“นาย...!”
ฉันมองหน้าเขาด้วยความตกใจแล้วรีบทรงตัวให้เป็นปกติโดยเร็ว แล้วอยากรู้ไหมว่าผู้ชายตรงหน้าเขาเป็นใคร?
ฉันจะตอบให้ก็ได้! เขาไง โฮคิน่ะ!
ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? ผู้ชายที่เข้ามาช่วยฉันจากไอ้สวะเมื่อครู่นี้คือโฮคิจริงๆ ใช่ไหม...
พูดแล้วพลันเจ้าหัวใจมันก็เต้นแรงผิดปกติ ยิ่งมองหน้าอันแสนเย็นชาของเขาแล้ว...ร่างกายมันร้อนรุ่มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่...
นัยน์ตาสีสนิมของเขากราดมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเฉยชา มือข้างขวาของเขาถือสเก็ตบอร์ดลายหัวกะโหลกไขว้คู่ใจส่วนอีกมือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง เขามองฉันเพียงครู่หนึ่งเท้านั้นก่อนจะหันหลังกลับไปอย่างไม่สนใจอะไร
เขาช่วยเหลือฉันมาถึงสองครั้งสองหนแล้ว อย่างน้อยฉันควรตอบแทนเขาสักนิดว่าไหม...
“เดี๋ยวนาย!” ฉันรีบวิ่งไปหาเขาแล้วรักษาระดับการเดินให้เสมอกัน ทว่าโฮคิไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองฉันสักนิด อีกทั้งเขายังล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพร้อมกับพ่นควันออกมาอย่างไม่สนใจใครๆ ทั้งสิ้น
อา...
“โฮคิ ขอบคุณนะ”
กึก
ได้ผลแฮะ! ทันทีที่ฉันเอ่ยขอบคุณเขา ขาทั้งสองข้างของเขาก็ชะงักลงทันใดพร้อมกับเอี่ยวคอมองฉัน ฉันฉีกยิ้มกว้างทันทีที่ใบหน้าหล่อคมคายจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉันราวกับจะค้นหาคำตอบอะไรบางอย่าง
“บอกแล้วว่าไม่เอา” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าขอบคุณ...อีก” ทันทีที่พูดจบเขาก็จัดการสไลด์เจ้าสเก็ตบอร์ดคู่ใจของเขาไป ทิ้งให้ฉันยืนใบ้รับประทานอยู่ตรงนี้คนเดียว
ทำไมกันล่ะ...
ฉันมองแผ่นหลังของโฮคิที่ไกลห่างออกไป สมองสั่งการให้เดินตามเขาไปเงียบๆ ถ้าให้เดา ฉันคาดว่าเขาคงต้องไปย่าน park อีกแน่ๆ เพราะนั่นคือสถานที่ที่เขามักจะไปบ่อยที่สุดในช่วงค่ำๆ แบบนี้
และเป็นอย่างที่ฉันคาดไว้จริงๆ เพราะเส้นทางที่โฮคิกำลังไปนั้นคือเส้นทางเพียงเส้นทางเดียวที่ไปถนน G ซึ่งเป็นถนนที่ติดอยู่กับย่าน park โดยตรง ฉันย่องตามเบาๆ เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังทำตัวเป็น ‘สตอล์กเกอร์’ สะกดรอยตามเขาอยู่
เเกรก!
แต่ดูท่าโชคจะไม่เข้าข้างฉันเลย!
ฉันเผลอเหยียบเจ้ากระป๋องน้ำอัดลมซึ่งตกอยู่กับพื้นจนเกิดเสียงดัง และนั่น...ทำให้โฮคิหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็วโดยที่ฉันเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว เพราะมัวแต่ตกใจกับฝ่าเท้าตัวเองที่ไปเหยียบกระป๋องน้ำอัดลมนี้เข้า
แย่จริงยัยสีเทียน! ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลยหรือไง
ฉันตำหนิตัวเองในใจและหลบสายตาโฮคิแบบไม่ทัน เขาน่ะยิ่งเป็นคนน่ากลัวอยู่ด้วย
“อะ...เอ่อ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตามนายนะ” ฉันรีบแก้ตัวก่อนที่เขาจะรู้สึกโกรธ และรีบหันหลังกลับทว่าไม่ทันที่ฉันจะก้าวเท้าออกมาได้แม้เพียงครึ่งก้าว ร่างของฉันก็ถูกยึดไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว”
โฮคิเรียก มือหนาดึงชายเสื้อของฉันไว้ ฉันชะงักมองฝ่ามือของเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับไปหาเขาซึ่งอยู่ด้านหลั.
