ขะ...ข้าบอกว่าข้าหาใช่ข้าราชบริพาร

1829 Words
องค์นวินเดาไปอย่างนั้นแล้ว และเชื่อสนิทใจเสียด้วยเพราะรูปลักษณ์ของยักษาที่เห็นตรงหน้าช่างงามงดหยาดฟ้ามาดินดั่งคำเล่าลือที่เคยได้ยินมา เพียงมองคราแรกก็ชวนให้หลงใหลได้ไม่ยาก สง่างามเสียจนแลคล้ายกับว่ามีแสงสีทองเรืองรองเปล่งประกายออกมาจากเรือนกายนั้น ทำเอาองค์นวินที่คิดวุ่นวายอยู่เมื่อครู่ตะลึงงัน ก้าวไม่ออก ไปต่อไม่ถูกครู่ใหญ่ งามเหลือเกิน...งามล้ำอะไรถึงเพียงนี้... ในใจชมเชยไม่หยุด เทียบกับเขาแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว นึกแล้วก็ละอายในรูปลักษณ์ตนนักจนเผลอห่อไหล่งุ้ม ใบหน้าก้มต่ำมองปลายเท้าตนเองอย่างลืมตัว ก็เขาหาได้เป็นดั่งที่เหล่าข้าราชบริพารคุยโวโอ้อวดไว้เลยนี่นา ทั้งรูปร่างแคระแกร็นไม่สมเป็นยักษา องค์เอวบางอรชรแม้จะไม่เท่ากับยักษี แต่ก็ไม่สมกับเป็นยักษ์บุรุษ ผิวเนื้อขาวหยวก ดวงหน้าพริ้มเพราราวยักษ์เด็กทั้งที่อายุย่างเข้ายี่สิบขวบปี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เขาดูอ่อนแอยิ่งนัก แม้แต่พระบิดาเองก็ทรงเห็นดีด้วย ดังนั้นเมื่อครั้งไปทาบทามองค์ศวรรย์มาดูตัวจึงต้องหว่านล้อมหลอกล่อว่ามีรูปลักษณ์งดงามองอาจ ไม่เช่นนั้นแล้ว ไอศูรย์คงจะไม่ยินยอมให้มา เรียกได้ว่าเป็นกลเล่ห์เพทุบายในการขายสินค้า...หากสินค้าบกพร่องประการใดแล้ว ค่อยมาชดเชยกันด้วยสิ่งอื่นอีกที จะมอบสินไหมใดๆ ให้ตามที่อีกฝ่ายพอใจก็ค่อยว่ากัน และเพราะเป็นเช่นนั้นถึงได้ทาบทามองค์ศวรรย์ผู้น้อง เพราะได้ยินมาว่าพระจริยวัตรดีงามอ่อนช้อยกว่าผู้เป็นพี่ซึ่งเป็นองค์ยุพราชอยู่มากโข แม้ว่าการได้ดองกับปรมะจะเป็นเรื่องที่ดี แต่หากคู่ตุนาหงันคือแฝดผู้พี่แล้วคงไม่ดีแน่ ก็เป็นองค์ยุพราชเหมือนกัน อีกทั้งยังเข้มแข็งกว่า แว่วว่ามากเล่ห์เพทุบายอีกด้วย หากเกี่ยวดองกันไป ไม่เป็นสราลีรึที่ถูกข่มเหงรังแก เพราะองค์ยุพราชแห่งสราลีอ่อนแอบอบบางถึงเพียงนี้ องค์นวินอนาถในชะตากรรมตนเองนัก เพลานั้นเองที่เจ้าวรรศซึ่งนอนเอกเขนก ชมนกชมแมกไม้ ดื่มสุราเมรัยอย่างเพลิดเพลินเหลือบเห็น ก่อนจะออกปากเรียก “เฮ้ย เจ้าน่ะ” องค์นวินชะงัก เงยหน้าขึ้นมองไปยังผู้เรียกซึ่งนั่งยกขาข้างหนึ่งขึ้นเท้าแขนอย่างงุนงงยิ่งนัก “เออ เจ้านั่นล่ะ” เห็นสีหน้าฉงนของอีกฝ่าย เจ้าวรรศก็ออกปากเรียกอีกครั้ง ครานี้ไม่เรียกเปล่า กระดิกนิ้วให้เข้ามาหาด้วย องค์นวินไร้ซึ่งทางเลือก