โอเค...ยอมรับว่าฉันไม่ควรทำแบบนี้ แต่ร่างกายของฉันมันมีปฏิกิริยาแบบนี้เอง และสมองก็เริ่มสั่งการอะไรบางอย่างเมื่อเขาหันหน้ากลับมามองพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะเนี่ย ทำให้คนอื่นเสียเวลาแบบนี้อยากตายหรือไง?” เพื่อนโฮคิโวยวายแล้วเตรียมล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า แต่เจ้าของแขนหนาที่ฉันจับเอาไว้ส่งสัญญาณห้ามไว้ก่อน นายเจ้าอารมณ์คนนั้นจึงสงบสติของตัวเองให้คงที่แล้วเหยียดมองฉันด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
“เอามือออกไป” เขาพูดเสียงราบเรียบพร้อมกับเลื่อนระดับสายตาลงมองมือของฉัน ซึ่งยังคงจับแขนของเขาไว้และตอนนี้มันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ... เปียกมากๆ เลยด้วย อา...
“ไม่ใช่แค่เรื่องที่ฉันต้องขอบคุณนายหรอกนะ แต่ ฉะ... ฉันมีบางอย่างจะบอกนายด้วย “ ฉันสบมองนัยน์ตาคู่สวยที่มีแววเศร้าตลอดเวลานั่นด้วยทั้งความชอบและหวาดกลัว เขาน่ะ...เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ ลึกลับ น่าค้นหา อีกทั้งยังเย็นชาจนน่าหวาดหวั่น
“เอามือของเธอออกไป”
“...” ฉันเงียบแล้วจ้องใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาอย่าไม่เข้าใจ บางที...เขาอาจจะรังเกียจหรือขยะแขยงผู้หญิงอย่างฉันก็ได้นะ แต่เขาน่ะเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ฉันชอบมานาน เพียงแค่เขารังเกียจ มันไม่สามารถทำให้ฉันล้มเลิกหรอก
“เอาออกไป...มือเธอน่ะ” เขาไม่สะบัดแต่ยังคงใช้เสียงเรียบเย็นราวกับน้ำแข็งหนาที่ยากจะพังทลายเช่นเคย
“ฉันขอบอกบางอย่างก่อนสิ!”
“สกปรก”
“...” ฉันถึงกับเกิดอาการจุกเสียดอย่างบอกไม่ถูก...
สกปรกเหรอ? เขาหมายถึงอะไรกัน
“ร่างกายฉัน...สกปรก” เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนสะบัดแขนออกจากมือของฉันอย่างแรง แน่นอนว่ามันหลุดออกมาอย่างง่ายดาย ที่สำคัญที่สุด...สิ่งที่เขาบอกเมื่อครู่ทำให้ฉันงงหนักกว่าเดิม
อะไรกันน่ะ...
เขากำลังจะสื่ออะไรกัน? ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย
โฮคิและเพื่อนของเขาเดินจากไป ทิ้งให้ฉันยืนงงงวยกับคำพูดของเขาคนเดียว อะไรกันน่ะ...สกปรกอย่างนั้นเหรอ?
ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ
เวลา 17:12 น. หลังเลิกเรียน
ฉันย่ำเท้าไปตามฟุตบาทในขณะที่หูทั้งสองข้างถูกสวมด้วยเฮดโฟนสีชมพูซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันเรียกมันว่าเพื่อนหลังจากสูญเสียเพื่อนสนิทไปถึงสองคน…
...เพื่อนทั้งสองคนของฉันเสียชีวิตไปแล้ว เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้วน่ะ
พูดแล้วฉันก็รู้สึกเครียดและแอบใจหายแปลกๆ... พอย้อนถึงวินาทีนั้น ขอบตาก็จะรื้นๆ ขึ้นมาทันที...
เฮ้อ… แต่ตอนนี้ฉันว่าฉันควรอยู่กับปัจจุบันและทำสิ่งที่ตนเองต้องการให้ดีที่สุด และแน่นอน... หนึ่งในสิ่งที่ฉันคิดว่าดีที่สุดตอนนี้คือการที่ฉันมีความรู้สึกชอบใครสักคน...
เมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมาหลังจากที่โฮคิและเพื่อนของเขาเดินออกจากโรงเรียนไปในระหว่างเวลาเรียน ฉันไม่ได้ตามพวกเขาไป แต่ต้องเข้าห้องเรียน ซึ่งแน่นอนเลยว่าทันทีที่ทุกคนเห็นฉัน พวกเขาก็มองฉันเป็นตาเดียวด้วยเหตุผลสองอย่าง
หนึ่ง...ฉันเป็นนักเรียนใหม่
สอง...เป็นนักเรียนใหม่แต่เข้าห้องสายตั้งแต่วันแรก ซึ่งไม่มีนักเรียนคนไหนเขาทำกัน
โอเค...ฉันเข้าใจและยอมรับผิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่เข้าห้องเรียนเลยใช่ไหมล่ะ แฮๆ
“โอ๊ะ...เจอใครเข้าเนี่ย~”ฉันชะงักเท้าเมื่อจู่ๆ เสียงของใครบางคนดังขึ้นมา และพอเงยหน้าขึ้นจากพื้นฟุตบาทเก่าๆ ก็ต้องรีบถอยหลังอย่างเร่งด่วนและเตรียมสปีดเท้าวิ่งหนี ทว่าฉันกลับไม่สามารถไปไหนได้ ขาทั้งสองข้างที่กำลังขยับเขยื้อนดันเคลื่อนไหวอยู่กับที่ มารู้ตัวอีกทีคอเสื้อนักเรียนก็ถูกกระชากดึงเอาไว้จากด้านหลัง
“มึงคิดจะหนีหรือไง!”
ปั่ก!
ฉันรู้สึกปวดหนึบไปตามร่างกายเมื่อแผ่นหลังกระแทกกับผนังอิฐเก่าๆ ในซอกแคบแถวๆ นั้นอันเนื่องมาจากแรงเหวี่ยงของผู้ชายที่ขึ้นว่าเป็น ‘เจ้าหนี้’ แรงเหวี่ยงของผู้ชายมันมากมายมหาศาลจนทำให้ฉันเจ็บแปลบไปหมด
กึก!
ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เมื่อเจ้าของการกระทำอันไร้ความปรานีจิกทึ้งเส้นพร้อมออกแรงกระชากจนหน้าของฉันแหงนขึ้น ฉันพยายามกักกั้นเสียงร้องอันเกิดจากความเจ็บปวดเอาไว้พร้อมกับจ้องหน้าโหดๆ ของมันที่ตอนนี้ยิ้มอย่างคนโรคจิตและน่ากลัวอย่างที่สุด
“มึงคิดจะหนีกูตลอดเหรอไง? มึงยังอยากมีที่ซุกหัวนอนอยู่หรือเปล่า ฮึ!?” มันถามพร้อมออกแรงดึงผมยาวๆ ของฉันที่ถูกปล่อยไว้จนต้องส่งเสียงร้องออกมาเพราะความเจ็บร้าว
ฉันไม่ได้จ่ายค่าเช่าบ้านมาหลายเดือนแล้ว เหตุผลน่ะ... ก็เพราะฉันไม่มีเงินไงล่ะคะ ปัจจุบันฉันอยู่คนเดียวเพียงลำพัง ทำงานพาร์ทไทม์หลังเลิกเรียนและเสาร์-อาทิตย์ แต่เพราะฉันต้องกินและจ่ายค่าไฟเองทั้งหมด เงินเลยเหลือไม่พอค่าเช่าห้องสักครั้ง
ถ้าหากจะถามถึงครอบครัว...
ฉันขอไม่ตอบอะไรมากนะ เพราะคำคำนั้น...คำว่าครอบครัวมันสลายไปตั้งแต่ ‘ตอนนั้น’ แล้วล่ะ...
“ฉะ...ฉันขอเว...”
ปึก!
คำพูดถูกกลืนลงคอเมื่อมันผลักฉันชนกับผนังอิฐจนรู้สึกจุกไปทั่วทั้งร่าง ไม่เพียงเท่านั้นมันยังใช้มือหยาบกร้านอันแสนโสโครกบีบคางฉันให้สบตาของมันอีกครั้ง
“เวลาอะไรของมึงอีกล่ะ! มึงไม่มีปัญญาหาเงินก็ออกจากบ้านกูไปสิ!”
“...”
“แต่ถ้ามึงต้องการแบบนั้นกูก็จะใจดีกับมึงก็ได้...แต่มีข้อแม้...”
“...”
“นอนกับกูไง”
ตุ้บ! ผัวะ!!
ฉันเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ เท้าของใครบางคนได้จัดการถีบไอ้หน้าตัวเมียตรงหน้าลงไปนอนหน้าคว่ำกับพื้น แต่ก่อนที่มันจะลุกขึ้นมาประจันหน้าเจ้าของการกระทำมันก็ต้องนอนแบะกับพื้นอีกครั้งเมื่อเท้าคู่เดิมจัดการเหยียบบนหน้าพร้อมกับออกแรงกดอย่างเลือดเย็น เหตุนี้ฉันเลยต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้กระทำด้วยความแปลกใจ
และเมื่อฉันเห็น...นั่นทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของฉันเบิกกว้างขึ้นอย่างอัตโนมัติ...
“นาย..!”