และเมื่อหันกลับมา พลันลมหายใจติดขัดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ โฮคิกำลังจ้องหน้าฉันอยู่ ริมฝีปากติดคล้ำตามประสาคนสูบบุหรี่ของเขายังคงเรียบตึงเฉื่อยชา
“ฉันไม่ได้จะตามนายนะโฮคิ...ฉันน่ะ...”
“โกหก”
ราวกับมีอะไรมาอุดปากฉันอย่างฉับพลัน คำพูดของเขาถึงแม้จะเรียบนิ่งแต่หนักแน่นอย่างน่าหวั่นใจ ซึ่งจริงๆ...มันก็ถูกของเขา
อ่า...แต่ให้ตายเถอะ การที่ถูกเขาจ้องมองแบบนี้ ฉันรู้สึกแปลก.. ราวกับมีไฟร้อนๆ มาทาบทับไปทั่วทุกสัดส่วน เพียงแค่มือของเขาสัมผัสเสื้อของฉันเท่านั้น ฉันก็ตื่นเต้นจนแทบบ้า
ท่าจะเป็นเอามากนะเรา...
ฉันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เงยหน้ามองโฮคิตรงๆ นัยน์ตาสีสนิมของเขายังคงสงบนิ่งเช่นเคยและดูทรงอิทธิพลมากเท่าที่ฉันเคยเห็นมาตลอดชั่วชีวิต
และนั่นน่ะ...
มันคือเสน่ห์ที่ทำให้ฉันหลงรัก...และตัดสินใจย้ายโรงเรียนเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเขา ต่อให้ร่างกายของฉันจะกลัวสักแค่ไหน แต่ถ้ามัวให้ความกลัวมันบดบังทุกอย่าง สิ่งที่อยู่ในใจเราจริงๆ และความพยายามอันเป็นจุดเริ่มต้นของฉันในตอนนี้ก็สูญเปล่าน่ะสิ จริงไหม?
ฉันควรเผชิญหน้าและ...อย่ากลัว
“ก็ได้ฉันยอมรับว่าฉันตามนาย” ในที่สุดฉันก็พูดความจริงออกไป และทันทีที่ฉันพูดแบบนั้น เสื้อที่ถูกดึงเอาไว้ก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระเช่นเดิม ก่อนโฮคิจะเอ่ยถามบางสิ่งออกมา
“ชอบฉันเหรอ”
“!!..”
หน้าของฉันร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีที่เขาใช้น้ำเสียงนิ่งเนือยเอ่ยถาม เม็ดเหงื่อเล็กๆ เริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้า บริเวณขมับและส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างรวดเร็ว
“ฉัน...”
ฉันก้มหน้าลงพื้นคอนกรีตด้วยความเขินอาย ขาแขนมันสั่นไปหมด แต่รู้อะไรไหม แทนที่เขาควรสนใจสิ่งที่ฉันจะตอบแต่เขากลับกระตุกมุมปากพร้อมกับพูดบางอย่างออกมา
“ไร้สาระ” มันเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย...
เมื่อพูดจบโฮคิก็เดินจากไปอีกครั้งทิ้งให้ฉันยืนอ้าปากพะงาบๆ เหมือนคนบ้าที่งงงวยกับการกระทำอันยากเกินเข้าใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาเป็นคนที่เข้าถึงยากและเข้าใจยากมาที่สุดในโลกเลย ถึงแม้ฉันจะรู้ข้อนี้ดีก็ตาม แต่มันก็รู้สึกแย่เล็กๆ ที่เขาเย็นชาเกินไปแบบนี้
ฉันน่ะ...อยากบอกความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในนี้ เพียงแต่ฉันยังไม่กล้าพอที่จะพูดคำคำนั้นกับคนเย็นชาเหมือนน้ำแข็งเช่นเขา ดูสิ...แค่นี้เขายังบอกว่าฉันไร้สาระเลย
แต่เอาเถอะ! นี่ยังถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ยังไงฉันก็ต้องพยายามตีสนิทและใกล้ชิดเขาให้มากกว่านี้ให้ได้
“รอฉันด้วย!”