จำต้องเดินไปหาด้วยมิอาจเสียมารยาทกับอาคันตุกะของสราลีได้ ครั้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าพลับพลา เจ้าวรรศก็เอ่ยปากอีก “รินน้ำจัณฑ์ให้ข้าที” เรียกเขาให้เข้ามาหาเพื่อการนี้น่ะนะ!? องค์นวินถึงกับย่นคิ้วยู่ ริมฝีปากสีแดงชาดยื่นออกมาเล็กน้อยราวกับไม่พอใจ ขณะที่เจ้าวรรศซึ่งกำลังหยิบผลไม้ในพานเข้าปากเหลือบมอง “เอ้า มัวรอสิ่งใดอยู่ เร็วๆ เข้า ข้ากระหาย มัวชักช้า ประเดี๋ยวข้าก็ฟ้องกษัตริย์ของเจ้าให้โบยหลังลายเสียนี่” ถูกเร่งเร้ามาอย่างนั้น องค์นวินก็เลิ่กลั่กรีบคว้าเอาคนโทน้ำจัณฑ์รินลงจอกแก้วให้ด้วยมืออันสั่นเทา เขาประหม่า...ใช่ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าองค์ศวรรย์ โอรสพระองค์เล็กแห่งกษัตริย์ปรมะที่ผู้ใดต่างเล่าลือว่ากิริยามารยาทงาม วาจาอ่อนหวาน มากปัญญาฉลาดเฉลียว ตัวจริงนั้นจะกักขฬะ พูดจาเอาแต่ใจได้ถึงเพียงนี้ ความงดงามของอีกฝ่ายที่องค์นวินชื่นชมในใจไปเมื่อครู่หายไปหมดสิ้นเมื่อได้ยินถ้อยวจีและเห็นกิริยาท่าทาง เจ้าวรรศเองก็ไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าคิดสิ่งใดอยู่ เมื่อได้รับการตอบสนองแล้วก็เอื้อมมือไปคว้าจอกแก้วมากระดกดื่ม ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะผละไปก็รั้งไว้ “ไม่ต้องไปไหนหรอกเจ้าน่ะ อยู่ตรงนี้ จะได้ปรนนิบัติข้าง่ายๆ” อย่าบอกนะว่าเห็นเขาเป็นข้าราชบริพาร!? ทั้งที่ตอนแรกไม่ต้องการให้ผู้ใดอยู่ใกล้เพราะรำคาญใจแท้ๆ แต่ครานี้กลับต้องการให้มีคนคอยดูแลปรนนิบัติ เพิ่งประจักษ์เอาในเพลานี้กระมังว่ามีข้ารับใช้คอยดูแลนั้นสบายกายากว่าเป็นไหนๆ องค์นวินถูกสั่งเช่นนั้นก็ย่นคิ้วมากขึ้นไปอีก ขัดใจ แต่ก็จำยอมรับโดยดุษณี สภาพอ้อนแอ้นแลอ่อนแอเช่นนี้ ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าเป็นองค์ยุพราชแห่งสราลีที่เหล่าราชทูตไปทูลกรอกหูว่าองอาจสมบุรุษยักษากันเล่า แท้จริงนั้นเขาบอบบางราวกับบุษบา เพียงถูกบีบในกำมือแผ่วเบาก็พร้อมที่จะบอบช้ำแล้ว องค์นวินจึงได้แต่ทรุดตัวลงนั่ง ไม่พูดไม่จา ให้เจ้าวรรศได้ออกคำสั่งอีก “รินมา อย่าได้รีรอ ให้รู้หน้าที่ด้วย” สำเริงสำราญเหลือเกิน เป็นอาคันตุกะมีศักดินาแท้ๆ ไยทำตัวสำมะเลเทเมาเช่นนี้ องค์นวินได้แต่บริภาษในใจ มือก็บรรจงรินน้ำจัณฑ์ในคนโทลงในจอกให้ ขณะที่เจ้าวรรศเริ่มพูดพร่ำไปเรื่อย “น้ำจัณฑ์ของสราลีนั้นรสชาติล้ำเลิศนัก มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดสราลีถึงได้ชื่อว่ามีทรัพย์ในดิน