หลังจากเหยียบย่างออกมาจากสำนักผู้เฒ่าวิเศษได้ระยะหนึ่ง เสียงจอแจของกระแสผู้คนก็พลันดังขึ้น สุดระยะสายตาของพวกนางคือตลาดตะวันออก ในเมื่อต้องผ่านทางนี้อยู่แล้ว ซือลี่หยางจึงชักชวนอิงลั่วแวะเดินเล่นในตลาดก่อนจะกลับวัง
"พระชายาเพคะ...ลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ" ระหว่างทางเดิน อิงลั่วก็ยังคงเอาแต่ก้มหน้างุดกล่าวคำขอโทษไม่หยุด แม้ซือลี่หยางจะกล่าวว่าไม่เป็นไรหลายคำ ทว่าความรู้สึกผิดในใจของนางก็ยังไม่จางหายไปอยู่ดี
"อิงลั่ว...หากเจ้าไม่เลิกทำหน้าเศร้าสร้อย ข้าจะไม่คุยกับเจ้าอีกแล้ว" ซือลี่หยางถลึงตา แสร้งทำทีโกรธ
อิงลั่วได้ยินเช่นนั้น รีบเข้าไปย่อคำนับ กล่าวปฏิญาณด้วยน้ำเสียงกระจ่างหนักแน่น "หม่อมฉันจะไม่ทำหน้าเศร้าให้พระชายาเห็นอีกแล้วเพคะ"
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่จริงจังระคนหวาดหวั่นของอิงลั่ว ซือลี่หยางก็ขำพรืดออกมา ก่อนที่สายตากระจ่างคมกริบของนางจะพลันมองไปเห็นเสื้อผ้าสีสันสดใสจากร้านขายผ้าแพรพรรณที่ตั้งอยู่ฟากตรงข้ามอย่างไม่ตั้งใจ
นางดึงแขนเสื้อของอิงลั่ว สาวเท้าเดินไปที่ร้านขายเสื้อผ้าแห่งนั้น อิงลั่วงุนงงทว่าไม่ทันได้ปริปากเอ่ย ซือลี่หยางก็เลือกผ้าปักและผ้าแพรพรรณชนิดต่าง ๆ ขึ้นมาถือครองไว้ประมาณสี่ห้าชุดแล้ว
อิงลั่วมองตามตาเป็นประกาย รำพึงรำพันในใจ อาภรณ์เหล่านี้กำลังเป็นที่นิยม นายหญิงน้อยสายตาแหลมคมยิ่งนัก ผ้าทุกผืนมีราคาแพง ตัดเย็บอย่างประณีต ลวดลายต่าง ๆ ล้วนเป็นแบบที่สตรีสูงศักดิ์ฐานะร่ำรวยนิยมใส่กัน เช่นนั้น คนไม่มีวาสนาอย่างนาง จึงไม่เคยคิดอยากจะได้มาครอบครอง
ขณะครุ่นคิดอย่างใจลอย รู้สึกตัวอีกที ซือลี่หยางก็ยัดผ้าแพรพรรณราคาแพงเหล่านั้นใส่มือของนางเรียบร้อยแล้ว อิงลั่วตะลึงงัน กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัย
ซือลี่หยางส่งยิ้มละไม กล่าวว่า "เจ้าเข้าไปลองชุดพวกนี้ข้างในเถิด หากใส่ได้ทั้งหมด ข้าจะซื้อให้เจ้า"
"จะดีหรือเพคะพระชายา…ผ้าเหล่านี้แพงมากเลยนะเพคะ หม่อมฉันไม่คู่ควรเลยแม้แต่น้อย" อิงลั่วหลุบตา เอ่ยอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ซือลี่หยางไม่ฟังอะไร เพียงดันร่างผอมบางของอิงลั่วเข้าไปด้านใน ก่อนจะหันมาฝากฝังกับเจ้าของร้านที่เป็นสตรีสูงวัยให้ช่วยจัดการดูแล
