ณ ตำหนักบูรพา
"วันนี้พระชายาออกไปไหนมา" เยี่ยเทียนเลื่อนสายตามองไปที่จินเฮ่า เอ่ยถามเสียงเคร่งขรึม
จินเฮ่ารีบปราดเข้าไปประสานมือและโค้งคำนับ "วันนี้พระชายาออกไปที่ตลาดหัวเมืองมณฑลตงเปิ่ง เข้าไปที่สำนักเก่า ๆ แห่งหนึ่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
"สำนักหรือ สำนักที่เจ้าว่า...หมายถึงสำนักใด" เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเข้มแน่น ถามอย่างเคลือบแคลงสงสัย
“สำนักแห่งนั้น มีชายชราขี้เมาผู้หนึ่งครองตนเป็นผู้วิเศษพ่ะย่ะค่ะ"
สีหน้าของเยี่ยเทียนตะลึงไปเล็กน้อย ก้าวขาช้า ๆ ขบคิดครู่หนึ่ง จึงเอ่ยกับจินเฮ่า “ผู้วิเศษ...นางไปหาผู้วิเศษทำไม”
“สำนักนั้นค่อนข้างอับ ไม่มีหน้าต่างหรือช่องรูที่สามารถให้กระหม่อมส่องเข้าไปได้ กระหม่อมเพียงยืนรออยู่ด้านนอก ไม่ได้ยินที่พวกนางพูดคุยกันพ่ะย่ะค่ะ"
“แล้วหลังจากนั้นเล่า นางไปที่ใด” เยี่ยเทียนซักถามต่อ
“กลับวังเลยพ่ะย่ะค่ะ แต่สิ่งที่กระหม่อมแปลกใจคือ…"
เยี่ยเทียนเห็นจินเฮ่าพูดจาอึกอักครึ่ง ๆ กลาง ๆ จึงอดถามอย่างร้อนใจมิได้ “เรื่องใด!”
จินเฮ่าก้มหน้าเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด “ระหว่างทางกลับมา มีสตรีนางหนึ่งถูกโจรขโมยถุงเงินไป พระชายาวิ่งตามและใช้กำลังต่อสู้กำราบโจรผู้นั้น ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือนางเอาไว้ได้ ตั้งแต่กระหม่อมติดตามพระชายามาเนิ่นนาน เพิ่งจะเคยเห็นพระชายาใช้วิชายุทธ์ต่อสู้ก็คราวนี้ กระหม่อมจึงรู้สึกแปลกใจพ่ะย่ะค่ะ”
ใช้วิชายุทธ์ต่อสู้อย่างนั้นหรือ?
ดวงตาลึกล้ำประหนึ่งสายธารใต้หุบเหวของเยี่ยเทียนทอประกายระยับ ความแปลกประหลาดครอบงำจิตใจอย่างควบคุมไม่อยู่ นางเป็นองค์หญิงแคว้นเจิ้งผิงที่ไม่ชำนาญด้านใดเป็นพิเศษ นอกจากความรู้ในตำราสอนหญิงและการวางตัวในราชสำนัก ยิ่งจินเฮ่าบอกว่านางต่อสู้ได้ เขายิ่งแทบไม่เชื่อหู
เขายังจำได้ดี ตอนที่เขากลั่นแกล้งนางโดยการพานางออกไปยิงธนู แม้แต่จับธนูยังทำท่าทางประดักประเดิด นับประสาอะไรกับการใช้วิชายุทธ์ต่อสู้กับบุรุษด้วยสองมือ ...ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก!
"เจ้าแน่ใจหรือ" เยี่ยเทียนถามย้ำอีกครั้ง
จินเฮ่ารีบประสานมือ กล่าวตอบเสียงหนักแน่นจริงจัง “กระหม่อมยอมตาย หากบังอาจหลอกลวงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ"
ในหัวของเยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาเกี่ยวกับซือลี่หยางไปต่าง ๆ นานา ความคิดสับสนคล้ายกับเส้นด้ายที่ขมวดมุ่นพันกันยุ่งเหยิง นางทำให้เขากังวล สงสัย ร้อนรนใจจนแทบเป็นบ้า
หรือว่านางจงใจปั่นหัวข้าเล่น ที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอคงเป็นแค่มารยาหญิงอย่างนั้นสินะ…
“จับตาดูนางเอาไว้ให้ดี หากมีสิ่งใดน่าสงสัยให้รีบมารายงานข้า” เยี่ยเทียนโพล่งสั่งการเสียงขรึม
“พ่ะย่ะค่ะ” จินเฮ่าค้อมกายคารวะและล่าถอยเดินออกไป
เมื่อไม่มีผู้ใดแล้ว เยี่ยเทียนก็ทรุดกายนั่งลงบนตั่งสูงครุ่นคิดใคร่ครวญอย่างเหม่อลอย หลังจากกลับมาจากป่า นางก็เปลี่ยนเป็นคนละคน แววตาที่นางจับจ้องเขาในตำหนักเฟิงยวี่ หาใช่แววตาที่ใสซื่อและอ่อนแอเหมือนดังเก่า แต่กลับเป็นแววตาที่เด็ดเดี่ยวและต่อต้าน นางกล้าปฏิเสธเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ นางยอมเขาทุกอย่าง
หรือว่านางจะล่วงรู้ว่าเขาวางแผนตลบหลัง จึงได้โกรธแค้นและเปลี่ยนไป
แล้วอย่างไรเล่า...ข้าต้องเห็นใจกับคนที่จงใจสังหารข้าให้ตายด้วยหรือ?
ไป๋เยว่ชิง...นี่เจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่?
ขณะเดียวกันที่ พระตำหนักเฟิงยวี่
ซือลี่หยางนอนเอนกายบนเก้าอี้ยาว เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องนั่งเล่นฝั่งตะวันออก บนตัวมีผ้าห่มไหมผืนบางสีชมพูอ่อนคลุมไว้ ท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้โชยเข้ามา บรรยากาศอันน่ารื่นรมย์เช่นนี้ แทนที่นางจะผ่อนคลาย ทว่ากลับหวาดวิตก ถอนหายใจทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จิตใจนางเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังและการรอคอย นางยังคงอาวรณ์ คะนึงหาชีวิตในภพภูมิเก่า บิดา มารดาและน้องสาว ยามเมื่อนึกถึงภาพเก่า ๆ จู่ ๆ ลำคอก็ตีบตัน น้ำตาหยดหนึ่งพลันไหลออกมาด้วยความเศร้าโศก
วาจาของผู้เฒ่าวิเศษมิได้ช่วยให้นางรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หนทางยังคงมืดสลัวและย้ำเตือนอย่างเป็นนัย ๆ ว่าสิ่งที่นางกำลังดิ้นรนนั้น...เปล่าประโยชน์!
บุรุษร่างสูงโปร่งจะช่วยข้าได้...บุรุษร่างสูงโปร่งในใต้หล้ามีกี่คนกัน มองไปทางไหนก็พบเจอแล้วทั้งนั้น ความหวังที่ลุกโชนคล้ายจะดับมอดอยู่หลายครั้ง ไฟแห่งความหวังช่างริบหรี่เหลือเกิน
อิงลั่วนำเสื้อขนสัตว์นกกระเรียนกันลมมาคลุมให้นาง กล่าวอย่างห่วงใย "ตั้งแต่กลับมาจากสำนักท่านผู้เฒ่า หม่อมฉันเห็นพระชายาเอาแต่นั่งเหม่อลอย เป็นอะไรหรือเพคะ"
แววตาของซือลี่หยางวูบไหวเล็กน้อย ริมฝีปากแดงเรื่อเม้มนิด ๆ ครู่หนึ่งจึงตอบ "เจ้าจะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร เจ้าไม่เห็นที่ท่านผู้เฒ่าพูดหรือ บุรุษสูงโปร่งจะช่วยข้าได้ ไหนเล่า? บุรุษผู้นั้น ให้ข้าแหวกแผ่นดินหา ก็ระบุตัวตนไม่ได้หรอก บุรุษร่างสูงโปร่งมีถมเถไป"
อิงลั่วพยักหน้าพลางกล่าว "ที่พระชายาพูดก็จริงเพคะ คำทำนายของท่านผู้เฒ่านั้นกว้างไปจริง ๆ "
"แต่เจ้า...เชื่อข้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้าไม่ใช่เยว่ชิง นายหญิงน้อยของเจ้าตายไปแล้ว ข้าคือ ซือลี่หยาง ที่มาจากอีกภพภูมิหนึ่ง"
"แม้ยากจะเชื่อ แต่หม่อมฉันก็เชื่อจนสนิทใจแล้วเพคะ ที่จริงหม่อมฉันก็แอบสงสัย แต่ไม่กล้าคาดคิด พระชายาทั้งสอง แตกต่างกันมากเหลือเกิน"
"ใช่! ข้าไม่ใช่นาง แล้วข้าก็ไม่ได้สติฟั่นเฟือนด้วย ข้าปรารถนาจะกลับไปที่เดิมที่ข้าเคยจากมา ส่วนเจ้า...ก็จะได้พระชายาของเจ้ากลับคืน"
"ละ แล้วจะกลับไปอย่างไรละเพคะ"
"ข้าก็ไม่รู้ ข้าถึงได้ให้เจ้าพาไปหาผู้วิเศษอย่างไรเล่า" ซือลี่หยางทอดถอนหายใจ กล่าวต่อ "...ข้าตกเครื่องบินมาอยู่ในร่างนี้ ครั้นจะให้ข้าหาเครื่องบินที่นี่แล้วกลับไปนั่งและรอให้เครื่องบินตกอีกครั้ง ก็ดูจะน่าขันชอบกล!"
"เครื่องบิน เครื่องอะไรบินหรือเพคะ มีปีกบินได้เหมือนนกหรือไม่" อิงลั่วถามอย่างไร้เดียงสา
ซือลี่หยางระบายยิ้มจาง ๆ ที่มุมปากและเอ่ยอธิบายอย่างตั้งใจ "ใช่! เครื่องบินมีปีกบินเหมือนนก สามารถจุคนได้เป็นร้อย ๆ คน บินไปบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ เป็นพาหนะหนึ่งที่มนุษย์ในโลกสมัยใหม่นิยมใช้ เวลาออกเดินทางท่องเที่ยวไกล ๆ สะดวกสบายมากเลยล่ะ"
"พาหนะหรือเพคะ บ้านเมืองเรายังใช้ม้า ใช้อูฐเดินทางกันอยู่เลย เรื่องนั้นเป็นจริงหรือเพคะ"
ซือลี่หยางยิ้มหัวเราะเบา ๆ "อิงลั่ว...ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไมกัน"
"คนนับร้อยบินพร้อมกันบนฟ้า น่าตื่นเต้นเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันอยากขึ้นไปนั่งบ้าง" ดวงตาของอิงลั่วพลันสว่างเจิดจ้า
ซือลี่หยางยิ้มถาม "หากข้าพาเจ้ากลับไปยังมิติเดิมได้ ข้าจะพาเจ้าไปนั่งเครื่องบินด้วย ดีหรือไม่"
"ดีเพคะพระชายา" อิงลั่วยิ้มแย้มดีใจ ก่อนจะหุบยิ้มและเอ่ยด้วยสีหน้าหวาดหวั่น "แต่เครื่องบินคงอันตรายมากเลยนะเพคะ ขนาดพระชายายังตกลงมาได้เลย"
"เครื่องบินคือพาหนะที่มีความปลอดภัยสูง ในกรณีของข้ามีน้อยนักที่จะเกิดขึ้น ความจริงแล้วคือข้าดวงซวยนั่นเอง ที่เครื่องบินตกอาจเกิดจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เครื่องบินไม่พร้อมใช้งานหรือปัญหาภายในอะไรเทือกนั้น แต่ที่แน่ ๆ เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งหรอกนะอิงลั่ว"
อิงลั่วกลอกตานึกคิด จินตนาการภาพตามพลางพยักหน้าเบา ๆ อย่างเข้าใจ ซือลี่หยางสั่งการให้นางเอากระดาษ พู่กันและน้ำหมึกมาให้ ก่อนจะบรรจงใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกสีดำขลับตวัดวาดรูปเครื่องบินแบบจำลองให้นางดู
"นี่คือเครื่องบินและนี่คือคนที่นั่งโดยสารบนเครื่อง" ซือลี่หยางเอ่ยไปพลางเลื่อนนิ้วชี้บรรยายไป
"แล้วปีกนั่นกระพือเหมือนนกด้วยหรือไม่เพคะ" อิงลั่วเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ซือลี่หยางขำพรืดออกมา "เครื่องบินมีปีกเพื่อพยุงตัวเครื่องให้สมดุล ไม่ได้มีไว้กระพือบินหรอกอิงลั่ว เครื่องบินแต่ละลำจะมีคนขับเครื่องบินบังคับอยู่"
สิ้นสุดคำพูด ดวงตาของอิงลั่วก็พลันขยายเบิกกว้าง พิจารณาใคร่ครวญในใจ ก่อนจะเงยหน้าถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ "หากพระชายาตกลงมาในที่สูงขนาดนั้น ร่างพระชายาจะรอดหรือเพคะ"
"จริงของเจ้า..." ซือลี่หยางอึ้งไปเล็กน้อย หัวใจที่ลอยเคว้งจับต้องไม่ได้อยู่กลางอากาศพลันวูบตกลงมาด้วยความหวาดหวั่น "ตะ แต่...ข้าเคยอ่านข่าวมาว่าเคยมีคนรอดชีวิตจากเครื่องบินตก คนโชคดีผู้นั้นอาจจะเป็นข้าก็ได้...ใครจะไปรู้"
อิงลั่วขยับกายเข้าไปใกล้ บีบมือซือลี่หยางเบา ๆ กล่าวให้กำลังใจ "หม่อมฉันเข้าใจว่า จิตใจของพระชายายังคงวนเวียนผูกอยู่กับภพภูมิเก่า แต่อย่างไร...พระชายาก็ยังคงเป็นพระชายาของหม่อมฉันและทุกคนในตำหนัก หากกลับไปไม่ได้ก็อยู่ที่นี่เถิดเพคะ"
ใบหน้าของซือลี่หยางผุดรอยยิ้มอ่อนจางพลางผงกศีรษะเบา ๆ อย่างน้อยการข้ามภพภูมิมาที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว นางยังมีอิงลั่ว บ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์และจริงใจเปรียบเสมือนสหายที่คอยอยู่เคียงข้าง แต่ทว่าความพยายามไม่เคยทรยศผู้ใด หากไม่ลองสู้ก็เท่ากับสิ้นหวัง ข้าจะไม่ยอมแพ้ จะหาทุกวิถีทางเพื่อกลับไปยังภูมิเดิมให้จนได้