"ตายแน่ ๆ ข้าต้องตายแน่ ๆ "
ซือลี่หยางเดินวนไปมา ประสานมือเอ่ยพึมพำกับตนเองด้วยความร้อนรนใจ อิงลั่วมองตามนางเนิ่นนานจนวิงเวียนศีรษะ ในที่สุดก็เอ่ยถามขึ้น "พระชายากังวลใจเรื่องใดอยู่เพคะ นั่งพักลงก่อนดีหรือไม่"
ได้ยินเช่นนั้น ซือลี่หยางก็ชะงักเท้า หันมาตอบนางด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าเล็กน้อย ดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ คล้ายจะร่ำไห้ออกมาเสียให้ได้ "...ไทเฮาบอกให้ข้ามีบุตรกับองค์รัชทายาท"
"อย่างนั้นก็ดีแล้วมิใช่หรือเพคะ" อิงลั่วขมวดคิ้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
ซือลี่หยางรีบแย้งกลับว่า "ดีอย่างไร...ข้าไม่ได้อยากมีบุตรกับองค์รัชทายาทเสียหน่อย แม้แต่หน้า...ข้ายังไม่อยากมองเลย"
อิงลั่วนึกคิดตาม ยิ่งบังเกิดความไม่เข้าใจ "ทะ ทำไมกันละเพคะ ในเมื่อพระชายาแต่งงานกับองค์รัชทายาท มีทายาทสืบสกุล นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมิใช่หรือเพคะ"
"โธ่...เจ้าจะไปรู้อะไร" ซือลี่หยางยกมือกุมขมับ ทอดถอนหายใจอย่างทดท้อ จนเวลาล่วงไปครู่ใหญ่ นางก็ตัดสินใจเอ่ยออกไปอย่างกล้าหาญ "อิงลั่ว...หากข้าจะบอกว่าข้าไม่ใช่ 'ไป๋เยว่ชิง' เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่"
อิงลั่วแน่นิ่งไปชั่วขณะ ในสายตาของนางเห็นซือลี่หยางเป็นนายหญิงคนเดิมที่สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน เมื่อพบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัว อาจบังเกิดความสับสนขึ้นมาได้ หาได้เข้าใจในสิ่งที่นางต้องการจะสื่อสารเลยแม้แต่น้อย
ซือลี่หยางเห็นท่าทางของอิงลั่วที่ตะลึงงัน ไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมา ก็พลันคาดเดาในใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาด แม้แต่นางเอง หากไม่เจอกับตัวก็คงยากที่จะเชื่อ
"เจ้าคงไม่เชื่อคำพูดข้าอย่างนั้นใช่หรือไม่"
"พระชายาก็คือพระชายาคนเดิม อีกไม่นานพระชายาของบ่าวก็จะกลับมาจดจำทุกอย่างได้เพคะ" อิงลั่วพยายามปลอบประโลมด้วยคำพูดนุ่มนวล
ซือลี่หยางรู้สึกจนใจ นางไม่มีฤทธิ์เดชใดที่จะทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่านางคือ 'ซือลี่หยาง' ไม่ใช่ 'เยว่ชิง'
และสิ่งที่จะทำให้นางหลุดพ้นได้ยามนี้ คงมีเพียงหาทางกลับไปยังมิติเดิมเท่านั้น
"ช่างเถิด! ว่าแต่ อิงลั่ว...เจ้ารู้จักพ่อมด แม่มด คนทรง ผู้วิเศษอะไรเทือกนั้นหรือไม่"
อิงลั่วกลอกตานึกคิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบ "พระชายาหมายถึง...ผู้หยั่งรู้อย่างนั้นหรือเพคะ"
"ใช่ ๆ นั่นแหละ" ซือลี่หยางฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ กล่าวถาม "เจ้าพาข้าไปหาผู้หยั่งรู้ได้หรือไม่"
"แต่...จะไปหาผู้หยั่งรู้ทำไมกันเพคะ เรียกให้ผู้หยั่งรู้มาหาพระชายาที่ตำหนักเฟิงยวี่ก็ได้"
ซือลี่หยางรีบห้ามเสียงขึงขังว่า "ไม่ได้!"
