การปรากฏตัวของม่อเยี่ยนทำให้ซือลี่หยางระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้นางรู้สึกกลัดกลุ้มจนเกินไป
ในแต่ละวันที่ล่วงผ่าน นางที่เคยเอ่ยวาจาว่าจะปรับตัวเป็นชายาที่ดี ก็เอาแต่ขลุกอยู่แต่ในครัว พยายามเรียนรู้วิธีทำอาหารและขนมหวาน นำไปให้เยี่ยเทียนเพื่อเอาอกเอาใจพระสวามีอย่างสุดความสามารถ
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน...
ที่ ตำหนักบูรพา
อากาศยามบ่ายสดใส ไม่ร้อนมากจนเกินไป ในเขตพระราชฐานกิ่งเหมยโอนเอนไปมาลู่ลม ดอกเหมยสีชมพูเข้มอ่อนเจิดจ้าบานสะพรั่ง เติมเต็มสีสันให้พระตำหนักที่เงียบเหงางดงามดั่งรูปวาด
ท่ามกลางสายลมเย็นสบายที่พัดโชยมาหลายระลอก ซือลี่หยางยกมือจับปอยผมสีดำขลับ สายตาเหลือบมองขนมในจานกระเบื้องเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่มองก็จะแย้มยิ้มสดใส ครุ่นคิดอย่างสุขใจ
ขนมในจานนี้ไม่ต่างอะไรจากชีวิตของข้า กว่าจะมีรูปลักษณ์ที่น่าทาน ก็ล้วนแต่มีอดีตที่ไม่งดงามเท่าไรนัก โดนข้าบีบนวดทุบตี อยู่ในเตานึ่งที่ร้อนระอุ จนในที่สุดก็กลายเป็นรูปร่างสมบูรณ์แบบ
เฉกเช่นเดียวกับข้าในยามนี้...
วันเวลาล่วงไปรวดเร็วราวกับภาพฝัน หากข้ามัวแต่จมปลักอยู่กับอดีต แล้วจะพบเจอกับความสวยงามของชีวิตได้อย่างไร ความสุขวนเวียนอยู่รอบกายเรา และชีวิตข้าที่คล้ายกับเกิดใหม่ก็สมควรที่จะได้รับความสุขเหมือนกับผู้อื่น
หากมองเรื่องดี ๆ ในชีวิตยามนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ข้ากลายมาเป็นองค์หญิงรูปโฉมงาม ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์รูปทรงใด ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้นนี้ก็ดูจะสง่างามและเหมาะเจาะไปเสียหมด ยังไม่นับกับเรื่องฐานะมั่งคั่ง เป็นชายาขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ มีเงินทองรายล้อม มีบริวารรับใช้นับไม่ถ้วน หากข้าเข้ามาอยู่ในร่างของคนเร่ร่อนที่ต้องอดอยากปากแห้งหรืออยู่ในตระกูลใจดำอำมหิตก็ว่าไปอย่าง ถึงครานั้นค่อยมาร้องโอดครวญ เรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อสรวงสวรรค์
แม้เกือบจะถูกฆ่าตายมาแล้วก็ตาม…แต่การรอดตายมาได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีอีกเรื่องหนึ่ง!
