้าสะใภ้แน่ใจหรือคะว่าบ้านสามเป็นคนขโมยอาหารพวกนั้น นอกจากบ้านสามไม่เคยขโมยของจากบ้านใหญ่แล้ว ทุกครั้งที่พ่อหาอาหารหรือสัตว์ป่ามาได้ก็มักจะส่งมอบให้บ้านใหญ่เสมอ แล้วนิสัยแบบนี้จะกล้าลักขโมยอาหารจากบ้านใหญ่ได้อย่างไร ป้าสะใภ้ลองทบทวนดูนะว่าใครกันแน่ที่ขโมยอาหารจากบ้านจาง แล้วเอากลับบ้านเดิม” ลี่อินต่อให้อายุแปดขวบ แต่ไม่ใช่คนโง่ เธอเห็นหลายครั้งแล้วเรื่องที่ป้าสะใภ้ขโมยอาหารไปบ้านเดิม แต่เพราะก่อนหน้านี้เป็นคนขี้ขลาดและไม่อยากโดนด่าเลยไม่คิดจะสนใจหรือใส่ใจ แต่การที่มากล่าวหาพ่อแม่ที่ตายไปแล้วเธอยอมไม่ได้เด็ดขาด !!
“แกหมายความว่ายังไงลี่อิน อาหารที่หายไปแกรู้ใช่ไหมว่าใครเอาไป” ย่าจางเค้นถาม พอพูดถึงอาหารที่เคยหายไป ใจของเธอเหมือนถูกกรีด ทันทีที่หลานชังพูดคล้ายกับรู้ว่าใครเอาไปจึงเค้นถาม และจะรีบไปจัดการหัวขโมยตัวดี
“ย่าลอง…”
“หยุดนะนางลี่อิน แกจะเอายังไงเรื่องมู่สง แม่สามีคะ ตอนนี้เราควรจัดการเรื่องของมู่สงก่อนนะคะ แล้วค่อยกลับไปคุยเรื่องอาหารดีหรือไม่ หรือแม่อยากให้หลานชายถูกส่งไปค่ายกักกันที่ต้องใช้แรงงาน” สะใภ้ใหญ่ถลึงตาใส่ลี่อิน ท่าทางเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของชาวบ้านทั้งสิ้น และนี่จึงทำให้ทุกคนเอนเอียงไปในทิศทางเดียวกัน
‘คนที่ขโมยคงเป็นสะใภ้ใหญ่ตัวดีนั่นเอง’
“แกจะเอายังไง ในเมื่อมู่สงพูดแล้วว่าไม่ได้ทำ พวกแกรวมหัวใส่ร้าย ถ้าอยากจะหาคนผิดก็เอาเด็ก ๆ พวกนี้ไปสิ เกี่ยวอะไรกับมู่สงของฉัน” ย่าจางเห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างของสะใภ้ใหญ่ สะใภ้รองของบ้านจางได้แต่กลอกตามองบน เธอก็รู้ว่าคนที่ขโมยอาหารเป็นใคร แต่เพราะอยากอยู่อย่างสงบจึงไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง แม้อยากจะฟ้องแม่สามีแค่ไหนก็ตาม
“เอาเถอะ ในเมื่อมู่สงยืนยันว่าตนเองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกทั้งเด็ก ๆ พวกนี้ยังออกมายอมรับ และยอมเป็นพยาน เรื่องนี้ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ นี่คือสิ่งที่สมควรที่สุด และควรจะให้ทหารแดงมาตัดสิน แม้อาจจะช้าหน่อย แต่ยังไงคนผิดต้องได้รับโทษ” หัวหน้าหมู่บ้านรำคาญบ้านจางที่สุด ขนาดพยานพร้อมขนาดนี้ยังไม่ยอมรับ เขาเองก็เบื่อที่จะคุยให้แล้ว
เพราะเป็นเด็ก แม้จะร้ายกาจแค่ไหน พอโดนกดดันหนักเข้าก็ยอมรับอย่างง่ายดาย
“ผมยอมแล้ว อย่าแจ้งทางการเลยนะ ย่า พ่อ แม่ ช่วยผมด้วย ผมไม่อยากถูกส่งไปใช้แรงงาน ผมยังต้องเรียน”
จางมู่สงร้องไห้ฟูมฟาย เขากลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว บ้านรองจางได้แต่ถอนหายใจ ส่วนบ้านใหญ่เข่นเขี้ยวบุตรชาย ไม่คิดว่าจะโง่สารภาพออกมาด้วยตัวเอง