อิงลั่วสะดุ้งตกใจ รีบถามด้วยสีหน้าฉงนทันที "เพราะเหตุใดกันเพคะ…"
"ในวังหลวง ข้าจะขยับตัวแต่ละที ต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอด หากเรียกให้ผู้หยั่งรู้มาที่ตำหนัก แล้วมีคนปากพล่อย เอาเรื่องไปนินทากุเรื่องต่าง ๆ นานา ข้าจะยิ่งเสียหายเข้าไปใหญ่"
อิงลั่วได้ยินเช่นนั้นก็บังเกิดความเข้าใจ ที่ผ่านมาพระชายาใช้ชีวิตในวังหลวงยากลำบากจริง ๆ นางรับรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี
"เช่นนั้น บ่าวจะแจ้งกับหัวหน้าขันทีให้จัดเตรียมรถม้าเอาไว้ให้พระชายาดีหรือไม่เพคะ"
"ยะ อย่า!" ซือลี่หยางยกมือห้ามปรามอีกครั้ง กล่าวต่อ "ข้าอยากออกไปนอกวังแบบไม่เอิกเกริก มีเพียงข้ากับเจ้า เราแอบปลอมตัวออกไปกันเถิด"
"จะดีหรือเพคะพระชายา..." เมื่อต้องแหวกกฎ อิงลั่วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ทว่าสุดท้ายดวงตาที่เป็นประกายของซือลี่หยาง ก็ทำให้นางจำยอมทำตามคำร้องขอ แม้จะรู้ดีว่าไม่ถูกไม่ควรก็ตาม
หลังจากที่รอดพ้นจากประตูวังหลวงมาได้ อิงลั่วก็พาซือลี่หยางเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่วว่องไว ซอยนี้เรียกว่า ‘ซอยหย่งฉี’ เป็นซอยที่อยู่ทางทิศตะวันตกของตลาดมณฑลตงเปิ่ง นางเกิดที่นี่ นางย่อมรู้เส้นทางแถวนี้ดีเป็นพิเศษ ทว่ายิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าใด ข้างทางยิ่งเปลี่ยว ไร้ผู้คนมากขึ้นเท่านั้น ผ่านไปไม่นาน ฝีเท้าเร่งร้อนของอิงลั่วก็มาหยุดที่หน้าประตูสำนักเก่า ๆ หลังหนึ่ง
ซือลี่หยางแหงนหน้าเล็กมองสำนักเบื้องหน้า รู้สึกถอดใจตั้งแต่แรกเห็น
สำนักแห่งนี้ใหญ่ก็จริง แต่ทว่าสภาพนั้นกลับทรุดโทรม ประกอบไปด้วยไม้ผุพังเป็นด่างดวงหลายส่วน แม้กระทั่งป้ายสำนักที่แขวนอยู่เหนือประตูยังห้อยต่องแต่ง คล้ายจะหลุดร่วงลงมาเสียให้ได้
ข้างหูของซือลี่หยางได้ยินคล้ายเสียงแว่วบางอย่างดังมาจากด้านหลังประตู คล้ายกับเสียงสวดมนต์ที่ดังก้องสะท้อนราวกับระลอกคลื่น นางแนบหูฟังด้วยความสงสัย เสียงนั้นลอดผ่านสายลมที่หวีดหวิว ยิ่งขับเน้นให้สถานที่แห่งนี้ดูวังเวงและน่าขนลุกมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าทวีคูณ
อิงลั่วยกชายเสื้อคลุมขึ้น สะกิดไปที่ต้นแขนของซือลี่หยาง เอ่ยเชื้อเชิญเสียงแผ่วเบาว่า “เข้าไปด้านในกันเถิดเพคะ”
ซือลี่หยางได้ยินเช่นนั้นจึงได้สติ พยักหน้าตอบและก้าวขาเดินตามนางไป
ทันทีที่ประตูสำนักเปิดออก สิ่งแรกที่พุ่งพรวดเข้ามา ก็คือไอขมุกขมัวที่มาจากควันธูปและกำยานฟุ้งกระจายเต็มไปหมด
ความหนาแน่นของกลุ่มควันรบกวนประสาทสัมผัสทางการมองเห็นและได้กลิ่นอย่างรุนแรง นางทั้งแสบตา ทั้งไอจามจนจมูกแดงก่ำ หลังจากที่โบกมือไปมาปัดควันเหล่านั้นออก ภาพสลัวรางเบื้องหน้าก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น กลายเป็นภาพของห้องหับเก่า ๆ ที่มีโต๊ะหมู่บูชาวางระเด่นกลางห้องและยันต์คาถาปลิวว่อนเต็มไปหมด
อิงลั่วพานางมานั่งรอบนเสื่อ หันมายิ้มพลางกล่าว “นั่งรอสักประเดี๋ยว ท่านผู้เฒ่าวิเศษก็คงออกมาเพคะ”
ซือลี่หยางผงกศีรษะเบา ๆ อย่างเข้าใจพลางอดทนรอต่อไปอย่างใจจดจ่อ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
จนเแล้วจนเล่า...ผู้เฒ่าวิเศษที่อิงลั่วกล่าวถึงก็ไม่ยอมออกมาเสียที
ซือลี่หยางรู้สึกสงสัยจึงหันหน้าไปเอ่ยถาม “อิงลั่ว...เจ้าแน่ใจหรือ ว่าที่นี่เป็นสำนักของผู้เฒ่าวิเศษจริง ๆ ”
อิงลั่วยังคงยืนกรานด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แม้ใบหน้าจะเริ่มถอดสีไปบ้างแล้วก็ตาม “จริงเพคะพระชายา ที่นี่คือสำนักของผู้เฒ่าวิเศษ ครอบครัวพาหม่อมฉันมาตั้งแต่ยังเยาว์ ผู้เฒ่าวิเศษผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก สามารถติดต่อสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ เคยแม้แต่นั่งนิมิตเดินทางไปยังปรโลกมาแล้วเพคะ”
พอได้ยินคำว่า ‘ติดต่อกับวิญญาณ’ ซือลี่หยางก็หูผึ่งตาเป็นประกาย ถึงแม้แวบแรกจะแอบคิดว่าถูกหลอก แต่พอมาคิดดูอีกที นางก็รู้สึกว่า...การรอคอยนี้ก็คุ้มเสี่ยงอยู่ไม่น้อย
จนเวลาล่วงไปราว ๆ หนึ่งก้านธูป...
ในที่สุด ก็เป็นอิงลั่วเองที่อดรนทนไม่ไหว ลุกขึ้นเดินออกไปตามหาผู้เฒ่าวิเศษเสียเอง "พระชายารอตรงนี้ก่อนนะเพคะ"
“ดะ เดี๋ยว” ซือลี่หยางเอ่ยยั้งด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะรีบลุกขึ้นสาวเท้าตามนางไปติด ๆ
“ท่านผู้เฒ่า...ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่” อิงลั่วตะโกนเสียงร้องเรียกพลางใช้มือผลักประตูออก สำรวจห้องหับแต่ละห้องอย่างกล้าหาญ
“อิงลั่ว...หรือว่าท่านผู้เฒ่าวิเศษของเจ้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว” ซือลี่หยางเอ่ยถามขณะที่อิงลั่วกำลังเปิดประตูบานที่สองออก
แล้วก็พบกับความว่างเปล่า…
เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ อิงลั่วก็รีบหันกายกลับมา เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “อาจเป็นไปได้เพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันแท้ ๆ พระชายาจึงต้องมาเสียเวลารออย่างไร้ค่าเช่นนี้”