“พระชายาเยว่ชิง...ช่างบังเอิญยิ่งนัก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอท่านที่นี่”
ขณะที่นางกำลังใจลอย เสียงนุ่มนวลเหมือนสายฝนที่พร่างพรมของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังแหวกเข้ามาในห้วงภวังค์
ซือลี่หยางหันมองตามต้นเสียง แล้วก็พบว่าเสียงนั้นมาจาก 'อ๋องหก' ใบหน้าของนางตื่นตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะดึงสติกลับมายิ้มน้อย ๆ ตอบ "ท่านอ๋อง...มาหาองค์รัชทายาทหรือเพคะ"
อ๋องหกผงกศีรษะเบา ๆ คลี่ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ กล่าวว่า "ใช่! ข้ามาหาท่านพี่"
"คงต้องรออีกสักประเดี๋ยวเพคะ องค์รัชทายาทน่าจะกำลังเดินทางมาที่ตำหนัก"
"พระชายาก็รอท่านพี่เหมือนกันหรอกหรือ" เขาถามกลับ
"เพคะ" ซือลี่หยางก้มหน้าตอบอย่างสำรวม
อ๋องหกยกยิ้มที่มุมปาก เอ่ยเชิญชวน "เช่นนั้น...เรามาเดินไปรอบ ๆ พูดคุยกันระหว่างรอท่านพี่ดีหรือไม่"
แววตาของซือลี่หยางไหววูบเล็กน้อย ริมฝีปากแดงเรื่อเม้มนิด ๆ ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าเบา ๆ ตอบตกลงอย่างไร้เสียง
ไม่ว่าจะเป็นเผิงฉู่เซียวในยุคสมัยไหน เขาก็ยังมีบุคลิกเข้าถึงง่ายและจิตใจดีเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
ขณะก้าวเท้าเดินอย่างช้า ๆ ซือลี่หยางที่รู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อยได้แต่ก้มหน้าก้มตา จ้องมองรองเท้าผ้าไหมสีม่วงครามของตนเอง นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก
ภาพในวันวานหวนเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง สิ่งที่นางทำในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองนั้น เป็นสิ่งไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง ทุกอย่างล้วนทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ หาได้ใช้สตินำพา ผลีผลามทำอะไรอย่างไม่ยั้งคิด
ซือลี่หยางในยามนี้ตระหนักแล้วว่า บุรุษผู้นี้เป็นท่านอ๋องสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง เป็นน้องชายของพระสวามี มิใช่อดีตสหาย ความรู้สึกผิดนานัปการเกาะกุมจิตใจอย่างห้ามไม่อยู่
"เรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานคืนวันนั้น ท่านอ๋องได้โปรดให้อภัยหม่อมฉันด้วย" ซือลี่หยางโพล่งเอ่ยด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
อ๋องหกชะงักงันเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงตอบ "เกิดอะไรขึ้นหรือ ข้าลืมไปแล้ว"
ซือลี่หยางขมวดคิ้วน้อย ๆ อย่างสงสัย เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง "ท่านอ๋องลืมไปแล้วจริง ๆ หรือเพคะ"
อ๋องหกผงกศีรษะรัว ๆ รอยยิ้มที่มุมปากหยักลึกขึ้นกว่าเดิม กล่าวว่า "ใช่! ข้าลืมไปหมดแล้ว บุรุษก็เช่นนี้ จำยากลืมง่าย พระชายาโปรดอย่าเอามาใส่ใจ แต่ถึงข้าไม่ลืม…ก็ไม่มีเหตุอันใดที่ข้าต้องโกรธพระชายาอยู่ดี"
วาจาของอ๋องหกกระจ่างแจ้ง ทำลายความอึดอัดที่คล้ายกับเกราะป้องกันมลายหายไปหลายส่วน กลายเป็นความโล่งโปร่งสบายเข้ามาแทนที่ราวกับก้อนเมฆที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า
ซือลี่หยางยิ้มบางกล่าว "ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เข้าใจหม่อมฉันเพคะ"
