เขาเก่งมากจนฉันยังตกใจ โฮคิสามารถจัดการคนเกือบสิบได้ในเวลาที่ไม่นานนัก หนำซ้ำเขายังแทบไม่มีบาดแผลบนตัวเลยสักนิดเดียว ไม่สิ ฉันเห็นเขามีรอยช้ำและรอยถลอกนิดหน่อย และมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ
“ลูกน้องของฉันมันบัดซบจริงๆ เลยว่ะแค่นี้ก็หมดแรงกันแล้ว”
ฉันสะดุ้งเมื่อลมหายใจร้อนๆ เป่ารดข้างใบหู ฉันรีบออกแรงสะบัดอีกครั้งเมื่อเห็นว่าโฮคิกำลังมองมาตรงนี้ อีกทั้งยังก้าวเท้าเดินแล้วยืนหยุดอยู่ตรงหน้า
“ปล่อยเธอ”
เชื่อไหม? เมื่อโฮคิพูดคำนั้นออกมา หัวใจของฉันก็เต้นแรงอย่างฉับพลันคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นกำลังเขย่าให้มันเคลื่อนไหวหนักๆ จนควบคุมไว้ไม่อยู่
ทำไมฉันรู้สึกดีใจที่เขาพูดแบบนั้นออกมานะ...
“หวงเมียล่ะสิ” นายอันธพาลพูดคล้ายยั่วโมโหพลางหัวเราะชอบใจ “แต่ฉันไม่ปล่อย แกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
นายอันธพาลเพิ่มแรงกอดรัดแน่นขึ้นก่อนใช้ริมฝีปากของตนเองแตะเบาๆ บริเวณลำคอฉันอย่างถือวิสะ ฉันสะดุ้งและรีบดิ้นในทันที ดวงตาคู่นี้มองโฮคิอย่างอ้อนวอนโดยที่เขากำลังยืนนิ่งคล้ายกับไม่รู้สึกอะไร
แต่ทว่า...
“มีสิ ก็นั่น...ผู้หญิง...ของฉัน”
!!!!!
หัวใจของฉันเต้นเร็วและแรงแทบทะลุออกจากหน้าอกทันทีที่เขาเอ่ยประโยคนั้นออกมา ฉันจ้องหน้าเขาอย่างอึ้งๆ ในขณะที่โฮคิยังคงทำหน้าเรียบหนึ่งประหนึ่งโลกนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับเขาสักอย่าง
อ่า...เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ พูดอะไรไม่สงสารหัวใจของฉันเลย
“ฮะๆๆ! ขำว่ะ คิดว่าตัวเองเล่นหนังอยู่หรือไงโฮคิ!” นายหัวหน้าแก๊งอันธพาลทำท่าขบขันเสียยกใหญ่และเพิ่มแรงรัดเอวของฉันขึ้นไปอีก ฉันทำได้เพียงแค่ดิ้นพล่านๆ ในอ้อมแขนหนาขณะยังคงมองไปยังเจ้าของร่างสูงซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบตึงเช่นเคย
“จะปล่อยไม่ปล่อย” โฮคิถามเสียงเย็น
“ปล่อยก็โง่สิ แกลืมไปแล้วหรือไงว่าแกทำอะไรกับคนของฉัน...” นายหัวหน้าแก๊งเองก็เริ่มใช้น้ำเสียงเย็นยะเยือกไม่ต่างกัน “แกทำร้ายลูกน้องของพ่อฉัน”
“มันสมควร” โฮคิตอบอย่างไม่คิดอะไรมากพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “มันสมควรโดน” เขาย้ำอีกเป็นครั้งที่สองก่อนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของฉัน จากนั้นก็กระชากออกจากอ้อมแขนอันน่าอาเจียนของนายหัวหน้าแก๊งอันธพาลจนในที่สุดร่างของฉันก็หลุดออกจากอ้อมแขนนั่นสักที
หมับ พึ่บ!!!!
