แอลลี่นั่งเครื่องบินจากสนามบินสุวรรณภูมิในตอนสายของเช้าวันหนึ่ง เครื่องบินโดยสารลำเล็กของสายการบินโลว์คอสต์ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสนามบินนานาชาติกัตไบของเวียดนาม
“แม่คะ…”
ทันทีที่รถแท็กซี่ส่งเธอจนถึงหน้าบ้าน แอลลี่เรียกมารดาที่นั่งเหม่อลอยอยู่ภายในบ้านไม้ชั้นเดียว ตรงเก้าอี้ในมุมที่เงียบเหงา สภาพของบ้านที่เธอเคยอยู่อาศัยมีสภาพคล้ายห้องแถวเก่าของชุมชนชาวจีนย่านเยาวราช
“แอลลี่…นั่นแอลลี่ใช่ไหมลูก”
มารดาของแอลลี่มีชื่อว่าฝานถินา หล่อนเรียกชื่อลูกสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออยู่ในลำคอ
สองมือค่อยๆ เอื้อมออกไปกลางอากาศ เหมือนไขว่คว้าไปตามทิศทางที่มาของเสียง ก่อนจะอ้าวงแขนออกรับร่างบอบบางของลูกสาวที่โผเข้ากอดกันแนบแน่น
“แม่สบายดีไหมคะ…คิดถึงแม่จัง”
“สบายดีจ้ะลูก…หนูล่ะจ๊ะ เป็นไงบ้าง”
ถามพลางยกมือขึ้นสัมผัส ลูบไล้ใบหน้าของลูกสาวเบาๆ
“หนูได้งานทำแล้วค่ะ…”
“ดีจัง…งานที่เวียดนามใช่ไหม จะได้กลับมาอยู่บ้านเราเสียที แม่อยากให้หนูอยู่ใกล้ๆ ไม่อยากให้ไปอยู่เมืองไทยเลยสักนิด”
ฝานถินาเผยความรู้สึกกับลูกสาวอย่างตรงไปตรงมา
อดีตที่เคยฝังใจเจ็บกับผู้ชายไทย ทำให้หล่อนพานหวาดกลัวไปเสียหมด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วผู้คนก็มีดีชั่วปะปนกันไป
“ไม่ใช่งานที่เวียดนามค่ะ…หนูได้งานที่เมืองไทย”
“อะไรนะ…”
ฝานถินาตกใจ
แอลลี่รู้ว่าสาเหตุที่มารดามีท่าทีตกใจกับเรื่องที่ได้รู้ ก็เป็นเพราะว่าเธอเคยเกริ่นเอาไว้ว่าจะกลับมาหางานทำที่เวียดนาม แต่โชคชะตาก็ชักพาให้เธอได้งานทำที่ BK Paradise Hotel เสียก่อน
“งานอะไรหรือลูก”
ฝานถินาสงสัย
“เอ่อ…งานประชาสัมพันธ์ในห้างสรรพสินค้าค่ะ”
แอลลี่จำต้องโกหกออกไปเช่นนั้น เพื่อให้มารดาของเธอสบายใจ ซึ่งก็ได้ผล เมื่อฝานถินาระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
“แล้วนี่ป้าเหวียนไปไหนคะ…”
แอลลี่รีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามถึงญาติห่างๆ ที่มาอยู่อาศัยร่วมบ้าน
แรกเริ่มเดิมทีป้าเหวียนเป็นชาวนายากจน แกอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัด ภายหลังจากสามีเสียชีวิตก็ครองตัวเป็นม่ายและอาศัยอยู่คนเดียวเรื่อยมาเพราะไม่มีลูก
กระทั่งแอลลี่รู้ข่าว จึงตัดสินใจชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน เพราะอยากให้ป้าเหวียนช่วยดูแลฝานถินาผู้เป็นมารดา ขณะที่เธอต้องไปทำงานอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งป้าเหวียนก็ไม่ขัดข้อง แอลลี่ยังจ่ายเงินเดือนให้แกอีกด้วย ถือเป็นค่าจ้างที่ช่วยดูแลมารดาของเธอซึ่งดวงตาทั้งสองข้างมองไม่เห็น
“ป้าเหวียนไปตลาดจ้ะลูก…แล้วก็เอาหมวกไหมพรมถักไปขายด้วย”
ฝานถินาตอบเบาๆ
“นี่แม่ยังไม่เลิกถักไหมพรมอีกหรือคะ”
“ไม่ได้เหนื่อยอะไรนักหนา อย่าปล่อยให้คนตาบอดอย่างแม่ต้องหายใจทิ้งไปวันๆ อย่างไร้ค่า แม่เองก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ อะไรที่ช่วยได้แม่ก็อยากช่วย จะปล่อยให้ลูกหาเงินอยู่คนเดียวได้ยังไง…”
อันที่จริงงานถักหมวกไหมพรมมีความหมายต่อฝานถินามาก นอกจากจะเอาไปขายแลกเงิน…มันยังเป็นงานอดิเรกที่ทำให้ผู้หญิงตาบอดคนหนึ่งมีชีวิตข้ามผ่านความพิการทางสายตามากระทั่งถึงทุกวันนี้
สมาธิในการถักไหมพรมช่วยทำให้ดวงจิตที่ผูกใจเจ็บกับเรื่องราวในอดีตเริ่มทุเลาลง และฝานถินาก็เริ่มทำใจ ยอมรับว่าเรื่องที่ผ่านมานั้นเป็นเคราะห์กรรมที่เธอคงทำเอาไว้เมื่อชาติปางก่อน
“ตามใจแม่เถอะค่ะ…แต่อย่าทำงานหนักมากนะคะ หนูอยากให้แม่พักผ่อน”
“มันไม่ได้เหนื่อยอะไรนักหนา…เรื่องพักผ่อนไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ เวลานอนของคนเรายังมีอีกมากมายในหลุมศพ”
ฝานถินากล่าวเหมือนเป็นเรื่องขบขัน
แต่แอลลี่มองหน้ามารดาด้วยแววตาที่ไม่รู้สึกถึงความตลกเลยสักนิด
“ไม่เอาค่ะ…ไม่พูดถึงเรื่องเป็นเรื่องตาย หนูซื้อเสื้อสวยๆ ซื้อน้ำหอม ครีมบำรุงผิวมาฝากแม่ด้วยค่ะ”
หญิงสาวหันไปหากระเป๋าสัมภาระที่หอบหิ้วเอามาจากเมืองไทย
“จะซื้อมาทำไมให้เสียเงินเสียทอง…ต่อให้เสื้อผ้าสวยแค่ไหนตาแม่ก็มองไม่เห็น ครีมบำรุงผิวแม่ก็มีอยู่แล้ว ทุกวันนี้ป้าเหวียนยังแซวว่าตัวแม่ขาวจนซีดหมดแล้ว ก็จะไม่ขาวได้ยังไง วันๆ แทบไม่ได้ออกไปเจอแดดเจอลม หนูก็รู้ว่าแม่อยู่แต่ในบ้านทุกวัน แทบไม่ได้ออกไปไหนเลย”
ฝานถินาตอบไปตามความจริง สิ่งที่ได้ยินทำให้แอลลี่รู้สึกสงสาร
“รออีกหน่อยนะคะแม่…หนูกำลังเก็บเงิน หนูสัญญาว่าจะหาเงินมารักษาดวงตาของแม่ให้ได้ หนูอยากให้แม่กลับมามองเห็นอีกครั้ง”
แอลลี่กล่าวเสียงเครือ
แม้ว่าดวงตาของฝานถินาจะมองไม่เห็น แต่หยาดน้ำตาอุ่นๆ ของลูกสาวที่หล่นลงกระทบหลังมือของหล่อน ก็ทำให้ฝานถินารู้สึกสะเทือนใจ ตื้นตันกับคำมั่นสัญญาที่ลูกสาวเอ่ยออกมาหนักแน่น
ด้วยรู้ว่าแอลลี่มีความตั้งใจจริง และกำลังพยายามหาเงินด้วยการทำงานหนักสารพัด เพื่อมารักษาดวงตาของหล่อนที่มืดบอดทั้งสองข้าง
“จะมองเห็นอีกครั้ง…หรือไม่เห็น ก็ไม่สำคัญสำหรับแม่แล้วล่ะลูก…แม่ถือว่ามันเป็นกรรมเก่าที่แม่กำลังชดใช้ ชาติที่แล้วแม่อาจจะไปก่อกรรมทำเข็ญกับเขาเอาไว้ก่อน”
ฝานถินากล่าวด้วยน้ำเสียงปลดปลงต่อชีวิต
นึกขอบคุณสวรรค์ที่ไม่โหดร้ายจนเกินไป แม้ดวงตาทั้งสองข้างจะมืดบอด แต่อย่างน้อยหล่อนก็ยังมีลูกสาวเป็นดวงใจ แอลลี่คือเหตุผลเดียวที่ทำให้ฝานถินาอยากมีชีวิตอยู่
“รออีกไม่นานหรอกค่ะแม่ คนที่ทำกรรมเอาไว้จะต้องชดใช้กรรม ถ้าวงล้อแห่งกรรมมันหมุนช้านักล่ะก็…หนูจะเร่งให้มันหมุนเร็วขึ้น”
แอลลี่โพล่งออกมาด้วยความพลั้งเผลอ
“อะไรนะลูก…”
ผู้เป็นมารดารู้สึกตกใจ เมื่อน้ำเสียงของลูกสาวเปลี่ยนไปจนหล่อนแทบจำไม่ได้
“ปละ…ปละ เปล่าค่ะ หนูบอกว่ากรรมใดใครก่อ…กรรมนั้นย่อมตอบสนอง”