อ๋องหกส่งเสียงอื้มสั้น ๆ ตอบกลับมา หลังจากนั้นความเงียบงันก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงเหยียบย่ำเศษดอกไม้ใบไม้ที่เกลื่อนกลาดบนพื้นหินปูนและเสียงสวบสาบของอาภรณ์ที่เสียดสีกันไปมา ต่างคนต่างมองทัศนียภาพรอบด้าน ดื่มด่ำกับบรรยากาศงดงามในตำหนักบูรพาเสียมากกว่า
"ข่าวลือในรั้วพระราชวัง มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องโป้ปด เรื่องลือของท่านอ๋องล้วนถูกเสริมเติมแต่งทั้งสิ้น"
ถ้อยคำน่าฉงนของซือลี่หยาง ทำให้อ๋องหกบังเกิดความสงสัย เอ่ยถาม "ข่าวลือของข้าหรือ...ข่าวลือเรื่องใด"
ซือลี่หยางยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบ "ข่าวลือในวังหลวง พูดกันจนหนาหู ว่าท่านอ๋องไม่ค่อยเจรจา ไม่ค่อยยิ้มแย้ม คำพูดเหล่านั้นล้วนผิดทั้งสิ้น ตั้งแต่พูดคุยกันจนถึงบัดนี้ หม่อมฉันยังไม่เห็นท่านอ๋องหุบยิ้มเลยเพคะ"
อ๋องหกหัวเราะเสียงก้อง เสียงของเขาใสกังวานและเต็มไปด้วยความเบิกบาน ไพเราะน่าฟังอย่างยิ่ง ซือลี่หยางเห็นเช่นนั้นจึงยกแขนเสื้อปิดครึ่งหน้า หัวเราะเริงร่าตามไปด้วย
"ข้าวางตัวไม่ถูกเวลาที่อยู่กับคนหมู่มาก ใจจริงในหัวข้านึกถึงแต่เรื่องของโคลงกลอน ข้าชอบต่อโคลงกลอนในหัว พอใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนัก หัวคิ้วข้าก็ขมวดมุ่น ท่าทางจึงออกไปเช่นนั้น พวกเขาเอาไปนินทาก็หาใช่เรื่องแปลก"
ซือลี่หยางผงกศีรษะอย่างเข้าใจ พลางยิ้มตอบ "อย่างนี้นี่เอง...ตรงข้ามกับหม่อมฉันที่ทำหน้าเคร่งขรึมไม่เก่ง คงต้องเอาเคล็ดลับของท่านอ๋องมาใช้เสียแล้ว"
อ๋องหกยิ้มหัวเราะ กล่าวว่า "ไม่มีปัญหา ข้าเต็มใจให้พระชายานำไปใช้"
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาอย่างสนุกสนาน เสียงฝีเท้าหนักอึ้งหนึ่งก็พลันดังขึ้น เสียงกึ่งเดินกึ่งลากเท้า เคลือบคลานเข้ามาพร้อมกับรังสีอำมหิตเย็นเยียบ
"น้องหกกับชายาของข้า...มาทำอะไรกันอยู่ที่นี่" เยี่ยเทียนโพล่งถามเสียงขรึม ใบหน้าบึ้งตึงดุจม่านเข้ม
ทั้งสองหันหน้าไปมอง อ๋องหกหวนคืนสู่สีหน้าสุขุม ซือลี่หยางคลี่ยิ้มเจิดจ้าสดใสทันทีเมื่อได้เห็นเยี่ยเทียน
"คารวะท่านพี่สาม" อ๋องหกเอ่ยพลางประสานมือคำนับ
"ข้ารอท่านอยู่ตั้งนาน ขนมที่ข้าเตรียมมา แข็งกระด้างไปหมดแล้ว" ซือลี่หยางยื่นปาก เอ่ยกระเง้ากระงอด
เยี่ยเทียนปรับสีหน้าเป็นแย้มยิ้ม หันมามองนางด้วยแววตารักใคร่ "หยางเอ๋อร์...เจ้าช่างเป็นชายาที่ประเสริฐยิ่งนัก ไหนข้าขอลองชิมฝีมือของเจ้าที"
สิ้นประโยค เขาก็ไม่รั้งรอ รีบยื่นมือไปหยิบขนมหวานรูปทรงต่าง ๆ ในจานกระเบื้อง กัดเข้าไปในปากหนึ่งคำ ลอบอุทานในใจ
แข็ง….แข็งราวกับก้อนหินไม่มีผิด!
"ที่หม่อมฉันทำมาส่วนใหญ่เป็นถั่วเคลือบน้ำผึ้ง ขนมเปี๊ยะไส้เกาลัดและขนมโก๋สองสี ส่วนที่พี่เยี่ยเพิ่งกินเข้าไปคือ ถั่วเคอเถาตัดเพคะ" ซือลี่หยางอมยิ้มเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
เยี่ยเทียนพยายามกัดถั่วเคอเถาตัดอีกครั้ง ครั้งนี้เขาทำสำเร็จ ขนมก้อนหินนั้นทำเขารู้สึกเหมือนฟันจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เสียให้ได้
“อร่อยหรือไม่เพคะ” นัยน์ตาสีดำขลับของซือลี่หยางทอประกายระยับ จ้องมองไปที่เยี่ยเทียน เฝ้ารอคำตอบอย่างมีความหวัง