ราวกับได้เกิดใหม่... เพราะการที่ฉันโดนไอ้หัวหน้าแก๊งอันธพาลหน้าหล่อนั่นรวบเอวเอาไว้มันช่างน่าขนลุกเสียเหลือเกิน
เมื่อฉันถูกโฮคิกระชากมาอยู่ข้างเขาแล้ว ก็ต้องชะงักกึกในจังหวะที่ก้มมองข้อมือของตัวเองซึ่งถูกโฮคิกำแน่นด้วยมือหนาคู่นั้น ถึงแม้มันจะหยาบเล็กน้อยแต่กลับทำให้ร่างกายของฉันร้อนรุ่มไปหมด หนำซ้ำ...ก้อนเนื้อข้างซ้ายก็ขยับถี่เรื่อยๆ ด้วยความตื่นเต้น
อา ให้ตายสิ! ความรู้สึกในตอนนี้ช่างเหนือคำบรรยายจริงๆ มันทั้งร้อนและแปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
“แกนี่เลือดเย็นเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ นะโฮคิ” นายหัวหน้าแก๊งอันธพาลเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มหยัน “ เพราะเป็นแบบนี้ไง ถึงมีแต่คนรังเกียจแก ขยะแขยงที่จะเข้าให้แก อ๊ะ! หรือแกภูมิใจที่จะเป็นขยะสังคมกันล่ะ หึ” พูดไม่พอยังสำรวจโฮคิตั้งแต่เท้าจรดหัวด้วยแววตานึกสมเพช เห็นแบบนั้นฉันก็เริ่มทนไม่ไหว หมอนั่นมันเป็นใครกัน ทำไมถึงกล้ามาพูดจาน่าเกลียดและมองโฮคิด้วยสายตาทุเรศๆ แบบนั้น!
โฮคิได้แต่เงียบและไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว แต่นายหัวหน้าแก๊งอันธพาลบ้านั่นสิกลับหัวเราะในลำคอ เขาเลื่อนสายตามายังฉันซึ่งในตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างๆ โฮคิด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวสุดๆ
คนสวย ฉันขอเตือนเธอนะ ถ้าไม่อยากเป็นเหยื่อให้สวะอย่างมันกรอกกระสุนเข้าปากล่ะก็ หนีไปตอนนี้ยังทันนะ”
“หุบปาก!!”
ในที่สุดความอดทนของฉันก็ขาดสะบั้น ฉะนั้นฉันจึงโพล่งออกไปเสียงดังลั่น เรียกเอาหมอนั่นชะงักไปในทันที แต่ก็แค่ไม่วินาทีเท่านั้น เพราะหมอนั่นก็กลับมายิ้มแบบเดิมอีกครั้ง
“ทำไม? เธอไม่เชื่อที่ฉันพูดหรือไงว่าหมอนั่นน่ะเลวถึงขนาดฆ่าได้แม้กระทั่งผู้หญิง และเธอ...อาจจะเป็นรายต่อไปถ้ายังเข้าไปพัว…”
“บอกให้หุบปากไง! นายเป็นใครกันถึงได้มาตัดสินคนอื่นแบบนี้! ถ้านายเกลียดโฮคินักล่ะก็...อย่ามายุ่งกับเขาสิ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาพูดอะไรแบบนี้เลย อีกอย่างนะ! ไม่ว่าโฮคิจะฆ่าใคร ฉันก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนเลวหรอก! นายนั่นแหละที่เลว ทำตัวหมาหมู่ให้ลูกน้องกิ๊กก๊อกนั่นรุมโฮคิเพียงคนเดียว แต่ไงล่ะ...สุดท้ายก็จนตรอกแล้วสลบเหมือดเหมือนหมาข้างถนนไม่มีผิด!”
ฉันโพล่งด้วยความกรุ่นโกรธสุดพลัง หากแต่ใบหน้าหล่อไม่ได้มีท่าทีตกใจกับสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดออกไปเพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก
“ปากดีจริงๆนะ...แต่รู้อะไรไหมเธอน่ะเป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้าตะโกนใส่หน้าฉันเพียงเพราะต้องการเข้าข้างไอ้เวรนั่น”
“...”
“น่าสนใจไม่เบา”
“...”