“นี่ไง ในที่สุดก็สารภาพออกมา แต่สารภาพแล้วใช่ว่าจะพ้นผิด ลี่อินจะเอายังไงต่อลูก” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างจนใจ ถ้าไม่ขู่คงไม่ยอมรับ ครั้งนี้ดีที่ฉีหลินไม่เป็นอะไร อีกทั้งลี่อินก็หายป่วยแล้ว หากมีเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียเธอไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรเหมือนกัน
“ลี่อินยังคงยืนยันคำเดิมค่ะ ให้พี่มู่สงไปใช้กรรมในสิ่งที่ทำไว้ ต่อไปจะได้ไม่ต้องทำร้ายใครอีก ส่วนคนอื่น ๆ ลี่อินไม่เอาเรื่อง และขอบคุณที่กล้าออกมายอมรับและเป็นพยานในครั้งนี้” ลี่อินเลือกที่จะไม่ยอมจบ หากจะถามว่าเวลานี้เธอต้องการอะไรนอกจากให้จางมู่สงไปใช้แรงงาน
สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดคือเงินเพื่อเป็นทุนรอนในชีวิต แม้มันจะเทียบไม่ได้กับสิ่งที่น้องชายเธอถูกกระทำ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างปล่อยมู่สงแต่เธอและน้องชายไม่อดตาย กับให้มู่สงไปใช้แรงงาน แต่เธอและฉีหลินไม่มีอะไรกิน เธอขอเลือกเงินดีกว่า และเธอเชื่อว่าบ้านจางต้องเสนอเงินเพื่อแลกกับอนาคตของหลานชาย
“แกหมายความว่ายังไง มู่สงออกมายอมรับแล้ว แกจะเอาอะไรอีก ได้คืบจะเอาศอก” ย่าจางเหลืออดที่เรื่องนี้ไม่จบเสียที จึงเอ่ยถามด้วยความฉุนเฉียว แม้ในใจนั้นอยากฟาดลี่อินให้เลือดกบปากก็ตาม
“ลี่อินบอกแล้ว ลี่อินจะเอาเรื่อง”
“แบบนี้ได้ไหมลี่อิน ลุงไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ลุงคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีทั้งสองฝ่าย ให้บ้านจางชดใช้ค่าเสียหายให้กับฉีหลิน และทำสัญญาว่ามู่สงห้ามมาข้องเกี่ยวและข้องแวะกับฉีหลินอีก ถ้าเกิดมีการทำร้ายขึ้นมาอีกครั้ง ลุงนี่แหละจะจับส่งทหารแดงด้วยตัวเอง ส่วนค่าเสียหาย ลุงให้บ้านจางจ่ายเงินให้หนึ่งร้อยหยวน แม้จะดูมากไป แต่อย่าลืมว่าแลกกับอนาคตของหลานชายคนโตของบ้านจางที่กำลังเล่าเรียน ยังไงก็คุ้มกว่าที่จะให้มู่สงติดคุกและถูกส่งตัวไปใช้แรงงาน ดีไม่ดีหากเรื่องถึงทหารแดงอาจจะโดนยิงเป้า”
สิ้นเสียงคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้าน บ้านจางล้มตึงไปทันที คนในบ้านต่างก็ครุ่นคิดแบบสวนทาง ส่วนย่าจางนั้นเอามือทุบอก เธอจะต้องสูญเสียเงินมากขนาดนี้เลยหรือ นี่เป็นเงินที่เธอเก็บสะสมมาตั้งแต่ยังสาว และเป็นเงินที่ลูก ๆ ของเธอส่งเข้ากองกลาง รวมถึงเงินค่าเล่าเรียนของหลาน ๆ อีก หากต้องเอาเงินออกมาจ่ายหนึ่งร้อยหยวน บ้านจางของเธอจะเหลือเท่าไรกันเชียว