"เถ้าแก่...นี่เบี้ยทั้งหมด หากเกินไม่เป็นไร ขอเพียงท่านช่วยดูเสื้อผ้าสวย ๆ ให้นางก็เพียงพอ" ซือลี่หยางกระซิบกระซาบ ยัดถุงเงินใส่มือให้ หญิงชราเจ้าของร้านผงกศีรษะอย่างเข้าใจ หลังจากนั้นจึงตามอิงลั่วเข้าไปในห้องลองเสื้อตามคำสั่งการ
ขณะที่กำลังยืนรออิงลั่วลองชุดอย่างสบายอารมณ์ เสียงเล็กแหลมขอร้องให้ช่วยหนึ่งก็พลันดังก้องขึ้น
"ช่วยด้วย...ช่วยข้าด้วย มีโจรขโมยถุงเงินของข้า มันวิ่งหนีไปตรงโน้นแล้ว"
ซือลี่หยางหันขวับมองตามต้นเสียง เห็นสตรีร่างบางวิ่งปราดผ่านหน้านางไปอย่างรวดเร็ว นางเห็นเช่นนั้นก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ รีบจ้ำเท้ารี่วิ่งตามไปช่วยเหลือทันทีโดยสัญชาตญาณ
"นี่! หยุดเดี๋ยวนี้นะ" ซือลี่หยางสับเท้ารัว ๆ หักเลี้ยวหัวมุมทางโค้ง วิ่งซอกแซก หลบเลี่ยงอุปสรรคที่ขวางกั้นตามทางได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
เงาร่างสูงของโจรหนุ่มโฉบเฉี่ยวไปมา ดูปราดเปรียวว่องไว นางซอยเท้าถี่วิ่งไล่ตามไป ตะโกนเสียงดังอีกครั้งว่า "หยุดนะ!!! บอกให้หยุดอย่างไรเล่า"
โจรหนุ่มเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกไล่ตาม ก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เขาวิ่งชนกระแทกเข้ากับกระแสผู้คน ทำเอากลุ่มคนที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างพากันวิ่งหลบหนีกันจ้าละหวั่น
ยิ่งห่างกันเท่าไร ซือลี่หยางก็ยิ่งร้อนใจ อยากจะกระโจนเข้าไปตะครุบโจรหนุ่มผู้นั้นทั้งร่าง ทว่าร่างแบบบางนี้กำลังไม่เพียงพอ วิ่งไปได้สักระยะหนึ่งก็เหนื่อยหอบจะแย่แล้ว
นางจึงคว้าข้าวของใกล้ตัวในขณะที่วิ่งผ่านเขวี้ยงปาใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง ทักษะยูโดคือการทำให้อีกฝ่ายเสียหลัก ก่อนที่จะหาจังหวะเข้าไปจู่โจม
แล้วก็เป็นผล! โจรหนุ่มผู้นั้นวิ่งเซซวนเสียหลักไปหนึ่งจังหวะ
ซือลี่หยางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี จ้ำเท้าว่องไวเร่งรุดวิ่งเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะตวัดเท้าเกี่ยวขาของอีกฝ่ายล้มเสียหลักจนศีรษะฟาดลงกับพื้น
โจรหนุ่มร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด ซือลี่หยางเดินเข้าไปตวัดแขนเกี่ยวรัดต้นคอแน่น โจรหนุ่มอ้าปากพะงาบหายใจไม่ออก ร้องวิงวอนขอชีวิตไม่หยุด "แม่นาง...ข้ายอมแล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย"
ฮึ! ทีอย่างนี้...ยอมง่ายจริง ๆ นะ!