สินในน้ำ น้ำจัณฑ์นี้ก็คงผ่านการหมักเป็นอย่างดี ถึงได้รสชาติโอชา แผ่นดินใดก็มิอาจเทียบเคียงถึงเพียงนี้” คนฟังพอจะแย้มยิ้มขึ้นมาได้ ก็น้ำจัณฑ์นั้นเป็นสูตรที่เขาคิดค้นขึ้นมาด้วยหมายจะทำเป็นสินค้าขึ้นชื่อของสราลีนี่นา จะไม่ปลาบปลื้มใจได้อย่างไร “ได้ยินว่าน้ำจัณฑ์นี้ องค์นวินเป็นผู้คิดค้นสูตรหมักขึ้นใช่หรือไม่” แม้แต่เจ้าวรรศที่เพิ่งมาถึงสราลีเมื่อไม่กี่วันก่อนยังรู้เลย คนฟังรีบพยักหน้าโดยพลัน “ช่างปัญญาล้ำเลิศยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่” ทำให้โอรสของไอศูรย์พอใจได้ องค์นวินก็อมยิ้มจนต้องเม้มปากแน่นด้วยหมายจะเก็บอาการ มือรินน้ำจัณฑ์ให้อีกเมื่อเห็นจอกของเจ้าวรรศว่างเปล่า “ว่าแต่องค์ยุพราชของเจ้าไปไหนเสียล่ะ ข้ามาที่นี่รึก็หลายทิวาหลายราตรีแล้ว ยังไม่เห็นแม้เพียงเงา ยังปฏิบัติราชกิจไม่เสร็จสิ้นอีกรึ” องค์นวินเหลือบมอง เขาก็อยู่ตรงหน้านี่แล้วอย่างไร! แต่จะไปว่าก็ไม่ได้ อสุราตรงหน้าหาได้รู้นี่นา องค์นวินจึงได้แต่ตอบไป “ขะ...ข้าก็อยู่นี่อย่างไร” เสียงแผ่วเบาหลุดลอดออกจากปาก เจ้าวรรศได้ยินอีกฝ่ายพึมพำก็ย่นคิ้ว “เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ” “ขะ...ข้าบอกว่าข้า...” “อะไรนะ ไม่ได้ยิน” พูดยังไม่ทันจบ เจ้าวรรศก็ส่งเสียงขึ้นมาแล้ว เสียงดังเสียด้วย รำคาญใจเหลือเกินที่อีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าพึมพำเหมือนสวดสาปแช่งเขา ทำให้องค์นวินประหม่ากว่าเดิมเป็นเท่าตัว กระนั้นก็พยายามที่จะพูดออกมา “ข้า...บะ...บอกว่าข้าคือองค์...” “เวลาพูดกับข้า มองหน้าข้าด้วยเจ้าเหี่ยว” เจ้าเหี่ยวรึ? องค์นวินถึงกับหันไปมองหน้า เขาไม่ได้เหี่ยวสักหน่อย แค่ตัวเล็กผอมบางไปสักหน่อยเพียงเท่านั้น “ข้าคือองค์ยุพราช มีนามว่านวิน!” เพราะความขุ่นเคืองถึงได้เปล่งเสียงดังออกไป จังหวะเดียวกันนั้น เจ้าวรรศกระดกดื่มน้ำจัณฑ์พอดิบพอดี ครั้นได้ยินเรื่องเหลือเชื่อจากปากคนข้างกาย เขาก็... พรู่ด! พ่นน้ำจัณฑ์ใส่หน้าองค์นวินเสียเลย หากแต่นั่นหาได้เป็นเพราะความตั้งใจ เป็นไปด้วยอารามตกใจต่างหาก “ประเดี๋ยวก่อนนะ เจ้าว่าเจ้าคือองค์นวิน องค์ยุพราชแห่งสราลีอย่างนั้นรึ” องค์นวินยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำที่พร่างพรายบนใบหน้าออก ศีรษะผงกรับ “อะ...