“ไม่ได้นะแม่ เงินนี้บ้านรองของผมก็หามาด้วยเหมือนกัน เงินหนึ่งร้อยหยวนต้องเก็บสะสมอีกกี่ปีถึงจะครบ ผมไม่เห็นด้วย” ลูกชายคนรองโต้แย้งคนแรก และไม่เห็นด้วยที่ต้องเสียเงินมากขนาดนี้
“แล้วแกจะให้ทำยังไงเจ้ารอง แกจะยอมให้หลานเสียอนาคตหรือ” ลูกชายคนโตบ้านจางตอกกลับน้องชาย จ่ายเงินแค่นี้หากช่วยมู่สงได้เขาก็ยอม
“ในเมื่อหาเรื่องเองก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา ไม่ใช่มาสร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับคนอื่น ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วย”
สองพี่น้องต่างมีความเห็นแก่ตัว จึงได้ทุ่มเถียงกันไม่หยุด ชาวบ้านต่างก็มองด้วยความเอือมระอา แม้บ้านรองจะไม่ได้น่ารังเกียจเท่าบ้านใหญ่ แต่เพราะมีความเห็นแก่ตัวไม่น้อย วันที่ลี่อินและฉีหลินถูกไล่ออกจากบ้าน ก็ไม่ยอมออกมาค้านหรือว่าช่วยเหลือ
ย่าจางมองสภาพของลูกชายทั้งสองด้วยสายตาไม่พอใจ แค่นี้ยังอายชาวบ้านไม่พออีกหรือ
“ฉันเป็นแม่พวกแก ฉันยังไม่ทันพูดอะไรก็กัดกันเหมือนหมาแล้ว เรื่องนี้ฉันตัดสินใจเอง” ย่าจางตำหนิทั้งสองคน ก่อนจะหันมามองลี่อินและฉีหลินด้วยความแค้น
“ฉันยอมจ่าย แต่แกต้องลงลายมือในสัญญาด้วยว่าจะไม่เรียกร้องหรือแจ้งความจับมู่สงในภายหลัง และแกต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูแทนพ่อแม่แกที่ตายไปให้ฉันเดือนละห้าหยวนทุกเดือน” เฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างไรก็เป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์ ย่าจางยอมจ่ายและเรียกร้องให้สองพี่น้องจ่ายค่าเลี้ยงดูแทนพ่อแม่ที่ตายไป
“มันไม่น่าสมเพชไปหน่อยหรือ แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้วยังเอาเปรียบหลานทั้งสองคนอีก พ่อแม่ของลี่อินตายไปแล้ว มีที่ไหนกันให้หลานที่ตัดขาดส่งเสียค่าเลี้ยงดูแทน ลี่อินป้าว่าเงินไม่ต้ององไม่ต้องเอามันแล้ว แจ้งทหารแดงเถอะ เสียเวลากินข้าว จะมืดแล้ว” นางต้วนด่าอย่างไม่ไว้หน้า เธอไม่คิดว่าบ้านจางจะร้ายและน่ารังเกียจขนาดนี้ เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น
“ค่ะป้าต้วน ลี่อินก็คิดแบบนั้น” ลี่อินเห็นด้วยกับนางต้วน จากนั้นจึงหันมาทางหัวหน้าหมู่บ้าน แม้จะไม่พูดเพียงแค่มองตากันก็เข้าใจ
การที่หัวหน้าหมู่บ้านเรียกร้องเงินถึงหนึ่งร้อยหยวน เพราะต้องการให้สองพี่น้องลืมตาอ้าปากได้
หัวหน้าหมู่บ้านเตรียมจะเดินจะออกไปสำนักงานคอมมูนเพื่อใช้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ กลับมีเสียงย่าจางเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนหัวหน้าหมู่บ้าน อย่าเพิ่งไป”