@ออฟฟิศหลังบ้าน
มนัสพงษ์หลังจากกลับออกมาจากตึกหน้ามาที่ออฟฟิศก็นั่งทำงานที่คั่งค้างอย่างมีสมาธิเพราะเขาต้องการจะเคลียร์อะไรบางอย่างที่รบกวนใจของเขาอยู่ สักพัก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก (เสียงเคาะโต๊ะจากผู้มาใหม่) "มาทำงานตั้งแต่เช้าเลยนะครับคุณเลขา" กรวรรธเอ่ยยิ้ม ๆ
"อ้าวคุณกรวรรธ คุณเองก็เช้าเหมือนกันนะ นี่เพิ่งจะแปดโมงเศษ ๆ เองมาถึงออฟฟิศล๊ะ" มนัสพงษ์เอ่ยยิ้ม ๆ เช่นกัน (ปกติเวลาออฟฟิศไทม์ของที่นี่คือเวลา 08.30 น.ค่ะ)
"ผมก็เบื่อ ๆ น่ะครับก็เลยมาทำงานดีกว่า มีอะไรให้ทำเยอะเลย" กรวรรธเอ่ยยิ้ม ๆ แต่แอบเห็นสายตาที่ดูกังวลเหมือนคิดไม่ตกของอีกคนอยู่
"…..เอ่อ…คุณกรวรรธพอจะมีเวลาให้ผมสักครู่มั๊ยครับ" มนัสพงษ์นิ่งไปพักใหญ่เพื่อรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามคู่สนทนาออกไปจนได้
"ได้ครับ ว่ามาซิครับผมรอฟังอยู่"
"คุณกรวรรธเคยมีความรักบ้างมั๊ยครับ"
"เคยมีครับ ตั้งแต่สมัยเรียนจบ ป.ตรีใหม่ ๆ แต่ก็เลิกรากันไปนานแล้ว" กรวรรธกล่าวเนือย ๆ
"ตอนนั้น ผมหมายถึงตอนที่คุณกรวรรธยังรักกันน่ะครับ คุณคิดยังไงกับเธอบ้างครับ"
"ก็คิดถึง อยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ กินอะไรก็อยากให้กินด้วย ทำอะไรก็อยากให้อยู่ด้วยกัน คอยซัพพอร์ตเสมอครับ"
"อืม ผมว่าเหมือนพี่ชายหรือคนในครอบครัวหรือเปล่าครับ"
"ไม่รู้ซิครับ นี่หรือเปล่าที่ทำให้เธอตีจากไปหาคนใหม่ที่ต่างไปจากผม ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่ดีพอด้วยแหละครับ แต่ก็ต้องขอบคุณเธอที่ทำให้พบเปิดใจและได้พบคนใหม่ที่ใช่กว่า"
"แล้วกับคนนี้คุณกรวรรธคิดยังไงกับเธอครับ เหมือนคนก่อนมั๊ย" มนัสพงษ์ซักต่อ
"ก็เหมือนคนก่อนเลยครับ แต่เข้าใจมากขึ้น เกรงใจ ให้เกียรติ ห่วงใย ห่วงความรู้สึก ให้เวลาให้เค้าเป็นตัวของตัวเองบ้างมีเวลาส่วนตัวบ้าง และที่สำคัญ รัก ครับ" กรวรรธสรุปยิ้ม ๆ
"ขอบคุณนะครับที่ตอบคำถามผมทุกเรื่อง" มนัสพงษ์เอ่ยยิ้ม ๆ เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
"เกมครับ เรียกผมเกม หรือนายเกมเถอะครับ"
"นายก็ต้องเรียกผมว่าพี่นัสเหมือนกัน เพราะผมอายุมากกว่าคุณ ผมสี่สิบกะรัตแล้ว ลองมีน้องชายกับเค้าสักคนก็ดีเหมือนกัน" มนัสพงษ์เอ่ยยิ้ม ๆ เพราะเขาเป็นเด็กกำพร้าที่นายใหญ่หรือบิดาบุญธรรมของกรวรรธให้ทุนการศึกษาและให้งานให้อาชีพแก่เขาจนได้ดิบจนถึงทุกวันนี้
"พี่นัสก็เหมือนกันนะครับ ถ้าคิดว่าใช่ก็ลุยเลย บางทีผู้หญิงเค้าอาจจะต้องการความชัดเจนที่ออกจากปากมากกว่านะครับ เพราะการกระทำมันไม่ได้บอกหมดทุกอย่างหรอกครับ"
"ขอบใจมากน้องชาย"
"ได้เลยครับพี่นัส ผมก็อยากเป็นน้องชายกับเค้าเหมือนกัน เป็นแต่พี่ชายมานานล๊ะ" กรวรรธพูดกลั้วหัวเราะ
"………." ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของอีกฝ่าย มีเพียงมุมปากที่ยกยิ้มและแววตาที่แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
หลังจากคุยกันพอหอมปากหอมคอทั้งสองต่างแยกย้ายไปทำงานของตนจนได้เวลาเลิกงานของใครบางคน
@เวลา 15.00 น.
