“ยูวว….โดวว…” เยี่ยเทียนห่อริมฝีปากจู๋ ลากเสียงยาว พยายามออกเสียงตามซือลี่หยางอย่างใจจดใจจ่อ
“ใช่เพคะ...อย่างนั้นแหละเพคะ..ยูโดวว” ซือลี่หยางสาธิตให้เขาทำตามอีกครั้ง ลอบหัวเราะอย่างขำขันในใจ นางในยามนี้เหมือนกำลังสอนเด็กหัดพูดอยู่ก็มิปาน ท่าทางที่จริงจังเช่นนั้นช่างขัดกับบุคลิกที่ดื้อรั้นและเย็นชาของเขาเสียเหลือเกิน
“ยูวว โดวว...ที่เจ้าว่านั้น หมายถึงวิชายุทธ์แขนงหนึ่งอย่างนั้นหรือ” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วถาม
“ใช่เพคะ” ซือลี่หยางเอ่ยพลางยืดแขนขาอบอุ่นร่างกาย ทั้งหมุนคอรอบทิศ ทั้งเอนกาย บิดตัวไปทางซ้ายที ไปทางขวาที ก่อนยืนตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
เยี่ยเทียนและใต้เท้าเหิงกะพริบตาปริบ ๆ จ้องมองนางด้วยความตกตะลึง
“ไหนใครอยากจะประลองยูโดกับหม่อมฉันดีเพคะ” ซือลี่หยางแย้มยิ้มถาม
เยี่ยเทียนอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะผายมือไปที่ใต้เท้าเหิง กล่าวว่า “เชิญใต้เท้าก่อนเลย”
ใต้เท้าเหิงรีบแย้งตัวสั่นเทา “ดะ ได้อย่างไรละพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมชรามากแล้ว ท่าทางที่มุ่งมั่นนั่น ดูแล้วพระชายาจะเอาถึงตายเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หากพวกท่านไม่ออกมา หม่อมฉันจะแสดงให้ดูได้อย่างไรเล่า หากเอ่ยเพียงปากเปล่า จะเชื่อกันหรอกหรือ” ซือลี่หยางเลิกคิ้วสูงพลางถาม
เยี่ยเทียนรีบเอ่ยเสียงติดขัด “ชะ เชื่อ ข้าเชื่อเจ้า...แล้วเจ้าจะทำอย่างไรกับวิชายูโจของเจ้า จะเผยแพร่อย่างนั้นหรือ”
ซือลี่หยางยิ้มกระหยิ่มที่มุมปาก พลางกล่าวชมเชย “ท่านพี่ทรงฉลาดหลักแหลมนัก! แล้วก็ไม่ใช่ ยูโจ...ยูโด ต่างหากเพคะ”
เยี่ยเทียนฉีกยิ้มเก้อกระดาก แก้คำ อีกครั้ง “นั่นแหละ ๆ ยูโดก็ยูโด”
“เรื่องนี้หม่อมฉันคงต้องพึ่งพระองค์แล้ว”
ซือลี่หยางเปรยออกมาเช่นนี้ เยี่ยเทียนก็พลันกระจ่างแจ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะกราบทูลท่านพ่อ เจ้าไปกับข้า ตกลงหรือไม่? ”
ณ ท้องพระโรง พระราชวังต้าฉู่
“ยูโดเพคะฝ่าบาท”
"จะ เจ้าพูดว่าอะไร" ฮ่องเต้กวังถงกล่าวถามเสียงตะกุกตะกัก
"ยู...โด...เพคะ" ซือลี่หยางขยับริมฝีปากขึ้นลง เอ่ยเสียงลากยาวมากขึ้นกว่าเดิม นางรู้สึกว่าวันนี้ นางพูดคำว่า 'ยูโด' นับครั้งไม่ถ้วน มันพูดยากตรงไหนกันนะ?