"ขอเตือนไรอย่างนะไอ้โฮคิ” เขายิ้มพลางเลื่อนสายตาไปยังโฮคิ
“...”
“แกอย่าเผลอล่ะ ผู้หญิงน่าสนใจแบบนี้ฉันอยากจับทำเมียนักล่ะ”
ทันทีที่หมอนั่นทิ้งท้ายคำพูดอันน่าขนลุกก็หันหลังแล้วเดินจากไปทันที เล่นเอาขาแข้งของฉันแข็งทื่อขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว
“เธอไม่รอดแล้วล่ะ”
เสียงของโฮคิทำให้ฉันรีบหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยความสงสัย โฮคิไม่ได้มองหน้าฉันแต่มองแผ่นหลังกว้างของนายหัวหน้าอันธพาลที่เริ่มไกลลิบออกไปด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“หมายความว่ายังไง?”
“ไม่รู้”
“อะ...อ้าว” ฉันเกิดอาการใบ้รับประทานขึ้นมาทันทีที่โฮคิพูดแบบนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เขายังพูดคล้ายกับรู้อะไรบางอย่างแต่ไหงกลับตอบว่าไม่รู้แบบนี้กันนะ
“มือเธอน่ะ”
ฉันเกิดความสงสัยอีกครั้งเมื่อโฮคิพูดเบาๆ พร้อมกับเหลือบมองมือของตนเองที่ฉันกุมไว้แน่น
เฮ้ยเดี๋ยวนะ! ฉันเผลอไปจับมือของเขาตั้งแต่ตอนไหนกัน? ทั้งที่ก่อนหน้านี้โฮคิเป็นฝ่ายคว้าข้อมือของฉันไปจับไว้ แต่ทำไมรู้ตัวอีกทีกลายเป็นฉันจับมือของเขาไว้แทนเสียอย่างนั้น
บ้าเอ๊ย...
พอรู้ตัวฉันก็รีบดึงมือของตัวเองกลับมาไว้ที่เดิมทันทีด้วยความตื่นเต้น และได้แต่ส่งยิ้มให้เขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่มีสีหน้าใดๆ แสดงออกมาเพียงแค่มองฉันด้วยแววตาเรียบสงบแล้วเดินจากไปพร้อมกับสเก็ตบอร์ดคู่ใจของตนเองทันที
ครืด ครืด
ฉันหยุดความรู้สึกตื่นเต้นลงแล้วล้วงเอามือถือรุ่นดึกดำบรรพ์ที่หายากในสมัยนี้ของตัวเองขึ้นมาแล้วกดรับโดยไม่ได้มองชื่อว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
“ฮัล หละ...”
[ยัยเทียน!!!! นี่มันหกโมงแล้วนะ! เมื่อไหร่จะมา!!]
วินาทีนั้นราวกับทุกอย่างถูกปลุกขึ้นมาทันทีที่เสียงตะคอกแสนน่ากลัวจากปลายสายดังขึ้นข้างหู เป็นสัญญาณบอกว่านี่คือเวลาทำงานพาร์ทไทม์ของฉัน
นี่หกโมงแล้วเหรอเนี่ย!
“คะ...ค่ะ เทียนจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะเจ๊” ว่าจบก็รีบวิ่งไปอีกทางซึ่งเป็นถนนอีกเส้นของลาน Park แต่อยู่ๆ เท้าทั้งสองข้างก็ต้องชะลอลงเมื่อพบกับบางอย่างตกอยู่ที่พื้นไม่ไกลจากลาน Park เท่าไหร่นัก
ฉันตัดสินใจก้มหยิบมันขึ้นมา แต่ไม่ได้สำรวจรายระเอียดอะไรมากมาย ทว่าก็พอจะรู้ว่ามันเป็นแหวนเงินสลักคำบางคำเอาไว้
แต่ยังไงก็เถอะ..ตอนนี้แหวนนี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะต้องมาสนใจ เพราะสิ่งที่ฉันต้องสนใจจริงๆ ในตอนนี้คืองานของตัวเองต่างหาก! หากไปช้าเกินสิบนาที เงินอันน้อยนิดของฉันคงถูกหักไม่เหลืออะไรแน่ๆ