ก๊อก ก๊อก ก๊อก (เสียงเคาะโต๊ะของอีกฝ่าย) กรวรรธจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง "เอ้าพี่นัส มีอะไรหรือครับ"
"เอ่อ พี่มีธุระ พี่ขอเลิกก่อนเวลา นายไม่มีนัดอะไรงานพี่เคลียร์ไว้หมดทุกอย่างแล้วฝากบอกนายด้วยนะครับขอบคุณมาก" มนัสพงษ์กล่าวอย่างร้อนรนอยู่ในที
"ได้เลยครับ ของให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีนะครับ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลครับพี่ชาย" กรวรรธเอ่ยยิ้ม ๆ อย่างให้กำลังใจ
"อื่ม..ขอบใจมาก ไปนะ"
หลังจากพี่ชายที่นับถือเดินออกจากห้องไปกรวรรธก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่ออย่างตั้งอกตั้งใจเพราะเขาก็ต้องการสะสางงานให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปเคลียร์บางอย่างเช่นกัน เพราะเขารู้สึกได้ว่าระหว่างเขากับเพ็ญสุดาคล้ายมีกำแพงอะไรบางอย่าง ที่เขาพยายามเดินเข้าไปใกล้ เธอก็จะถอยอออกไปคล้ายพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งค้นหา และคนในครอบครัวของเธอเท่านั้นที่จะให้คำตอบแก่เขาได้
@เวลา 17.00 น.
กรวรรธหลังจากปิดคอมพิวเตอร์แล้วเขาเก็บข้าวของทุกสิ่งอย่างมุ่งหน้าไปที่ลิฟท์ฝ่ายบริหารหลังจากออกจากลิฟท์ได้ก็ตรงไปยังลานจอดรถและขับออกไปอย่างระมัดระวังแต่เร่งรีบอยู่ในที
@บ้านบุญทรัพย์
"สวัสดีครับพี่เกม มาติวหนังสือให้ผมเหรอครับ หรือว่ามาหาพี่วันพระ" เด็กหนุ่มถามอย่างแสนซื่อหลังจากเปิดประตูรั้วให้เพื่อให้คนพี่ขับเข้ามาจอดในบ้านเพราะถนนในซอยค่อนข้างแคบ
"ใช่ทั้งสองอย่างครับ แล้วพี่สาวเราไปไหนล่ะ นี่ก็ห้าโมงกว่าเข้าไปละทำไมยังไม่กลับบ้านอีก พี่ว่าพี่ไปตามดีกว่า" กรวรรธเอ่ยอย่างกังวลเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับคนตัวเล็กอีก
"คงแวะไปให้อาหารปลาที่วัดอย่างที่เคยทำแหละครับ..อ้าวมาแล้วนู่นไง พูดถึงก็มาล๊ะพี่สาวผม" หนึ่งบุรุษพูดกลั้วหัวเราะในท้ายประโยค
อีกด้านของผู้มาใหม่
"สวัสดีค่ะพี่เกม มาติวหนังสือนายวันชาติเหรอคะ หนูก็เพิ่งกลับมาจากวัดเหมือนกัน ขอตัวไปช่วยยายทำอาหารเย็นก่อนนะคะ จะได้กินข้าวกันก่อน" คนตัวเล็กที่ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาพอดีเห็นสองหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าบ้านจึงดับรถหยุดทักทายด้วยสักพักแล้วสตาร์ทรถขับเข้าบ้านไป
"พี่เกมสู้ ๆ นะครับพี่เกม พี่สาวผมอาจจะไม่หวานไม่อ่อนโยนแต่อบอุ่นที่สุดพอดีเค้ามีปมในใจน่ะครับ" เพิ่มบุรุษตัดสินใจพูดมันออกไปจนได้
"ปมอะไรเหรอวันชาติ"
"ที่เค้าไม่ยอมมีใครเพราะกลัวว่าคนนั้นจะยอมรับครอบครัวของเค้าไม่ได้จนพี่เข้ามาทำมันได้สำเร็จ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นพี่เค้ายังหวังว่าจะได้พบพ่อและแม่อีกสักครั้งผ่านดวงตาที่สาม และเค้าก็เชื่อว่าการรักษาความบริสุทธิ์จะสามารถเก็บดวงตาที่สามไว้ได้ นี่แหละครับปมของพี่สาวผม"
"โถ่เอ๊ย…เด็กหนอเด็ก"
"นั่นแหละครับปมที่พี่ต้องแก้ เฮ๊อ…..ผมก็เปลี่ยนความคิดพี่เค้าไม่ได้เหมือนกัน ไปกินข้าวกันเถอะครับ"