"หม่อมฉันจะนำกีฬายูโดมาผสมผสานกับศิลปะการป้องกันตัวแบบดั้งเดิมของจีนเพคะ"
"ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดเจ้าถึงปรารถนาจะทำเช่นนั้น แล้วยูโดที่เจ้าว่า...มีจริงหรือไม่" หว่างคิ้วของฮ่องเต้กวังถงขมวดแน่นเป็นรอยพับย่น
เยี่ยเทียนค้อมกายอย่างสำรวม เอ่ยเสริมขึ้น "เกิดวิกฤตครั้งใหญ่หลวงที่เมืองเหอหยวนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าไปตรวจสอบ ปัญหาส่วนใหญ่ล้วนเกิดมาจากการที่ผู้คนในเมืองเหอหยวนตกอยู่ในสภาวะยากจนข้นแค้น จึงมีโจรออกมาปล้นสะดม ชิงฆ่าลักทรัพย์บ่อยครั้ง จากข้อมูลส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่มีโครงสร้างร่างกายอ่อนแอกว่าย่อมถูกรังแก พระชายาจึงเสนอความคิดให้นำวิชาการต่อสู้ที่เหมาะกับสตรีออกมาเผยแพร่พ่ะย่ะค่ะ"
"เป็นอย่างที่องค์รัชทายาทกล่าวทุกประการเพคะ...หมัดใต้เท้าเหนือ กระบองใต้หอกเหนือ วิทยายุทธเส้าหลิน อู่ตังเหมิน กระบี่ไท้เก๊ก มวยหย่งชุน ล้วนเป็นศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิม หม่อมฉันมิได้คิดทำลาย ทว่าสิ่งที่ต้องการจะถ่ายทอดคือทั้งหมดในชีวิตของหม่อมฉัน คือสิ่งที่หม่อมฉันตั้งใจเล่าเรียนมาทั้งชีวิต หากสตรีบอบบางอย่างหม่อมฉันทำได้ สตรีในใต้หล้าก็สามารถทำได้เช่นกันเพคะ" ซือลี่หยางเอ่ยสีหน้าจริงจังพลางก้าวเท้าเดินวนไปมาช้า ๆ
"แต่สตรีไม่สมควรต้องมีวิชายุทธ์" ฮ่องเต้กวังถงยืนกรานเสียงแข็ง
ซือลี่หยางรีบแย้ง "แต่สตรีก็ไม่สมควรที่จะถูกรังแกหรือทำร้ายร่างกายเช่นกันเพคะ"
วาจาเหน็บแนมของซือลี่หยาง ทำให้ฮ่องเต้กวังถงนิ่งอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
นางกล่าวต่อ "หากฝ่าบาททรงมองการณ์ไกล ในภายภาคหน้า หากมีศึกเข้ามารุกรานแคว้นต้าฉู่ พวกนางนี่แหละเพคะ ที่จะทิ้งเข็มปักผ้าในมือ หันไปจับมีดและดาบแทน"
ซือลี่หยางพยายามยกเหตุผลนานัปการมาโน้มน้าวใจฮ่องเต้กวังถงอย่างสุดความสามารถ ความรู้ยูโดที่ติดตัวมา หากได้นำมาเผยแพร่ คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้คนไม่น้อย ตรงกันข้าม หากเก็บซ่อนและทำเป็นลืมไป ในที่สุดก็จะสูญสลายไปตามกาลเวลา
ความอึมครึมราวกลับเมฆหมอกปกคลุมท้องพระโรงฉับพลันนั้น
ครานี้วาจาของซือลี่หยางจับใจ ฮ่องเต้กวังถงแน่นิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย "พระชายาเยว่ชิง...ข้าจะเชื่อฝีมือการต่อสู้ของเจ้าได้อย่างไร"
สิ้นเสียง ซือลี่หยางก็พลันหันศีรษะเล็กมองไปที่หน้าประตูท้องพระโรง หงายฝ่ามือกวักเรียกให้ทหารหนุ่มเรือนร่างสูงโปร่งเข้ามาหา ตะโกนสั่งการว่า "วิ่งเข้ามาทำร้ายข้า!"
ทหารหนุ่มเบิกตากว้างโต สั่นศีรษะ ยืนกรานปฏิเสธ "มะ มิได้พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อไม่ยอมทำตามคำสั่ง ซือลี่หยางจึงตะเบงเสียงสั่งการอีกครั้ง “ข้าบอกให้วิ่งเข้ามาอย่างไรเล่า!!”
ทหารหนุ่มสะดุ้งเฮือก อกสั่นขวัญแขวน เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มศีรษะ แม้แต่ฮ่องเต้กวังถงและเยี่ยเทียนก็ยังลอบสะดุ้งตกใจ ท่าทางของนางยามนี้ราวกับถูกวิญญาณนักสู้เข้าสิงก็มิปาน
เมื่อถูกสายตากดดันจับจ้องอยู่เนิ่นนาน ในที่สุุด ทหารหนุ่มร่างสูงโปร่งก็จำยอมทำตามคำสั่งนางอย่างจนใจ เขาหลับตาแน่นสนิท สับขารัว ๆ พุ่งกายไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!!!!!!!!”
เสียงแหบพร่ากลัวตายดังสะท้อนก้องทั่วทั้งท้องพระโรง เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างของทหารหนุ่มที่วิ่งตึง ๆ เข้ามาก็ถูกฉุดกระชากรุนแรง ก่อนที่จะถูกซือลี่หยางเข้าไปประชิดตัวอย่างว่องไว
การเคลื่อนไหวในแต่ละกระบวนท่าของนางราวกับหยุดเวลาเอาไว้ชั่วขณะ การรุก การถอย การหมุนตัว มิได้แข็งกร้าว ทว่าเป็นธรรมชาติอ่อนพลิ้วราวกับกิ่งหลิวที่ต้องลม เป็นความงดงามที่แข็งแกร่งและเปี่ยมเสน่ห์ สะกดสายตาผู้คนราวกับตกต้องอยู่ในห้วงแห่งภวังค์
กะพริบตาอีกที ร่างของทหารหนุ่มผู้นั้นก็ถูกทุ่มลงบนพื้นเรียบร้อยแล้ว
“โอ๊ยย ย!!!!” เสียงร้องครวญครางดังก้องอีกเป็นระลอกที่สอง ทหารหนุ่มขดตัวงอ ใบหน้ายับยู่ฉายแววเจ็บปวดเหลือประมาณ
เยี่ยเทียนตะลึงงัน ส่วนลึกของดวงตาสีอำพันมีประกายเจิดจ้าไหลวนช้า ๆ ภาพเบื้องหน้ายิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่จินเฮ่าเคยกล่าวรายงาน หาใช่เรื่องโกหก ทว่าเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น!
ฮ่องเต้กวังถงอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว แน่แล้วว่าเขาไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่น่าทึ่งเช่นนี้มาก่อน
ซือลี่หยางค่อย ๆ หยัดตัวยืนขึ้นด้วยท่วงท่างามสง่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง “เป็นความจริงที่คนร่างใหญ่โตกว่า มีพละกำลังมากกว่าย่อมได้เปรียบในการต่อสู้ ทว่าไม่จริงเสมอไป หากคนร่างใหญ่ดึงดันที่จะใช้พละกำลังที่เกินตัว ไม่มีไหวพริบปฏิภาณ คนร่างเล็กก็สามารถเอาชนะได้ เฉกเช่นกับทหารผู้นี้ที่หมายจะพุ่งชนหม่อมฉัน ในการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วปานนั้น หากหม่อมฉันมิได้ใช้สติก็คงจะพ่ายแพ้ ทว่าหม่อมฉันมีสติ สามารถมองเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ในที่สุดหม่อมฉันก็สามารถเอาชนะทหารผู้นี้ได้เพคะ”
ฮ่องเต้กวังถงปรบมือและหัวเราะเสียงก้องด้วยความชอบใจ หันไปเอ่ยกับบุตรชาย “รัชทายาท…เจ้าได้เพชรเม็ดงามในมือมาครองแล้ว”
เยี่ยเทียนก้มศีรษะต่ำ ระบายยิ้มอ่อนจางที่มุมปากเล็กน้อย
ตรงกันข้ามกับซือลี่หยาง เมื่อได้ยินคำชมชอบก็ยิ้มไม่หุบ เอ่ยถามต่อ “หากหม่อมฉันจะเผยแพร่วิชายุทธิ์นี้ได้แก่สตรีในใต้หล้า เริ่มจากในวังหลังก่อน ฝ่าบาทจะทรงคัดค้านหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้กวังถงยิ้มตอบอย่างไม่ลังเลใจ “ความตั้งใจของเจ้าล้วนสร้างประโยชน์แก่ผู้คนในหมู่มาก เอาเถิด…ลองดูก็ไม่เสียหาย”
ซือลี่หยางแย้มยิ้มดีใจ รีบย่อกายคำนับหน้าพระพักตร์ทันที พลางกล่าว “ขอบพระทัยในพระกรุณาของฝ่าบาทเพคะ”