ซือลี่หยางคลี่ยิ้มบาง ๆ ปรับลมหายใจ ยอมคลายแขนออก ก่อนจะกระชากถุงเงินในฝ่ามือของโจรหนุ่มขึ้นมาไว้กับตัว
แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดทอบนร่างบางอรชร ชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนสะท้อนประกายระยับยามเมื่ออยู่ใต้แสงแดด ขับเน้นให้นางในยามนี้เปี่ยมเสน่ห์และงดงามมากยิ่งขึ้น
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันเข้ามายืนรายล้อมและโห่ร้องยินดีราวกับนางเป็นวีรสตรี เอ่ยชมนางไม่หยุดปาก
"แม่นางน้อยผู้นี้เป็นใคร...ข้าไม่เคยเห็น นอกจากจะงามแล้ว ยังมีวิชาเก่งกาจอีกด้วย"
"ใช่ ๆ นางอาจจะเป็นเทพธิดาลงมาจุติก็เป็นได้"
บทสนทนาของเหล่าชาวบ้านทำให้ซือลี่หยางข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ แม้จะไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่พอฟังเช่นนี้หัวใจก็พลันกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
"พระชายาเพคะ...พระชายา" อิงลั่ววิ่งกุลีกุจอเข้ามาหานางด้วยท่าทางหอบเหนื่อย ดรุณีสาวที่ถูกลักขโมยถุงเงินวิ่งตามหลังนางมาติด ๆ
ซือลี่หยางยื่นถุงเงินคืนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หญิงสาวผู้นั้นค้อมกายก้มคำนับขอบคุณทันที "ข้าเป็นหนี้บุญคุณของท่านแล้ว...เบี้ยถุงนี้ ข้ากำลังนำไปซื้อยาเพื่อรักษาท่านพ่อ หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากท่าน ข้าต้องตายแน่ ๆ "
ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้าของซือลี่หยางก็พลันสลายหายไป กลายเป็นความรู้สึกสงสารเข้ามาแทนที่ เอ่ยถาม "บิดาเจ้าป่วยเป็นอะไรหรือ"
"ข้ายังหาสาเหตุไม่ได้ แม้แต่ท่านหมอก็ยังหาสาเหตุไม่ได้" พูดจบ ดรุณีสาวก็เริ่มปาดน้ำตา
ซือลี่หยางกล่าวถามต่อ "แล้วเจ้าทำงานอะไร มีเงินทองพอที่จะรักษาบิดาเจ้าหรือ"
"ข้าเป็นลูกจ้างร้านขายขนมเซาปิ่งเจ้าค่ะ"
ซือลี่หยางผงกศีรษะเบา ๆ กล่าวอย่างช้า ๆ "เช่นนั้น...ข้าขอติดตามไปดูอาการบิดาของเจ้าได้หรือไม่"
ดรุณีสาวผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจ ทว่านางก็ยอมตกปากรับคำตอบตกลงอย่างงุนงงภายในเวลาต่อมา
ที่กระท่อมเล็ก ๆ สุดสายปลายถนน เขตมณฑลตงเปิ่ง ดรุณีสาวพาซือลี่หยางและอิงลั่วเดินเข้าไปหาบิดาในกระท่อมตามที่ตกลงกันไว้
ทันทีที่ประตูไม้ไผ่ขยับและเปิดออก ภาพของชายชราร่างผ่ายผอมผู้หนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนแคร่ไม้ก็พลันฉายเข้าสู่แววตา
"ซานเหนียง...นั่นเจ้าหรือ" เสียงแหบพร่าดังขึ้น ก่อนที่ชายชราจะค่อย ๆ ดันร่างของตนเองลุกขึ้นนั่ง
"ข้าเอง...ท่านพ่อ" ดรุณีสาวละทิ้งตะกร้าสานในมือลงพื้น รีบโผกายเข้าไปพยุงบิดาทันทีด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
ซานเหนียง...
ซือลี่หยางรู้จักชื่อนางในครานั้น
"ท่านพ่อ...ท่านตื่นแล้วหรือ" ซานเหนียงถามบิดาด้วยสีหน้าห่วงใย
ชายชราผงกศีรษะ ตอบเสียงสั่นเครือว่า "ใช่ เจ้าล่ะ ซานเหนียง...เจ้าหายไปไหนมา"
"ข้าออกไปตลาด ไปซื้อยาให้ท่านพ่อ แต่ข้าถูกโจรขโมยถุงเงินไปเสียก่อน"
พอได้ยินถึงประโยคนี้ สีหน้าของชายชราจากที่ซีดขาวอยู่แล้วก็ซีดลงยิ่งกว่าเก่า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก "ละ แล้วเจ้าเป็นอย่างไร พวกมันทำร้ายเจ้าหรือไม่"
ซานเหนียงส่ายศีรษะเบา ๆ หันหน้าปรายตามาหาซือลี่หยางกับอิงลั่ว เอ่ยเล่าต่อ " โชคดีที่ข้าได้นายหญิงผู้นี้ช่วยเอาไว้ ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าก็คงไม่มีเงินไปซื้อยาให้ท่าน"
ชายชราหันศีรษะมองตาม รีบประสานมือขอบคุณนางทันทีด้วยท่าทางงกเงิ่น "ขอบคุณนายหญิงที่ช่วยซานเหนียงเอาไว้ บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลือนเลย"
ภาพเบื้องหน้าทำให้ซือลี่หยางรู้สึกหดหู่หัวใจยิ่งนัก ชายชราป่วยหนักอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ไม่มีผู้ใดเหลียวแล อีกทั้งบุตรสาวที่อายุยังน้อยต้องมารับภาระหนักหน่วง ไม่มีโอกาสแม้จะใช้ชีวิตในวัยเด็ก ความกตัญญูจะทำให้นางพานพบกับสิ่งที่ดี ทว่ายามนี้อุปสรรคในชีวิตของนางนั้นมีมากเกินไป ไยสวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับหญิงสาวผู้น่าสงสารเช่นนี้นัก…
"ข้าเพียงผ่านมาเท่านั้น การช่วยเหลือผู้ที่กำลังมีภัยเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ท่านผู้เฒ่าอย่าได้ถือเป็นบุญคุณเลย" ซือลี่หยางโบกมือปฏิเสธ กล่าวด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ก่อนจะถามต่อ "ท่านผู้เฒ่าป่วยเป็นอะไร...เป็นเช่นนี้นานแล้วหรือ"
ซานเหนียงหลุบตา ตอบอย่างละเอียด "ท่านหมอบอกว่าท่านพ่อป่วยเป็นโรคไข้หวัดซางหาน จึงให้ยาสมุนไพรมาต้มดื่ม แต่ดูเหมือนอาการของท่านพ่อจะไม่ดีขึ้นเลย ท่านพ่อเอาแต่บ่นว่าหนาว แม้ผ้าห่มจะหนา เอาเตาผิงมาตั้งวางใกล้ ๆ ท่านพ่อก็ยังคงตัวสั่น ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ท่านหมอกำชับกับข้า ให้ซื้อยาไปต้มดื่มบ่อย ๆ ประเดี๋ยวอาการของท่านพ่อก็จะดีขึ้นเอง"
ไข้หวัดซางหานอย่างนั้นหรือ?
