ตอนที่ 1 : ปฐมบท
ค่ำคืนที่เก้าเดือนแปด รัชศักเฉียนหรงปีที่สิบสอง
สำรับอาหารขึ้นชื่อคาวหวานจากหลากหลายเมืองจัดวางอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างละลานตา เปลวเทียนสีแดงชาดวูบไหว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้กฤษณาจากเตากำยานโชยกลิ่นคละคลุ้งทั่วห้อง สายลมยามค่ำคืนโชยอ่อนพัดม่านโปร่งสีขาวบางตรงกรอบหน้าต่างพลิ้วไหวน้อย ๆ ดั่งระลอกคลื่นบางเบา
ขนตางอนยาวของ 'ไป๋เยว่ชิง' กระพรือขึ้นลงเชื่องช้า นัยน์ตาสีดำขลับแฝงแววสับสนระคนหวาดหวั่นจ้องมองอาหารเบื้องหน้าพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
สำรับอาหารมากมายเช่นนี้ หากมีผู้ใดเดินผ่านมาเห็น ก็คงจะคิดกันไปต่าง ๆ นานาว่า ตำหนักเฟิงยวี่กำลังมีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในค่ำคืนอันแสนพิเศษ ทว่าราตรีที่สมบูรณ์แบบงดงามเช่นนี้มิได้รื่นเริงอย่างนั้น ไม่เลยแม้แต่น้อย…
ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจทีละเล็กทีละน้อยราวกับถูกสาป แสนเจ็บปวดทรมานใจยิ่งนัก ในแต่ละวันที่ผันผ่าน นางเฝ้าถามตัวเองว่า...ความรักที่แท้จริงนั้นคืออะไร?
หลังจากตรึกตรองคิด ในที่สุดก็ได้คำตอบ เราทุกคนในใต้หล้าล้วนมีความคิดแตกต่างกัน สำหรับนางแล้ว ความรักคือการไม่ยอม คือการดิ้นรนต่ออุปสรรค เปรียบเสมือนขวากหนามพันธนาการที่เกี่ยวพันแข้งขาจนเป็นแผลเหวอะหวะ แต่ทว่าอานุภาพแห่งความรักที่จับต้องไม่ได้ ทำให้นางมีแรงฮึดสู้ต่ออย่างไม่น่าเชื่อ ขอเพียงได้ครองคู่กับคนรัก หากนางจะต้องเสี่ยงชีวิตทำสิ่งชั่วร้ายเยี่ยงปีศาจ หากสองมือของนางจะต้องแปดเปื้อนด้วยโลหิตของผู้ใดก็ตาม นางก็จักยอมทั้งสิ้น
และวันนี้ก็มาถึงจุดจบขององค์รัชทายาท!
ถึงแม้นางจะเป็นถึงชายาขององค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าฉู่ ทว่านางมิได้มีใจรักบุรุษผู้นี้เลยแม้แต่น้อย นางเป็นธิดาจากต่างเมือง แต่งงานเข้ามาในรั้วพระราชวังต้าฉู่เพื่อสานสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น การแต่งงานครั้งนี้เกิดจากการบีบบังคับ หาได้เกิดจากความรักไม่ ยามนี้คนรักของนางที่เป็นคนเมืองเจิ้งผิงกำลังมีอันตรายและนี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้เขามีชีวิตรอด!