เยี่ยเทียนกะพริบตาปริบ ๆ แน่นิ่งไปชั่วขณะ ซือลี่หยางเห็นเช่นนั้นจึงทำหน้าปั้นปึ่ง ยื่นจานขนมหวานส่งให้อ๋องหกและเอ่ยเชิญชวน "ท่านอ๋อง ลองชิมดู แล้วบอกข้าทีว่าอร่อยหรือไม่"
อ๋องหกกระดกมุมปากยิ้ม เอื้อมมือไปหยิบขนมหวานด้วยแววตาเป็นประกาย ทว่าเยี่ยเทียนจับจานกระเบื้องดึงรั้งเอาไว้ ซือลี่หยางขมวดคิ้วมอง พลางถาม "มีอะไรหรือเพคะ"
"เจ้าตั้งใจทำมาให้ข้ามิใช่หรือ" เยี่ยเทียนถลึงตาตอบ
ซือลี่หยางยื้อยุดจานกลับ เอ่ยตอบ "องค์รัชทายาท ท่านไม่มีน้ำใจหรืออย่างไร ขนมตั้งเยอะ ท่านกินไม่หมดหรอก"
"ข้ากินหมด ข้าจะกินให้หมดนี่" เยี่ยเทียนเอ่ยย้ำเสียงหนักแน่น มือหนาที่จับจานกระเบื้องไม่มีท่าทีจะปล่อย ในที่สุดนางก็จนใจยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้กลับแฝงไปด้วยความปลาบปลื้มใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อได้จานขนมของชายาตนมาครองอย่างสมใจ อารมณ์ก็ดีขึ้นอย่างถนัดตา เขาเลื่อนสายตาไปที่อ๋องหกพลางถามด้วยสีหน้าผ่อนคลาย "แล้วเจ้าล่ะ...น้องหก วันนี้มีอะไรกับข้าหรือ"
อ๋องหกยิ้มบางตอบ "ข้าตั้งใจเข้ามาปรึกษาท่านพี่เรื่องปัญหาที่เมืองเหอหยวน"
หัวคิ้วของเยี่ยเทียนขมวดมุ่นเข้าหากันแน่น "เมืองเหอหยวนหรือ…"
"พ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินมาว่าเมืองเหอหยวนในยามนี้เกินเยียวยา มีปัญหามากมายที่สั่งสมคลั่งค้างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องโจรชุกชุม ชาวบ้านอยู่ในสภาพยากจนข้นแค้น เดิมทีเป็นหน้าที่ของท่านพี่หนึ่ง แต่ท่านพี่สุขภาพไม่ดี ไม่อาจเดินทางไกลได้บ่อยครั้ง หลังจากสละตำแหน่ง ก็ไม่มีผู้ใดมาสานต่อ"
เมื่อได้ยินคำว่าเดินทางไกล ซือลี่หยางก็หูผึ่ง ตามันวาวเป็นประกาย อยู่ในวังนี่อึดอัดจะตาย หากได้ออกไปข้างนอกวังบ้างคงจะกระปรี้กระเปร่าไม่น้อย
เยี่ยเทียนขบคิดครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เอ่ยอย่างสุขุม"เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง เจ้าอย่าได้กังวล อีกสามวันให้หลัง ข้าจะเดินทางไปที่เมืองเหอหยวนเพื่อคิดหาทางแก้ไขปัญหา"
อ๋องหกผงกศีรษะเบา ๆ มุมปากยกขึ้นขณะเอ่ย "ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อพูดคุยสะสางปัญหากันจนเสร็จสิ้น อ๋องหกก็ขอตัวลากลับตำหนัก ซือลี่หยางโบกไม้โบกมือให้เขา พลางแย้มยิ้มกล่าวคำอำลา
เยี่ยเทียนชำเลืองตามอง รู้สึกราวกับมีเปลวไฟโทสะเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นมาในใจ จู่ ๆ เขาก็โพล่งเอ่ยถามอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ "เจ้าอยากไปเมืองเหอหยวนกับข้าหรือไม่"
ซือลี่หยางนึกว่าตนเองหูฝาด จึงถามย้ำอีกครั้ง "วะ ว่าอย่างไรนะเพคะ"
เยี่ยเทียนลากเสียงยืดยาวตอบนางอย่างชัดถ้อยชัดคำ "ข้าถามว่า เจ้าอยากไปเมืองเหอหยวนกับข้าหรือไม่"
ซือลี่หยางกะพริบตาปริบๆ ขนตาดกงอนจึงไหวระริกตามไปด้วย เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาชวนออกไปเที่ยวเล่น ไม่สิ! ติดสอยห้อยตามออกไปต่างหาก แม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อเสนอของเขา ทำให้นางยิ้มออก...
"อยากไปเพคะ"