ไม่รอช้า ฉันรีบวิ่งไปหาแล้วชะลอฝีเท้าลงเพื่อให้เดินอยู่ในระดับเดียวกับเขา และมันก็ยังเป็นอย่างเดิมนั่นแหละ เขาไม่หันหน้ามามองฉันแม้แต่นิด ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ชวนเขาคุยอะไร ได้ ทำได้แค่เดินข้างๆ และลอบมองเขาเป็นระยะ
เขาดูดีจัง...
ฉันคิดแบบนี้เสมอเวลาเห็นเขา ไม่ว่าจะด้านหลัง ด้านหน้า แม้กระทั่งด้านข้างเช่นนี้ สันจมูกโด่งยาวได้รูปกับริมฝีปากบางรูปกระจับที่เรียบตึงอยู่เสมอนั่น แม้จะขับให้เขาดูหยิ่งยโสโอหังและผูกมิตรยาก แต่ไม่เคยมีเลยสักเสี้ยววินาทีที่ฉันจะล้มเลิกความรู้สึกตัวเอง เขาอาจแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามอมแมม รองเท้าผ้าใบใบเก่า ใบหน้ามีแผลไม่เว้นแต่ละวัน
แต่ก็นั่นแหละ คนมันชอบไปแล้วนี่
“มาแล้วเหรอ”
เสียงหนึ่งทำให้ฉันเลิกสนใจโฮคิไปชั่วขณะ พอหันมองยังต้นตอของเสียงถึงกับอ้าปากค้างเพราะมีผู้ชายเกือบสิบคนยืนอยู่
นี่มัน...เหมือนพวกอันธพาลที่ฉันเคยเห็นในทีวีเลย
และเมื่อลองสำรวจรอบกายจึงพบว่าตรงนี้คือลาน park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะแบ่งแยกออกมาจากย่านนี้ เวลาเดินไปเร็วหรืออะไรไม่แน่ใจ แต่ก็แปลกใจเช่นกันที่พบว่าตัวเองเดินมาถึงที่นี่พร้อมๆ กับโฮคิ...คือฉันแทบไม่รู้ตัวเลย
สงสัยจะเพลินกับการลอบมองโฮคิจนเกินไปแน่ๆ
“เออ” โฮคิตอบเสียงเรียบพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง และนายคนที่อยู่ด้านหน้าสุดเจ้าของเสียงทักทายเมื่อครู่ที่แลเหมือนหัวหน้าอันธพาลก็ก้าวเท้ามาประจันหน้ากับโฮคิเช่นกัน แล้วหลังจากนั้น สายตาของเขาได้เลื่อนมาที่ฉัน ใช้นัยน์ตาคมปลาบมองไม่วางตาพลางกระตุกยิ้มมุมปากเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“ไอ้ฉันก็สงสัย...ว่าทำไมแกถึงมาช้านัก ที่แท้ก็มัวแต่ไปคั่วกับเด็กนี่เอง”
คั่วเด็ก?
นายหัวหน้าแก๊งอันธพาลหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่ตนเองพูด ขณะที่สายตาของเขาละเลียดมองฉันขึ้นลงอย่างน่าเกลียด สุดท้ายก็หยุดสายตาอยู่ที่...หน้าอก! และเมื่อเห็นเช่นนั้นฉันจึงรีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองทันทีด้วยความไม่ชอบใจ
หมอนั่นเสียมารยาทเกินไปแล้วนะ ทำไมถึงกล้าใช้สายตาทุเรศๆ นั่นมองฉันแบบนั้น!
“ไงล่ะ...ท่าทางจะเต็มไม้เต็มมือน่าดูเลยล่ะสิ พูดแล้วฉันก็อยากลองมะ...อึก”
!!!
รวดเร็วยิ่งกว่ากระสุนปืนเสียอีก!!