เยว่ชิงวางแผนและเตรียมตัวมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถึงเวลาอันสมควรแล้วที่นางจะฆ่าเขาทิ้งเสีย นางนัดหมายเขามาที่พระตำหนักเฟิงยวี่ สั่งการให้นางกำนัลจัดเตรียมอาหารชุดใหญ่ โรยยาพิษใส่ลงไปในแต่ละสำรับอาหารของเขาอย่างละเล็กอย่างละน้อย
ยาพิษนั้นรุนแรงมาก เพียงป้ายแตะที่ริมฝีปากขนาดเล็ก ๆ ก็พลันแผลงฤทธิ์ร้าย ทำให้กระอักเลือดออกมาปางตายแล้ว หลังจากที่ผ่านไปได้เพียง *หนึ่งก้านธูป ร่างที่มีลมหายใจก็จะไร้วิญญาณและสิ้นใจตายอย่างน่าอนาถ นางตั้งใจสร้างสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอดโดยทำทีว่าถูกวางยาไปด้วย แต่ดันโชคดีรู้ตัวทันเสียก่อน จึงรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
ทุกอย่างนางคิดเอาไว้อย่างดีแล้ว เพียงรอรัชทายาทก้าวขาเข้ามาในเรือนและทานอาหารด้วยกันเท่านั้น ทุกอย่างจะจบสิ้นและนางก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับคนรักที่แท้จริงของนางเสียที
ขณะครุ่นคิดอย่างใจลอย เสียงฝีเท้าหนักอึ้งหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้น นัยน์ตาสีดำอำพันของเยว่ชิงเป็นประกายวาบ หัวใจเต้นรัวราวกับมีลูกกวางวิ่งพล่านในใจไม่หยุด นางรีบหันศีรษะขวับมองที่หน้าประตูทันที
แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะผู้ที่ก้าวขาเดินเข้ามานั้น มิใช่องค์รัชทายาท ทว่าเป็น ‘อิ๋นซื่อ’ บ่าวรับใช้นางกำนัลประจำพระตำหนักไท่จื่อ นางลอบตำหนิในใจอย่างไร้เสียง...น่ารำคาญนัก! นี่องค์รัชทายาทส่งนางมาแทนเขาอย่างนั้นหรือ?
“ถวายบังคมพระชายาเพคะ” อิ๋นซื่อเดินตรงเข้ามาหานาง ก่อนจะแสดงความเคารพส่ง ๆ เอ่ยว่า ‘ถวายบังคม’ แต่สีหน้ากลับไร้ซึ่งความนอบน้อม เพียงก้มศีรษะลงเล็กน้อย แม้แต่เข่าก็ไม่ยอมย่อลง
เยว่ชิงยิ้มฝืดเฝื่อน ใบหน้าฉายแววผิดหวังอย่างชัดเจน กล่าวถาม “องค์รัชทายาทอยู่ที่ใด กำลังเสด็จมาที่ตำหนักเฟิงยวี่ใช่หรือไม่”
อิ๋นซื่อหลุบตา เอ่ยตอบ “คืนนี้องค์รัชทายาทมีราชกิจด่วน ไม่อาจมาพบพระชายาที่พระตำหนักเฟิ่งยวี่ตามกำหนดได้ จึงให้หม่อมฉันเป็นคนมาบอกพระชายาเพคะ”
เยว่ชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยประชดประชันด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “เป็นไปได้อย่างไร...องค์รัชทายาทกลับมาที่ตำหนักแล้วมิใช่หรือ เพียงมาทานอาหารเย็นกับข้าครู่เดียว ไฉนถึงได้ใจดำนัก!”
เมื่อธาตุแท้ของเยว่ชิงผู้อ่อนโยนเผยออกมา สายตาหยันของอิ๋นซื่อก็มิอาจบดบังเอาไว้ได้ นางตวัดตามองเยว่ชิงหนึ่งที ก่อนจะกลับมาก้มหน้าสำรวม เอ่ยตอบอีกครั้ง “องค์รัชทายาททรงห่วงใย ให้หม่อมฉันเฝ้าพระชายาทานอาหารจนหมด แล้วนำไปรายงานให้พระองค์ทราบเพคะ”
เยว่ชิงได้ยินเช่นนั้น ก็สะดุ้งเฮือกในใจ โวยวายลั่นอย่างขุ่นเคือง "เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้! นี่มันไม่ใช่ตำหนักของเจ้า ข้าจะกินหรือไม่ ก็เรื่องของข้า!!”
อิ๋นซื่อเปลี่ยนสุ้มเสียงเป็นดุดัน จ้องมองเยว่ชิงตาเขม็ง “หม่อมฉันบอกให้กินอาหารบนโต๊ะให้หมด เหตุใดถึงได้เข้าใจอะไรยากเย็นนักเพคะ!”
วาจาและท่าทางที่ไม่เคารพของอิ๋นซื่อ ทำให้เพลิงโทสะในใจของเยว่ชิงลุกโชนโชติช่วงจนควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ นางชี้นิ้วไปที่หน้าของอิ๋นซื่อพลางตวาดกร้าว “บังอาจ! กล้าดีอย่างไรมาทำกิริยาต่ำ ๆ เช่นนี้กับข้า”
อิ๋นซื่อไม่ตอบอะไร เพียงกระตุกรอยยิ้มเย็นเยียบที่มุมปาก เพราะมีความเกลียดชังสั่งสมมาก่อน นางจึงรู้สึกพอใจนักที่ได้ถูกสั่งการให้มารับบทเป็นผู้ชม ยืนดูเยว่ชิงกินยาพิษของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา
เยว่ชิงเริ่มบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมาในใจ จึงพยายามคิดหนี นางรีบวิ่งจ้ำเท้ามุ่งตรงออกไปที่หน้าประตู ทว่าอิ๋นซื่อก็รีบพุ่งกายเข้าไปขวางนางเอาไว้เสียก่อน
"พระชายาหนีออกไปไหนไม่ได้อีกแล้วเพคะ ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกลงกลอนปิดอย่างหนาแน่น หม่อมฉันสัญญาว่า หากพระชายาเสวยอาหารในสำรับเหล่านั้นจนหมด หม่อมฉันจะปล่อยพระชายาออกไป โดยไม่ขัดขวางอะไรอีก"
เยว่ชิงไม่ฟังอะไร ใช้แรงทั้งหมดที่มีดันร่างของอิ๋นซื่อผลักออกไปด้านข้างสุดแรง พยายามดิ้นรนหนีต่ออย่างกระเสือกกระสน อิ๋นซื่อกระชากเรือนผมสีดำขลับจากทางด้านหลังฉุดรั้งเอาไว้
"ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้...ปล่อยข้า!!!" เยว่ชิงกรีดร้องตะโกนโวยวาย ก่อนจะ ฉวยจังหวะหมุนกาย สะบัดมือตบไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
อิ๋นซื่อยกมือลูบที่พวงแก้มโดยสัญชาตญาณ เมื่อได้สติ ก็รีบง้างมือสวนกลับทันทีด้วยความเกรี้ยวโกรธ นางกระหน่ำตบไปที่หน้าของเยว่ชิงหลายสิบฉาด ก่อนจะพลั้งมือบีบกดไปที่ลำคอระหงแน่น เยว่ชิงอ้าปากพะงาบพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอด ดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย
จนในที่สุด ร่างแบบบางของเยว่ชิงก็หมดสติลงและแน่นิ่งไป
อิ๋นซื่อค่อย ๆ คลายมือปล่อยออกจากลำคอของเยว่ชิงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า นางไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้สึกเกลียดชังเข้าไส้ แต่นี่มันก็เกินกว่าสิ่งที่คาดคิดเอาไว้และหากองค์รัชทายาทล่วงรู้ เขาจะต้องไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่!
นางค่อย ๆ ประคองร่างกายที่สั่นเทายืนขึ้น ทอดสายตามองร่างแบบบางที่เพิ่งหมดลมหายใจ ยกมือป้องปาก ส่ายศีรษะไปมาอย่างเสียสติ
"ไม่! ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด อย่างไรเสียนางก็ต้องตายอยู่ดี...นี่มันไม่ใช่ความผิดของข้า!!!!!"