อือ” เท่านั้นเจ้าวรรศก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น “ไปหลอกยักษ์เด็กเถิด องค์ยุพราชนั้น ข้าได้ยินว่าองอาจสมบุรุษยักษา รูปร่างหน้าตารึก็ผึ่งผายสง่างาม เหี่ยวเป็นผักเช่นเจ้า อย่าริเทียบเคียง” จากนั้นก็หัวเราะร่วนไม่หยุดหย่อน ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะมึนเมาหรือมาจากใจจริง แต่ถ้อยคำนั้นก็ทำให้องค์นวินต้องก้มหน้าลงไปอีก ริมฝีปากยื่นอย่างงอนๆ เหี่ยวเป็นผักอันใดกัน หยาบคายนักเจ้ายักษ์กักขฬะ! “อะไร มีสิ่งใด” เจ้าวรรศหยุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าง้ำ องค์นวินรีบตอบรับ “หา...หาได้มีสิ่งใด” “ไม่มีสิ่งใดแล้วทำปากยื่นเพื่อการใด” มือคว้าชิ้นมะม่วงสุกจากพานไปตีปากขององค์นวินไม่แรงนัก คนถูกจู่โจมกะทันหันถึงกับรีบเบือนหน้าหนี เจ้าวรรศเห็นท่าทางไม่สู้คนของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ขบขันในใจ เอามะม่วงชิ้นนั้นเข้าปากเคี้ยวพลางกลั้วหัวเราะแผ่วเบา “เจ้านี่ดีนะ ไม่พูดมากดี” ตบหัวแล้วก็ลูบหลัง กลั่นแกล้งแล้วก็เอ่ยชม ทำเอาองค์นวินที่ขุ่นเคืองอยู่เมื่อครู่เหลือบมองอย่างประหลาดใจ “ทะ...ทำไมรึ” “ก็เจ้าไม่พูดพร่ำพรรณนาว่าองค์ยุพราชของเจ้าดีงามเพียงใดกันอย่างไรเล่า ตั้งแต่ข้ามาที่สราลี ได้ยินทั้งเสนาอำมาตย์ ทั้งเหล่านางกำนัลพร่ำพูดไม่หยุดหย่อนจนเอียนจะแย่อยู่แล้ว ดีนะที่เจ้าไม่พูดมากด้วยอีกคน ไม่อย่างนั้นข้าคงจะตะเพิดเจ้าไปโน่นแล้ว” องค์นวินถึงกับก้มหน้างุด น่าขายหน้ายิ่งนัก เจ้าพวกยักษ์พวกนั้นไยปากพล่อยกันได้ถึงเพียงนี้! จะต่อว่าก็ไม่ได้ นั่นเป็นพระบัญชาของกษัตริย์สราลี แม้องค์นวินจะเคยทักท้วงแล้วว่าไม่เหมาะสม ใคร่พบพานก็มิควรหลอกลวง แต่ก็หาได้ฟังเขาแต่อย่างใด สถานการณ์ชวนให้กระอักกระอ่วนใจเช่นนี้ถึงได้บังเกิด “ว่าแต่เจ้าเถิด มีนามว่ากระไร แล้วเป็นข้าราชบริพารตำหนักไหน ไยข้าไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน” ถามมาอย่างนั้น องค์นวินก็ออกจากภวังค์ของตนเอง ตอบกลับเสียงอ้อมแอ้ม “ก็ข้าหาใช่ข้าราชบริพารนี่นา” “ว่าอย่างไรนะ” หาใช่ตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เป็นเพราะไม่ได้ยินต่างหากถึงได้ถามซ้ำ ชักจะหงุดหงิดแล้ว ไยถึงได้พูดในลำคอ บ่นงึมงำอยู่ได้นะ “ขะ...ข้าบอกว่าข้าหาใช่ข้าราชบริพาร” ก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี เจ้าวรรศถึงกับย่นคิ้วยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD