ตอนที่ 25 : ปัญหาที่เมืองเหอหยวน

2027 Words
เพลารถม้าหมุนไปตามทางด้วยความช้าเร็วสลับกันไป เมืองเหอหยวนอยู่ไกลจากวังหลวงต้าฉู่พอประมาณ เส้นทางบนท้องถนนบ้างก็เรียบลื่น บ้างก็ขรุขระ คดเคี้ยววกวนไปมาราวกับเขาวงกตที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ภายในห้องรถม้า ซือลี่หยางเอนศีรษะพิงกรอบหน้าต่าง เหม่อมองทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่านไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ส่วนเยี่ยเทียนเอนกายบนตั่งนุ่มเงียบ ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม เรือนร่างสูงโปร่งห่อหุ้มด้วยชุดคลุมยาวแขนแคบสีดำสนิท ขับเน้นเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบของเขาให้ไหล่ดูกว้างขาดูยาวขึ้นกว่าเดิม เขาทำเหมือนกำลังหลับตา ทว่าความจริงแล้ว เขาแอบชำเลืองมองนางอยู่เป็นพัก ๆ ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าสะคราญโฉม เขามักมีความรู้สึกสลับซับซ้อนผุดขึ้นมา ในความเปรมปรีดิ์นั้นมีความหวาดระแวงแฝงอยู่ลึก ๆ การกระทำของนางหลังกลับมาจากเดินป่าแตกต่างจากยามปกติโดยสิ้นเชิง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยามนี้ภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่ในใจของเขากำลังละลายลงไปอย่างช้า ๆ หากนี่เป็นแผนการของนางในการทะลุทะลวงใจของอีกฝ่าย นับว่านางทำสำเร็จไปได้หลายส่วนและข้าต้องรู้ให้ได้ว่านางกำลังคิดจะทำอะไรต่อไปกันแน่! "เหตุใดท่านถึงพาข้ามาด้วย" เสียงหวานใสดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มงดงามประหนึ่งบุปผา เยี่ยเทียนหลุดจากภวังค์ หันมาตอบเสียงเรียบ "ข้าเห็นสีหน้าเจ้าดูเบื่อหน่าย คงอยากจะออกมาพบเจอผู้คนบ้าง จึงเอ่ยปากชวนเพียงเท่านั้น" "พี่เยี่ยมีวิชาอ่านใจคนตั้งแต่เมื่อใดกัน" นางเข้าไปเกาะแขนเขา กะพริบตาขึ้นลงอย่างซุกซน เขารู้ว่านางหยอกเย้า ทว่าจิตใจกลับไม่มั่นคง ท่าทางที่น่าเอ็นดูของนาง ทำให้เขามิอาจข่มกลั้นรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้ได้ ทันใดนั้นเอง ขันทีที่รับหน้าที่ขับรถม้าก็พลันใช้มือกระตุกบังเ**ยนอย่างแรง รถม้าจอดข้างหน้าที่ว่าการอำเภอเหอหยวนพอดี เยี่ยนเทียนสะบัดชายเสื้อก้าวขาลงจากรถ ซือลี่หยางจัดแจงเสื้อผ้าก้มตัวตามลงมา ทันทีที่ก้าวขาออกมาจากห้องรถม้า เขาก็คว้ามือนางจับเอาไว้ ก่อนจะพานางเดินฝ่าดงผู้คนเข้าไปด้านใน ฝ่ามือเล็กนุ่มยามเมื่อถูกครอบครอง รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือของอีกฝ่าย หัวใจของนางราวกับกำลังล่องลอยอยู่เหนือปุยเมฆขาว จู่ ๆ ใบหน้าพริ้มเพราก็ร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ เยี่ยเทียนชะงักฝีเท้าหน้าตลาดตะวันออก ตลาดของอำเภอเหอหยวนไม่ใหญ่มากนัก ผู้คนเดินสวนกันไปมาประปราย สองข้างทางมีร้านรวงตั้งวางอย่างเป็นระเบียบ นัยน์ตาสีดำอำพันของซือลี่หยางเป็นประกาย กวาดสายตามองรอบ ๆ พลางหันไปถาม “ที่นี่เป็นตรงไหนของอำเภอเหอหยวนหรือเพคะ ท่านพี่ต้องการสำรวจความเป็นอยู่ของชาวเมืองก่อนอย่างนั้นหรือ” คิ้วตาคมคายของเยี่ยเทียนระบายยิ้มบาง ๆ จูงมือนางเดินเข้าไปต่อพลางกล่าว “เจ้าช่างหลักแหลมนัก! สมแล้ว...ว่าที่ฮองเฮาของข้า" ถ้อยคำอ่อนหวานของเยี่ยเทียนต้องตกกลางใจนาง จนข่มรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ฮองเฮาของท่านอย่างนั้นหรือ...หากเปรียบเป็นคำในปัจจุบันก็คงเป็นคำว่า ‘ผู้หญิงของข้า’ อย่างนั้นสินะ ซือลี่หยางอมยิ้มขวยเขิน จมอยู่ในห้วงแห่งความคิดครู่ใหญ่ พอรู้สึกตัวอีกทีก็มายืนหน้าร้านขายขนมหวานแห่งหนึ่งเสียแล้ว “เถ้าแก่...ขายดีหรือไม่” เยี่ยเทียนไถ่ถามพ่อค้าร้านขนมหวานด้วยท่าทางเป็นมิตร “บางวันก็ขายได้...บางวันก็ขายไม่ได้ ว่าอย่างไรเล่าพ่อหนุ่ม เจ้าอยากจะลองซาลาเปาช่วยข้าสักชิ้นหรือไม่” เถ้าแก่ชราเอ่ยแกมหยอกเย้า เยี่ยเทียนยิ้มหัวเราะเสียงก้อง ซือลี่หยางที่เห็นเช่นนั้นก็อดกลั้นไม่อยู่ปิดปากหัวเราะตาม เถ้าแก่ผู้นี้มีกลยุทธ์แพรวพราว ชักจูงใจลูกค้าได้ดีจนต้องยกนิ้วให้ “ข้าขอซาลาเปาสองชิ้น ให้ข้ากับชา…” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ เยี่ยเทียนก็ชะงักเสียง ก่อนจะเอ่ยแก้คำอีกครั้ง “ให้กับภรรยาผู้นี้ของข้า” ใบหน้าของลี่หยางแดงซ่าน หลุบตามองต่ำด้วยความขลาดเขิน เถ้าแก่พยักหน้าเอ่ยรับคำ ก่อนจะหยิบซาลาเปาส่งให้ทั้งสองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณเถ้าแก่” เยี่ยเทียนรับซาลาเปาและยื่นถุงเงินให้ ในถุงเงินนั้นบรรจุเบี้ยเกินจำนวนอยู่ไม่น้อย หลังจากเดินออกมาจากร้านซาลาเปาแล้ว เยี่ยเทียนก็พานางเดินพูดคุยสอบถามพ่อค้าแม่ค้าอีกหลายร้านที่ตั้งอยู่ถัดไป จนกระทั่งมาถึงร้านเครื่องประดับร้านหนึ่ง “เจ้าอยากได้เครื่องประดับชิ้นไหนเป็นพิเศษหรือไม่ ข้าจะซื้อให้เจ้า” เยี่ยเทียนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ดวงตาของซือลี่หยางโค้งลง ทอยิ้ม ก่อนจะกวาดสายตามองเครื่องประดับที่วางเรียงรายเบื้องหน้าอย่างใจจดจ่อ บนโต๊ะสูงปูด้วยผ้าต่วนสีแดง มีเครื่องประดับวางเรียงกันอย่างละลานตา นางมองจนตาลาย เลือกไม่ถูกเลยทีเดียว เยี่ยเทียนหันมายิ้มถาม “เจ้าเคยบอกข้าว่าชอบไข่มุกใช่หรือไม่…” “ขะ ไข่มุกหรือเพคะ” สีหน้าของซือลี่หยางแปรเปลี่ยนเป็นเก้อกระดากทันที ในหัวของนางมีความคิดหนึ่งวูบขึ้นมา หรือว่าเยว่ชิงจะชอบไข่มุก องค์รัชทายาทจึงเอ่ยกับข้าเช่นนั้น เมื่อคิดว่าเขากำลังหมายถึงอีกคนหนึ่ง ความหวาดหวั่นก็พลันเกาะกุมจิตใจอย่างห้ามไม่อยู่ เยี่ยเทียนกวาดสายตามองเครื่องประดับบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ใช้มือคว้าปิ่นงามขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ส่งยื่นให้นาง “นี่ไง...ไข่มุกงามเหมาะสมกับเจ้า” ซือลี่หยางเพ่งมอง ปิ่นเงินลายดอกเสาเย่าประดับด้วยไข่มุกสีขาวนวล ยามเมื่อสะท้อนแสงแดด ไข่มุกนั้นช่างแวววาวงดงามยิ่งนัก นางยื่นมือรับปิ่นนั้น ทว่าเยี่ยเทียนชักมือกลับ ก่อนจะถือวิสาสะปักปิ่นไข่มุกงามลงบนผมของนาง พลางยิ้มกล่าว “ไข่มุกงามต้องคู่กับคนงามเช่นเจ้า” ซือลี่หยางกระดกมุมปากยิ้มน้อย ๆ ก้มหน้าเอียงอายอย่างมีจริต หลังจากนั้น เขาก็จูงมือนางพาเดินลัดเลาะเส้นทาง มาหยุดตรงหน้าศาลใหญ่โตแห่งหนึ่งประจำที่ว่าการอำเภอเหอหยวน ป้ายใหญ่ที่เด่นตระหง่านเหนือขอบประตูหลัก เขียนด้วยพู่กันสีทองเหลืองอร่าม ซือลี่หยางเพ่งสายตาอ่านอย่างใจจดจ่อ เมื่อรู้ว่าเป็น 'ศาลต้าหลี่' นางก็พลันหันไปถามเขาด้วยความสงสัยทันที “ต้องถามสารทุกข์สุกดิบคนในศาลต้าหลี่ด้วยหรือเพคะ” เยี่ยเทียนส่งเสียงอื้มเบา ๆ ก่อนจะจูงมือนางเดินเข้าไปด้านใน วันนี้เป็นวันหยุด บรรยากาศในศาลต้าหลี่จึงเงียบงันกว่าปกติ บ่าวใช้ประจำศาลที่กำลังกวาดเช็ดทำความสะอาดพื้น เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนเดินเข้ามา เขาก็ทิ้งสัมภาระและเดินเข้าไปคำนับทันทีด้วยความสุภาพอ่อนน้อม “ใต้เท้าเหิงอยู่หรือไม่ เรียกใต้เท้าออกมาพบข้าที” “พ่ะย่ะค่ะ” หลังจากรับคำสั่งการ บ่าวชายผู้นั้นก็สาวเท้าเดินเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านในสุด เพียงครู่หนึ่ง ใต้เท้าเหิง หรือ ‘เหิงปี้ชุน’ ขุนนางตำแหน่งสูงสุดดูแลศาลต้าหลี่ประจำอำเภอเหอหยวนก็เดินออกมาต้อนรับ “คารวะองค์รัชทายาท คารวะพระชายา” ใต้เท้าเหิงโค้งกายคำนับอย่างเนิบช้า “ตามสบายเถิด...วันนี้ข้าแค่พาพระชายามาเยี่ยมเยียนศาลต้าหลี่แห่งนี้เท่านั้น” สิ้นเสียง ใต้เท้าเหิงก็ค่อยๆ เหยียดกายตั้งตรงดังเดิม ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่วงท่าสุภาพสำรวม “ใต้เท้าเหิงเป็นผู้ดูแลศาลต้าหลี่ที่นี่ เป็นขุนนางอาวุโสที่ซื่อตรงและยุติธรรม” เยี่ยเทียนผายมือแนะนำ ซือลี่หยางผงกศีรษะเบา ๆ อย่างเข้าใจ ถึงเขาไม่พูดนางก็สัมผัสได้ว่าชายชราผู้นี้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก เยี่ยเทียนหันไปเอ่ยถามกับใต้เท้าเหิงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าอยากรู้ว่าอำเภอเหอหยวน มีคดีความเรื่องใดมากที่สุด” “ชิงปล้น ลักทรัพย์ ฆ่าฟันพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าเหิงเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า บนใบหน้าฉายความวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย “จำนวนยังไม่ลดลงบ้างเลยหรือ...ใต้เท้า” “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ มีคดีไม่ซ้ำกันทุกวัน แม้จะมีบทลงโทษร้ายแรงเด็ดขาดเพียงใด ก็ไม่ทำให้จำนวนของพวกโจรเหล่านั้นลดลงเลยแม้แต่น้อย” เยี่ยเทียนทอดถอนหายใจ หันไปถามความเห็นซือลี่หยางว่า “เจ้าคิดอย่างไร” ซือลี่หยางเม้มปาก จมสู่ภวังค์ความคิด ครู่หนึ่งจึงตอบ “หม่อมฉันคิดว่าต้องแก้ที่โครงสร้างเพคะ” “โครงสร้าง...เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ใบหน้าคมคายของเยี่ยเทียนบังเกิดความสงสัย ซือลี่หยางอธิบายต่อ “โจรที่ชิงปล้น ฆ่า ลักทรัพย์ หลัก ๆ แล้วก็เป็นเพราะไม่มีเบี้ยพอประทังชีวิต พวกเขาจึงสิ้นคิด ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ กระทำสิ่งชั่วร้ายเพียงเพราะอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไม่อดตายเพียงเท่านั้น” “ที่เจ้าหมายถึง คือต้องการให้ข้าแจกเบี้ยให้ผู้คนเร่ร่อนอย่างนั้นหรือ” ซือลี่หยางส่ายศีรษะเบา ๆ กล่าวตอบ “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นเพคะ ขอเพียงแค่มีกลุ่มคนที่พอจะเข้าไปสอนคนเหล่านั้นให้ทำมาหากิน สอนวิธีดำรงชีพอย่างสุจริต...และอีกอย่างวังหลวงควรมีการปรับเปลี่ยนเบี้ยภาษีของผู้คนในแคว้นต้าฉู่ลดลงด้วยเพคะ” “อย่างแรกข้าพอเข้าใจ แต่อย่างที่สอง เรื่องปรับเบี้ยภาษีคงต้องผ่านหลายด่าน จะต้องมีผู้คัดค้านในราชสำนักเป็นแน่" "หากลดเบี้ยภาษีลงไม่ได้ ก็ให้ชาวเมืองจ่ายภาษีเป็นอาหารแห้งแทนเบี้ย หม่อมฉันว่าก็ดีนะเพคะ” นางยิ้มตอบ ใต้เท้าเหิงหลุดปากเอ่ยเสียงติดขัด "นะ นั่นยิ่งเข้าไปใหญ่เลยพ่ะย่ะค่ะ" "หากต้องการจะแก้ปัญหาอาชญากรรมในเมืองเหอหยวน ก็ต้องแก้ที่ต้นตอหลัก หากชาวเมืองมีความสุข การค้าขายครึกครื้น การเงินก็จะไม่ฝืดเคือง ปัญหาทุกอย่างก็จะทุเลาลง" นัยน์ตาของซือลี่หยางที่ทอประกายเจิดจ้า จ้องมองมาที่เยี่ยเทียนด้วยความคาดหวังอยู่ลึก ๆ เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าจะลองเอาความคิดของเจ้ามาตรองดูก็แล้วกัน” “ขอบพระทัยเพคะ” ซือลี่หยางคลี่ยิ้มงามและกะพริบตา ขณะกำลังเลื่อนสายตามองออกไปนอกศาลต้าหลี่ จู่ ๆ ภาพเหตุการณ์ตอนที่นางวิ่งไล่จับโจรก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองอีกครั้ง นางจึงตระหนักรู้ในครานั้นว่า นอกจากปัญหาเรื่องยากจนแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ไม่ว่าจะเป็นยุคอดีตหรือปัจจุบันก็ยังแก้ไม่ตก “แล้วก็...มีอีกเรื่องหนึ่งเพคะ” นางกล่าว เยี่ยเทียนขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย “มีอะไรงั้นหรือ” “ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันเห็นสตรีนางหนึ่ง ถูกปล้นถุงเงินไปต่อหน้าต่อตา ผู้ที่ทำเช่นนั้นก็เป็นบุรุษที่แข็งแกร่งกว่า หม่อมฉันคิดว่าสตรีอย่างเรา ๆ ควรจะมีวิชาป้องกันตัวเพคะ” คำพูดของซือลี่หยางทำให้เยี่ยเทียนและใต้เท้าเหิงหันมองมาที่นางเป็นตาเดียวกันด้วยความสงสัยใคร่รู้ “วิชาป้องกันตัวอย่างนั้นหรือ…” เยี่ยเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง ใบหน้าฉายความงุนงงเหลือประมาณ รอยยิ้มของซือลี่หยางหยักลึกขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงหนักแน่นว่า “ยูโดเพคะ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD