อีกฟากหนึ่งของวังหลวง
หลังจากที่ซือลี่หยางกลับมาถึงพระตำหนักเฟิงยวี่ สายตากระจ่างคมกริบของนางก็พลันมองไปเห็นบุรุษรูปร่างสันทัดผู้หนึ่งกำลังยืนป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณหน้าประตู ด้วยความสงสัยจึงสั่งการให้อิงลั่วพาเขาเข้ามาคุยด้านใน
นางไม่รู้ว่าเขาคือ 'ม่อเยี่ยน' บุตรชายของเสนาบดีอู๋หรงเป่ย
ม่อเยี่ยนฉีกยิ้มกว้าง มีท่าทางสนิทสนม เนิ่นนานก็ไม่มีทีท่าว่าจะแสดงความเคารพ เห็นเช่นนั้นนางก็อดมองเขาอย่างประหลาดใจมิได้
"เยว่ชิง...เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่"
เขาเรียกข้าว่า...เยว่ชิงอย่างนั้นหรือ?
แล้วคำทักทายแรกที่เปล่งออกมาจากปากของเขา ก็ตอกย้ำว่านางไม่ได้คิดผิด
ซือลี่หยางกะพริบตาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อย ภายใต้แสงอาทิตย์ดูเหมือนผีเสื้อคู่หนึ่งกำลังกระพือปีกงาม
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นใคร แต่หากแสดงท่าทีห่างเหินออกไป ก็จะถือว่าเป็นการเสียมารยาท
คิดได้ดังนั้น นางจึงยิ้มน้อย ๆ เอ่ยตอบด้วยสีหน้าผ่อนคลาย "ข้าสบายดี แล้วท่านเล่า...สบายดีเหมือนกันหรือไม่"
ม่อเยี่ยนอมยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากพลางเอ่ย "ข้าสบายดี หลังจากที่ศึกตะวันออกสงบลง ข้าก็ได้กลับมาพักที่วังหลวงนานขึ้น"
เอ่ยจบ เขาก็ใช้มือหนาสอดเข้าไปในอกเสื้อ คว้าจับกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา แล้วจึงส่งยื่นให้นางดู
ซือลี่หยางเพ่งมองอย่างพิจารณา กระดาษแผ่นนั้นว่างเปล่า มีเพียงรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวดวงเล็ก ๆ ดวงหนึ่งตรงกลางเท่านั้น
นางไม่เข้าใจความนัยที่เขาต้องการจะสื่อ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยถามเพราะความสงสัย ม่อเยี่ยนก็โพล่งเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"ข้าได้ยินมาว่า เจ้าหายตัวไปจากตำหนัก ...คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ"
คืนนั้นหรือ?
คืนที่หายตัวไป คงเป็นคืนเดียวกับที่ข้าตื่นขึ้นมากลางป่าอย่างนั้นสินะ...
ในใจของนางครุ่นคิด แม้แต่ชื่อแซ่ของชายผู้นี้นางยังไม่รู้จัก จู่ ๆ จะให้นางเชื่อใจได้อย่างไร แม้เขาจะเอ่ยอย่างสนิทสนม ทว่าในรั้วพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ ก็ไม่มีผู้ใดน่าไว้ใจเลยแม้แต่คนเดียว อยากให้เล่าทุกอย่างให้ฟัง คงจะขอกันง่ายเกินไปกระมัง
"ข้า...ข้าจำอะไรไม่ได้เลย...โอ๊ย!" ซือลี่หยางแสร้งเอามือกุมขมับ ทำหน้ายับยู่ร้องเสียงโอดครวญไม่หยุด
ม่อเยี่ยนเห็นเช่นนั้น จึงถามอย่างประหลาดใจ "เยว่ชิง...เจ้าเป็นอะไรไป"
"โอ๊ยยย!!!" นางส่งเสียงร้องดังมากขึ้นกว่าเดิม เอ่ยต่อน้ำเสียงติดขัด "ขะ ข้าปวดหัว พอนึกถึงเหตุการณ์คืนนั้น ข้าก็ปวดหัวทุกครั้ง หลังจากกลับวังหลวงมา ข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย"
เอ่ยจบ นางก็ทำท่าทีเหมือนจะล้มตึงลงไปบนพื้น ม่อเยี่ยนรีบถลาตัวเข้าไปพยุง เค้นถามต่ออย่างไม่ย่อท้อ "แล้วเจ้า พอจะจำอะไรได้หรือไม่ เจ้ากลับมาจากที่ไหน พบเจอผู้ใดมาบ้าง"
ซือลี่หยางทำท่ากลอกตานึกคิด เพียงไม่นาน ก็กลับมาร้องเสียงหลงอีกครั้ง "ป่า...โอ๊ย..ป่ากระมัง"
"ป่าหรือ…" ม่อเยี่ยนเอ่ยพลางขมวดคิ้วแน่น
ทันใดนั้นเอง อิงลั่วที่กำลังเดินถือกาน้ำชาผ่านมาพอดี เมื่อเหลือบแลเห็นนายหญิงของตนกำลังอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก นางก็รีบวิ่งกุลีกุจอเข้ามาหาด้วยท่าทางตื่นตระหนก "พระชายา! เกิดอะไรขึ้นเพคะ"
"อิงลั่ว...ช่วยข้าที ข้าปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว" ซือลี่หยางขยับริมฝีปากเรียวบางพูดด้วยท่าทีอ่อนแรง
ได้ยินเช่นนั้น อิงลั่วก็รีบเข้าไปจับประคอง พานายหญิงของตนกลับไปพักผ่อนในเรือนทันที
ม่อเยี่ยนมองตามหลังนางดวงตาเป็นประกาย ซือลี่หยางหันไปเอ่ยกับเขาอย่างเร็ว ๆ ก่อนจะเดินจากไปว่า "วันนี้ข้าขอโทษที่ไม่สะดวกคุยกับท่าน วันหลังค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน"
หลังจากนั้น ร่างบางก็ค่อย ๆ ห่างหายไป ม่อเยี่ยนทุบกำปั้นตีขาตนเองอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ เฝ้ารอนางกลับมาจากป่าอย่างอดทนเนิ่นนานหลายวัน วันนี้แทนที่เขาจะได้อะไรจากนาง ทว่ากลับจับคว้าได้แต่เพียงความว่างเปล่า เสียเวลา เสียอารมณ์ยิ่งนัก!
ครั้นเมื่อประตูเรือนไม้หนานมู่ปิดลง อิงลั่วก็รีบเข้าไปถามซือลี่หยางด้วยความสงสัยทันที
"เกิดอะไรขึ้นเพคะ...เมื่อครู่พระชายาถูกข่มขู่หรือไม่เพคะ"
คิ้วเรียวบางของซือลี่หยางขมวดมุ่นเข้าหากัน เอ่ยตอบ "ข่มขู่หรือ…เปล่าเสียหน่อย แต่เขาดูไม่น่าไว้วางใจ ข้าก็เลยคิดปลีกตัวออกมา"
อิงลั่วพยักหน้า พลางตอบเสียงเนิบช้า "เข้าใจแล้วเพคะ”
"แล้วบุรุษผู้นี้เป็นใครกัน สนิทสนมกับเยว่ชิงมากเพียงใด"
อิงลั่วก้มศีรษะจนต่ำ เม้มปากเอ่ยเสียงเรียบ "บุรุษผู้นี้คือ 'ม่อเยี่ยน' เพคะ เป็นบุตรชายของเสนาบดีอู๋หรงเป่ย มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติห่าง ๆ ของพระชายา ส่วนเรื่องความสนิทสนมนั้น หม่อมฉันเคยเห็นช่วงหลายเดือนให้หลังมานี้ เขาแวะเวียนมาพูดคุยกับพระชายาบ่อยครั้ง หม่อมฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่แน่ชัดเพคะ"
"อย่างนั้นหรือ…" ซือลี่หยางพยักหน้าเบาๆ ขบคิดเสร็จ จึงกล่าวต่อ "เช่นนั้น เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับนายหญิงของเจ้าอีกบ้าง นางเคยเล่าอะไรให้เจ้าฟังบ้างหรือไม่"
อิงลั่วนิ่งคิดครู่ใหญ่ ก่อนจะเบิกตาโตคล้ายกับนึกคิดอะไรบางอย่างออก
ซือลี่หยางเห็นอิงลั่วตาเป็นประกาย จึงรีบถามอย่างมีความหวัง "ว่าอย่างไร...นางเคยบอกอะไรกับเจ้าหรือไม่"
"ถ้าเรื่องของม่อเยี่ยน...หม่อมฉันไม่เคยได้ยินเพคะ หม่อมฉันเคยได้ยินแต่เพียงคำพูดตัดพ้อ อย่างเช่น อยากหนีไปให้ไกล ไม่อยากแต่งงานกับองค์รัชทายาท ทุกครั้งที่เอ่ย พระชายาก็มักจะดีดพิณและวาดภาพลงในกระดาษเพคะ"
การที่นางไม่อยากแต่งงานกับถูกลอบฆ่ากลางป่า จะเชื่อมโยงกันได้อย่างไร ข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
ซือลี่หยางดึงความคิดเลื่อนลอยกลับมา ก่อนจะถามต่อ "แล้วตอนนางอยู่ที่นี่...นางได้จับพู่กันบ้างหรือไม่"
อิงลั่วหลุบตาตอบ "เวลาทุกข์ใจพระชายายังทำเช่นเดิมเพคะ ยังคงนำพิณมาดีด นำพู่กันมาวาดรูปเพื่อคลายทุกข์โศกเพคะ"
"เช่นนั้น...ข้าขอดูรูปวาดเหล่านั้นได้หรือไม่"
"เพคะ" อิงลั่วขานรับอย่างสำรวม หมุนตัวเดินออกไป ก่อนจะกลับมาพร้อมกับม้วนภาพวาดม้วนหนึ่ง ส่งยื่นให้นาง "นี่เพคะ"
ซือลี่หยางยื่นมือรับ ประคองม้วนภาพเอาไว้ในมือครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ภาพออกอย่างเชื่องช้า
ภาพดอกบัวเดือนสาร์ทงดงามอ่อนช้อย
แม้จะเคยผ่านตาภาพวาดจิตรกรรมงดงามมามากมาย แต่นางก็พูดได้อย่างเต็มปากว่า เยว่ชิงผู้นี้มีพรสวรรค์เรื่องการวาดภาพยิ่งนัก ลายเส้นที่มั่นคง การลงสีด้วยหมึกที่ดูสบายตา เงาสะท้อนของปลาตัวน้อยที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำเคลื่อนคล้อยราวกับมีชีวิต
ทว่านางก็ยังมองไม่ออกอยู่ดี ว่าไป๋เยว่ชิงผู้นี้ซ่อนนัยอันใดแอบแฝงเอาไว้ หรือว่า...แท้ที่จริงแล้ว นางเพียงวาดภาพเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น
"ภาพเหล่านี้ข้าขอก็แล้วกัน" ซือลี่หยางเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย
อิงลั่วยิ้มตอบ "เหตุใดจะไม่ได้กันละเพคะ อย่างไรภาพเหล่านี้ก็เป็นของพระชายาอยู่ดี"
สิ้นเสียง ซือลี่หยางก็ก้มหน้าเพ่งพิศสายตาไปยังรูปวาดนั้นอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดอย่างประหวั่น เยว่ชิง...ชีวิตของเจ้าเจออะไรมากันแน่ ช่วยบอกให้ข้ารู้ทีได้หรือไม่?
ณ จวนเสนาบดีอู๋หรงเป่ย
"ท่านพ่อ...นางจำอะไรไม่ได้เลยขอรับ"
สิ้นเสียงเอ่ยรายงานของม่อเยี่ยน หว่างคิ้วของอู๋หรงเป่ยก็พันขมวดแน่นเป็นอักษรรูปตัวชวน ตอบกลับเสียงเคร่งขรึม "เจ้าหมายความว่าอย่างไร นางจำอะไรไม่ได้ ช่วยพูดให้กระจ่าง!"
ม่อเยี่ยนไล่เรียงต้นสายปลายเหตุในใจ ก่อนจะเอ่ยตอบ "ดูเหมือนความทรงจำของนางจะขาดหายไปหลังจากที่เกิดเหตุในคืนนั้นขอรับ"
"เป็นไปได้อย่างไร!" อู๋หรงเป่ยถลึงตาถาม
ม่อเยี่ยนอึกอักตอบ "ตอนข้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น นางตอบว่าจำอะไรไม่ได้ แม้แต่สายตาของนางยามมองมาที่ข้าก็ไม่เหมือนเก่า เหมือนมองคนแปลกหน้า ดูประหลาดพิกล ข้าคิดว่านางไม่ได้โกหกขอรับท่านพ่อ"
อู๋หรงเป่ยกัดฟันเอ่ยเสียงเย็น "แล้วเจ้าหลุดปากเรื่องสังหารองค์รัชทายาทหรือไม่"
ม่อเยี่ยนส่ายศีรษะเบา ๆ พลางตอบว่า "ไม่ขอรับ หากข้าปรารถนาจะถาม ข้าจะหยิบกระดาษที่มีสัญลักษณ์พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวให้นางดู ทว่านางกลับมีสีหน้าสงสัย ข้าจึงยั้งคำพูดเอาไว้ก่อน พอรู้ว่านางความทรงจำขาดหายไป ข้าก็กระจ่างแจ้งในเวลาต่อมา"
อู๋หรงเป่ยถอนหายใจเฮือกยาว ใบหน้านิ่งงันไร้ความรู้สึก ทว่าแววตากลับซ่อนความวิตกกังวลเอาไว้อยู่
ม่อเยี่ยนย่อมรู้จักบิดาดี…
"ท่านพ่อจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ"
อู๋หรงเป่ยชำเลืองตามองบุตรชายพลางกล่าว "อ๋องห้าบอกให้ข้าใช้นางจนกว่าจะหมดผลประโยชน์ แต่ในเมื่อนางจำอะไรไม่ได้ ก็ปล่อยนางไปก่อน ถึงอย่างไร จะช้าหรือเร็ว ข้าก็ต้องกำจัดนางทิ้งอยู่ดี"
"แล้วท่านพ่อคิดว่านางจะบอกความจริงกับรัชทายาทหรือไม่ขอรับ"
อู๋หรงเป่ยนิ่งเงียบไป เนิ่นนานจึงเอ่ย "รัชทายาทไม่ได้โง่ และข้าก็รู้ดีว่านางไม่มีทางทำเช่นนั้น เพราะหากความทรงจำกลับมา นางก็คิดหาหนทางหนีออกไปช่วยชู้รักของนางอยู่ดี"
ม่อเยี่ยนกระตุกมุมปาก แค่นเสียงหยัน "จริงด้วยขอรับ ข้าว่าคืนนั้นนางคงเกิดเปลี่ยนใจไม่ฆ่าองค์รัชทายาทขึ้นมา แล้วหนีเข้าป่าไปช่วยอาจิ้น ชู้รักของนางมากกว่า หึ! ช่างโง่เง่าสิ้นดี! สตรีบอบบางอย่างนั้นจะไปช่วยผู้ใดได้..."
อู๋หรงเป่ยคิดเช่นเดียวกับบุตรชาย ชีวิตของนางไม่ต่างอะไรจากลูกนกปีกหักในกำมือของเขา ที่นอนรอวันตายอย่างน่าอนาถ ไม่มีอำนาจต่อรองใดใดทั้งสิ้น
"ใช่! นางโง่เง่าไม่มีผิด" เขาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม หัวเราะเสียงเย็นด้วยความสะใจ "รอดูเอาเถิด...ม่อเยี่ยน หากอ๋องห้าได้เป็นรัชทายาทและครองราชย์เป็นกษัตริย์ ในที่สุดตระกูลเราก็จะมีอำนาจเหนือผู้ใดในราชสำนัก และวันนั้นข้าจะกำจัดเสี้ยนหนามทุกตัวที่เคยจ้องเล่นงานพวกเราให้ไม่เหลือซาก!!!"