“ไม่เป็นไร ๆ เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย” ซือลี่หยางเอ่ยพลางดันประตูบานที่สามออก หลังประตูบานนี้เป็นห้องครัวเก่า ๆ ที่มีเตาถ่าน ถ้วยชามและร่องรอยการทำอาหารหลงเหลืออยู่ ทว่าทั้งสองไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว ขณะกำลังเดินไปยังประตูบานสุดท้ายอย่างไร้ความหวัง พวกนางก็เริ่มปรึกษากันเรื่องขนมหวานที่จะซื้อติดมือกลับเข้าวังกันแล้ว
ในที่สุด...ทั้งสองก็มายืนตรงหน้าประตูบานสุดท้าย
“ประตูบานนี้จะให้หม่อมฉันหรือพระชายาเปิดดีเพคะ” อิงลั่วเอ่ยถามอย่างขำขัน
เพราะมั่นใจว่า สำนักนี้เป็นสำนักร้าง คงไม่มีผู้วิเศษอาศัยอยู่เป็นแน่ ซือลี่หยางจึงก้าวช้า ๆ เดินไปที่หน้าประตู ยิ้มกล่าวว่า “ข้าขออาสาเอง”
จากนั้นจึงใช้กายดันประตูเข้าไปด้านใน
“ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ ว่าไม่ม…” ยังไม่ทันเอ่ยจบ ซือลี่หยางกับอิงลั่วก็ต้องชะงักค้าง การคาดการณ์เอาไว้ของพวกนางผิดหมดทั้งสิ้น
ในห้องนี้มีชายชราหน้าตามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมชุดสีน้ำตาลเก่า ๆ ขาดวิ่นกำลังนอนคอพับพิงกำแพงหลับอย่างไม่ได้สติ ข้างกายมีไหสุราหมดเกลี้ยงไหหนึ่งวางอยู่
ทั้งสองกะพริบตาปริบ ๆ อ้าปากค้างพร้อมกันโดยสัญชาตญาณ กลิ่นสุรานั้นโชยรุนแรงจนพวกนางต้องเอามือบีบจมูกอย่างกะทันหัน
“อิงลั่ว...นะ นี่หรือท่านผู้เฒ่าวิเศษของเจ้า” ซือลี่หยางถามย้ำอีกครั้ง
อิงลั่วฉีกยิ้มฝืดเฝื่อน กล่าวตอบยืนยันว่า “ใช่เพคะ”
ได้ยินเช่นนั้น ซือลี่หยางก็รู้สึกคล้ายจะลมจับ พยายามเอ่ยเรียกผู้เฒ่าวิเศษให้ตื่นขึ้นมาหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงนิ่งงัน
ในที่สุด พวกนางทั้งสองก็ตัดสินใจเข้าไปพยุง ลากตัวผู้เฒ่าวิเศษขี้เมาผู้นี้ออกไปนอกห้องอย่างทุลักทุเล
ผู้เฒ่าวิเศษถูกจับมานั่งบนตั่งนุ่มสีทองข้างโต๊ะหมู่บูชา ส่วนพวกนางกลับลงไปนั่งบนเสื่อดังเดิม
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็เริ่มได้สติ หรี่ตาเปิดขึ้นทีละข้างอย่างเชื่องช้า ครั้นเมื่อเห็นพวกนางนั่งอยู่เบื้องหน้า เขาก็คว้าเกราะปลาไม้ขึ้นมาเคาะทันที พลางสวดมนต์พึมพำในลำคอไม่หยุด
ซือลี่หยางขมวดคิ้วมอง อดทนรอว่าเมื่อไรผู้เฒ่าวิเศษผู้นี้ถึงจะหยุดสวดมนต์และพูดคุยกับนางเสียที
เนิ่นนานชายชราก็หยุดนิ่ง วางเกราะปลาไม้ลงข้างกาย ก่อนจะเอ่ยถาม "พวกเจ้ามาจากที่ใด…มีปัญหาอะไรถึงได้ถ่อมาหาข้า"
อิงลั่วอาสาตอบ “มาจากวังหลวง...ข้าพาพระชายามาให้ท่านผู้เฒ่าช่วย”
ผู้เฒ่าวิเศษกระแอมเสียงในลำคอสองสามที ปรับเส้นเสียงก่อนเอ่ย "มีสุราหรือไม่”
ดวงตาของลี่หยางทอประกายระยับ รีบเอ่ยตอบ "หากท่านช่วยข้าได้ จะเอาสุรากี่ไห ข้าก็จะหามาให้ท่าน"
"เจ้าปรารถนาจะให้ข้าช่วยสิ่งใดหรือ...พระชายา ไม่ใช่สิ ซือลี่หยาง"
"ข้าทะลุมิติข้ามภพมาอยู่ในร่างของสตรีผู้นี้" ซือลี่หยางเล่าเรื่องราวพลางใช้นิ้วมือหันชี้เข้าหาตัวเองอย่างจริงจัง พอฉุกคิดคำพูดของผู้เฒ่าวิเศษเมื่อครู่ นางก็เบิกตาโพลงทันที เอ่ยอย่างตื่นตระหนก "ดะ เดี๋ยว! เมื่อครู่ท่านเรียกชื่อจริง ๆ ของข้าอย่างนั้นหรือ...ท่านรู้"
หลังจากนั้น บรรยากาศรอบด้านก็หนักอึ้งและอึมครึมโดยฉับพลัน
ผู้เฒ่าวิเศษกล่าวเสียงขรึม "ยื่นมือของเจ้ามา"
ซือลี่หยางได้ยินเช่นนั้น ก็รีบหงายมือเล็กยื่นออกไปตรงหน้าของผู้เฒ่าวิเศษทันที
ครั้นเมื่อปลายนิ้วมือของผู้เฒ่าวิเศษ สัมผัสไปที่ข้อแขนของซือลี่หยาง ในหัวสมองที่ว่างเปล่าก็พลันมีแสงสว่างวาบพรั่งพรูเข้ามา
ซือลี่หยางปิดตาลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ปรากฏในหัวของผู้เฒ่าวิเศษปรากฏในหัวของนางเช่นเดียวกัน
ยามนี้ร่างกายนางราวกับถูกสายฟ้าฟาด คลื่นบางอย่างที่จับต้องไม่ได้กำลังยึดครองกายนางอยู่ หลังจากนั้นภาพทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตตั้งแต่ก่อนตายบนเครื่องบิน จนกระทั่งข้ามภพมาจนถึงยามนี้ก็หวนคืนเข้ามาในความทรงจำของนางอีกครั้งราวกับกระแสลมที่กำลังถ่ายเทเคลื่อนที่รวดเร็วอย่างหยุดยั้งไม่อยู่
ผู้เฒ่าวิเศษรู้เรื่องราวของนางทั้งหมดในครานั้น ทันทีที่ทุกอย่างในห้วงภวังค์มืดดับลง ซือลี่หยางก็สะดุ้งตื่น นั่งหอบหายใจคำใหญ่ประหนึ่งคนเพิ่งขาดอากาศหายใจมาชั่วขณะก็มิปาน
"พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" อิงลั่วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ลี่หยางส่ายศีรษะ สีหน้าฉายแววมึนงง สติยังคงฟื้นคืนกลับมาไม่เต็มที่
"ฮ่า ฮ่า…" ผู้เฒ่าวิเศษเปิดปากหัวเราะเสียงก้องพลางใช้มือลูบเคราสีขาวที่ยาวเฟิ้ม กล่าวต่อ “หากเจ้าอยากกลับภพภูมิเดิมละก็...บุรุษรูปร่างสูงโปร่งจะช่วยเจ้า”
บุรุษรูปร่างสูงโปร่ง?
ซือลี่หยางกับอิงลั่วฟังแล้วทำหน้างุนงงสุดประมาณ
“ท่านช่วยระบุให้ละเอียดและกระจ่างชัดมากกว่านี้ได้หรือไม่ บุรุษสูงโปร่งมีมากมาย ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผู้ใด” ซือลี่หยางขมวดคิ้วเอ่ย
“ฮ่า ฮ่า…” ผู้เฒ่าวิเศษหัวเราะด้วยสีหน้าเบิกบานใจอีกครั้ง “กงล้อของโชคชะตาจะนำพาเจ้าไปหาบุรุษผู้นั้นเอง ข้ามิอาจฝ่าฝืนกฎของสวรรค์ได้”
ซือลี่หยางอ้าปากค้าง แทบไม่อยากจะเชื่อ ให้ตายเถอะ! น่าปวดหัวสิ้นดี คำทำนายเช่นนี้ผู้ใดก็ทำนายได้
คิดได้เช่นนั้น นางก็ถอนหายใจอย่างหนัก ผลุนผลันลุกขึ้นเดินออกไป
อิงลั่ววางถุงเงินจำนวนหนึ่งเอาไว้ รี่วิ่งตามซือลี่หยางไปติด ๆ ตะโกนร้องเรียกเสียงดัง “พระชายาเพคะ รอหม่อมฉันด้วยสิเพคะ...”