โฮคิไม่รอให้นายหัวหน้าแก๊งนั่นพูดจบ เขาจัดการใช้สเก็ตบอร์ดฟาดไปที่บริเวณหน้าท้องจนอีกฝ่ายสะอึกในคำพูด ซึ่งพวกที่เหลือเมื่อเห็นว่าคนเป็นหัวหน้าถูกทำร้ายจึงรีบวิ่งมาดูด้วยความตกใจ
“พล่ามเยอะไป” โฮคิพูดเสียงเย็นพร้อมกับกราดมองอย่างเย็นชา และเวลานั้นนั่นเองที่เหล่าลูกน้องทั้งหลายแหล่กรูใส่โฮคิพร้อมกันทีเดียว ซึ่งภาพเบื้องหน้าทำให้ขาทั้งสองข้างของฉันสั่งการให้รีบวิ่งไปยังบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้! ฉันไม่ยอมให้พวกมันรุมคนที่ฉันชอบเด็ดขาด!
พึ่บ!
ตุ้บ!
“โอ๊ย!”
อาจเป็นเพราะพวกมันวิ่งกันเร็วมาก ฉันซึ่งวิ่งไปยืนขวางโฮคิไว้จึงถูกฝ่าเท้าของหนึ่งในนั้นถีบเอาเต็มๆ บริเวณหน้าอก ส่งผลให้ฉันลงไปนั่งฟุบกับพื้นเพราะความจุกผนวกกับความเจ็บ
“เวร!! ใครใช้ให้เธอมาขวางทางวะ สมน้ำหน้ายัยโง่เอ๊ย!!”
หนึ่งในพวกอันธพาลพูดเสียงดังแล้ววิ่งผ่านร่างฉัน พวกมันพุ่งไปหาโฮคิที่อยู่ด้านหลัง ฉันซึ่งกำลังเจ็บบริเวณหน้าอกพยายามจะลุกขึ้น ทว่ากลับมีใครสักคนมาดึงร่างของฉันไว้เสียก่อน ก่อนกระชากฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอย่างถือวิสาสะ
“ใจเด็ดเกินไปแล้วมั้งคนเก่ง”
ฉันรีบเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันที และเป็นไปตามคาดว่าคนดังกล่าวคือนายหัวหน้าแก๊งอันธพาลเมื่อครู่ที่ถูกโฮคิเอาสเก็ตบอร์ดฟาดหน้าท้อง เขาดูไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้ว คล้ายกับเมื่อครู่นี้เขาเพียงแค่แกล้งเจ็บเท่านั้น!
ก่อนอื่นฉันต้องบอกเลยว่าเขาเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่งทีเดียว ดวงตาของเขาคมมากเหมือนพวกมาเฟีย จมูกโด่งเป็นสันยาวได้รูปเข้ากับริมฝีปากสีจืดซึ่งกำลังกระตุกยิ้มอย่างมาดร้ายนั่นสุดๆ
“ปล่อยฉัน!!” ฉันตะคอกใส่เขาด้วยความไม่พอใจพร้อมกับพยายามดิ้นแรงๆ แต่แรงรัดจากเขากลับแน่นหนายิ่งกว่ามีกาวมาติดไว้เสียอีก
“ชู่ว~ อย่าโวยวายสิคนสวย ต่อจากนี้เรามาดูอะไรสนุกๆ กันดีกว่า” นายหัวหน้าอันธพาลกระซิบข้างหูอย่างนึกสนุกพร้อมกับจับคางเพื่อบังคับให้ฉันหันไปยังภาพเหตุการณ์ด้านหน้าซึ่งในตอนนี้ พวกอันธพาลกลุ่มใหญ่กำลังพากันกระหน่ำใส่โฮคิอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
แต่ดูเหมือนว่าโฮคิจะไม่ใช่ฝ่ายเสียเปรียบสักเท่าไหร่เพราะเขาเพียงคนเดียวสามารถจัดการพวกนั้นได้อย่างไม่ยากอะไรนัก ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้สึกไม่สบายใจดีอยู่ดี
ผัวะ!!!
...โฮคิจัดการถีบและกระทืบจนพวกนั้นลงไปนอนระเนระนาดกับพื้นจนในที่สุดเหล่าอันธพาลทั้งหลายแหล่ก็หมดสภาพหนอนจมกองเลือดไปตามๆ กัน