อิงลั่วเห็นซือลี่หยางคิ้วขมวดมุ่นคล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จึงหันไปอธิบายอย่างเชื่องช้า "โรคไข้หวัดซางหาน เคยมีการระบาดครั้งใหญ่แต่เดี๋ยวนี้มีตำรับยาที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้แล้วเพคะ"
ดวงตาของซือลี่หยางกลอกไปมาช้า ๆ พิจารณาอย่างละเอียด "แล้วเหตุใดท่านผู้เฒ่าถึงยังไม่หายขาด กลับอาการหนักขึ้น ไม่ใช่ว่าหมอยาต้องการจะเลี้ยงไข้เพื่อหวังให้ซานเหนียงซื้อยากับเขาเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ"
"อาจเป็นไปได้เพคะ แต่การกระทำเช่นนี้ ในแคว้นต้าฉู่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงนัก หากสำนักหมอยาใดฝ่าฝืน จะต้องถูกลงโทษสั่งปิดกิจการและถูกริบทรัพย์ หม่อมฉันว่า คงไม่มีผู้ใดเอาชีวิตและชื่อเสียงของตนเองไปเสี่ยงหรอกเพคะ"
ซือลี่หยางแค่นเสียงหยันทางจมูก เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง "อิงลั่ว! เจ้าจะไปรู้อะไร คนเห็นแก่ตัวมีอยู่ทุกหนแห่ง ยาต้มสมุนไพรเหล่านั้น หากลดปริมาณหรือปรับสัดส่วน ประสิทธิภาพของยาก็ลดลงแล้ว อย่างนี้จะไปจับอะไรได้ พวกหัวหมอมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ"
สิ้นสุดคำพูด นัยน์ตาดำขลับของอิงลั่วก็พลันสว่างเจิดจ้า มองนายหญิงของตนด้วยความชื่นชม "จะ จริงด้วยเพคะ พระชายาทรงมีสติปัญญาหลักแหลมยิ่งนัก"
ซือลี่หยางหันไปหาซานเหนียง เอ่ยหยิบยื่นเสนอความช่วยเหลือ "ข้าจะให้ทหารมารับบิดาของเจ้าไปรักษา หมอหลวงในวังเก่งกาจยิ่งนัก ข้ารับรองว่าบิดาเจ้าจะต้องหายเป็นปกติในเร็ววันเป็นแน่"
หมอหลวงในวัง เช่นนั้น นายหญิงผู้นี้ก็คือ…
เมื่อหลุดออกจากห้วงแห่งความคิด ดวงตากลมโตของซานเหนียงก็พลันขยายเบิกกว้าง รีบทรุดตัวโขกศีรษะลงบนพื้นทันที "หม่อมฉันผิดไปแล้วที่ล่วงเกินพระองค์ โปรดให้อภัยหม่อมฉันด้วยเพคะ"
ซือลี่หยางรีบเข้าไปประคอง แย้มยิ้มละไม กล่าวว่า "ข้าเข้าใจ...เจ้าดูชุดที่ข้าใส่สิ ข้าปลอมตัวออกมาเพื่อไม่ให้สะดุดตา หากเจ้ารู้ก็เก่งเกินไปแล้ว" เอ่ยจบ นางก็หันไปพยักหน้ากับอิงลั่ว บ่าวสาวจ้องมองปราดเดียวก็เข้าใจในทันที หลังจากนั้นอิงลั่วก็ยื่นถุงเงินส่งให้ซานเหนียงหลายถุง
ซือลี่หยางยิ้มน้อย ๆ เอ่ยเสียงนุ่มนวล “เบี้ยนี่...เจ้าเอาไว้ใช้จ่ายประทังชีวิต หากขาดเหลืออย่างไรให้บอกข้า ส่วนอาหารและหยูกยาที่จำเป็นข้าจะทยอยส่งมาให้”
ในสายตาของซานเหนียง ซือลี่หยางงดงามทั้งใบหน้าและจิตใจเปรียบดั่งเทพธิดาที่ลงมาจุติจากสรวงสวรรค์ หยาดน้ำอุ่นใสที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจไหลลงมาอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวเสียงสั่นเครือ “ขอบพระทัยเพคะ”
ซือลี่หยางระบายยิ้มอ่อนจางบนใบหน้า ก่อนจะหันหลังเยื้องย่างเดินกลับไป หลังจากนั้นผ่านไปไม่ถึงค่อนวัน ทหารทางการก็เข้ามารับตัวบิดาของซานเหนียงเข้าไปรักษาในวังหลวง หัวใจของซานเหนียงพลันเอ่อล้นด้วยความปีติ ความดีของซือลี่หยางฉายชัดในใจนางและถูกเล่าขานต่อไปเรื่อย ๆ ซือลี่หยางจึงสามารถกอบกู้ชื่อเสียงบางส่วนในราชสำนักขึ้นมาได้ในครานั้น