แคว้นสราลีอยู่สุดเขตแว่นแคว้นทิศประจิม จากปรมะนครไปสู่ที่หมายจำต้องใช้เวลานานอยู่โข ด้วยหาได้มีแม่น้ำจากปรมะสายใดไหลผ่านไปยังสราลี เป็นเหตุให้ขบวนพระโอรสของกษัตริย์ปรมะต้องเดินเท้า และใช้พาหนะขับขี่ไปตามผืนแผ่นดิน กว่าจะถึงยังที่หมายก็ใช้เวลาร่วมยี่สิบทิวาและราตรี เป็นที่ให้เหนื่อยอ่อนสำหรับเหล่าทหารปรมะที่ติดตามไปปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นนายตามคำสั่งของไอศูรย์ด้วย จะมีก็แต่เจ้าวรรศนี่ล่ะ ที่รื่นเริงเหลือเกินที่ได้ออกมาท่องเที่ยวนอกแดนมาตุภูมิ
ท่องไปในพนาก็ว่าระรื่นแล้ว ครั้นแวะพักตามแคว้นมหามิตรต่างๆ ของสราลี เจ้าวรรศก็ระริกระรี้ดั่งได้แก้ว เล่นซุกซนสนุกสนาน แอบปลอมเป็นสามัญชนหนีไปเที่ยวชมร้านตลาดตามลำพังให้คณะราชทูตจากสราลีและการิต ทหารเอกคู่กายบิดาใจหายอยู่ร่ำไป ดุก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว แต่เจ้าวรรศก็หาได้สะทกสะท้าน ยังมีแก่ใจมาลอยหน้าลอยตา
“หากข้าหายไป ลุงก็แจ้งแก่พ่อๆ ของข้าแล้วกันว่าถูกสัตว์ป่าคาบไปกินแล้ว”
พูดเช่นนั้นได้ที่ไหนกันเล่า มีหวังหัวขาด!
ถูกการิตตำหนิอีกเช่นเคย แต่ก็หาได้ทำให้เจ้าวรรศเข็ดหลาบ ยังคงซุกซนไปตามประสายักษ์หนุ่มวัยคะนอง การิตเห็นแล้วก็ปวดเศียรเวียนเกล้าเหลือเกิน
เมื่อครั้งที่ไอศูรย์ยังหนุ่มแน่น ยังไม่สร้างความปวดกะโหลกให้ถึงเพียงนี้ แต่เจ้าวรรศนี่เหลือเกินจริงๆ เทียบกับเจ้าศวรรย์แล้ว ร้ายกาจกว่าหลายขุมยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดวิรัลย์ถึงได้เข้มงวดกับโอรสองค์โตมากกว่าผู้น้อง
แสบสันถึงเพียงนี้ ผู้ใดจะเอาอยู่กันหากไม่ใช่ไม้เรียวของพ่อยักษ์น้อย
กระนั้นก็มาถึงยังที่หมายจนได้ ถึงครานี้ความแก่นแก้วของเจ้าวรรศก็กระถดถอยลง ยิ่งอยู่ต่อหน้ากษัตริย์แห่งสราลีด้วยแล้ว ท่าทางนั้นก็นอบน้อมลง วางกิริยามารยาทดีราวกับสั่งได้ การิตเห็นแล้วจึงพอเบาใจ
ต่อให้ซุกซนแก่นกะโหลกเพียงใด แต่ก็หาใช่จะไม่รู้กาลเทศะ
เจ้าวรรศก้าวย่างเข้ามาในท้องพระโรงเมื่อได้รับการเชื้อเชิญ อสุราที่ได้ชื่อว่ารูปงาม อีกทั้งยังเกิดจากเหงื่อไคลของสองบิดาด้วยการดลบันดาลของเทพยดาปรากฏกายให้เห็น เพียงพบพักตร์ ทุกชีวิตต่างก็หยุดหายใจไปชั่วขณะ
รูปหน้าสมมาตรคร้ามครัน นัยน์ตาประกายวาวดุจดั่งแก้วมณี จมูกโด่งเป็นสันรับรูปปากกระจับสีแดงชาด เส้นเกศายาวสลวยถึงกลางหลังถูกมัดรวบเป็นหางม้าดำขลับราวกับนิลน้ำงาม ผิวเนื้อนวลเนียนทองอะร้าอร่ามชวนมอง ล้วนแล้วทำให้ต้องตกตะลึง หากแต่ความงดงามนั้นกลับหาได้ดูอรชรอ้อนแอ้น เรือนกายของเจ้าวรรศสูงใหญ่องอาจ แผ่นอกกว้างผึ่งผาย ยามก้าวย่าง ฝ่าเท้าแต่ละข้างล้วนหนักแน่นมั่นคง ในความงดงามนี้ก็แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม
ทั้งงดงามปานเทพบุตรจากชั้นฟ้า ทั้งสง่าผ่าเผยชวนให้ลุ่มหลงดุจต้องมนตร์ ผู้ใดฤๅจะเชื่อว่าผู้นี้คืออสุราดุร้าย...
เมื่อเจ้าวรรศก้มลงกราบและเอ่ยขึ้น เมื่อนั้นทุกชีวิตจึงกลับคืนสติ
“กระหม่อมมีนามว่าศวรรย์ เป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องในกษัตริย์ปรมะ กราบถวายบังคมกษัตริย์แห่งสราลีพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามสบายเถิดองค์ศวรรย์ เจ้าเดินทางมาไกล คงเหน็ดเหนื่อยพอดู”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรื่นเริงกับการเดินทางในครานี้นัก ยิ่งได้มาเห็นบ้านเมืองของสราลีแล้วก็ยิ่งเริงรื่น มองไปทิศทางใดก็ช่างเจริญหูเจริญตานัก ร้านรวงเต็มเมืองไปหมด ต่างจากปรมะที่เต็มไปด้วยเหล่าทหาร”
ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อสราลีขึ้นชื่อเรื่องเมืองท่าการค้า ขณะที่ปรมะได้ชื่อว่าเป็นดินแดนอสุราดุร้าย รบคราใดไม่เคยพ่าย ก็จำต้องมีแต่เหล่าทหาร
“เพราะสราลีเป็นเมืองท่า ถึงได้มีร้านรวงมาก ข้าดีใจยิ่งนักที่องค์ศวรรย์โปรดปรานแคว้นของเรา”
“ด้วยความยินดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ยกมือประนมแนบอก หยักยิ้มพรายอ่อนโยน ท่าทางนอบน้อมชวนมอง กิริยามารยาทฤๅก็งดงามยิ่ง เป็นที่น่าชื่นชมเสียเหลือเกิน กษัตริย์สราลีทรงคิดว่าตัดสินพระทัยไม่ผิดแล้วที่ส่งราชทูตไปทาบทามให้มาดูตัวกับองค์ยุพราช หากได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน นอกจากสราลีจะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ยังเจริญหูเจริญตาด้วยมีเขยขวัญรูปโฉมงดงามหยาดฟ้ามาดินถึงเพียงนี้ โดยหารู้ไม่ว่าที่อยู่ตรงหน้าพระพักตร์นั้นหาใช่เจ้าศวรรย์ แต่เป็นเจ้าวรรศสวมรอยมาแทนต่างหาก
“ข้าดีใจนัก แต่ก็ต้องขออภัยองค์ศวรรย์ด้วยที่วันนี้ลูกของข้าหาได้มาต้อนรับเจ้าด้วยตนเอง เหตุเพราะติดพันราชกิจ จำต้องสะสางให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาตามมาภายหลัง ราชกิจนี้ไม่มีผู้ใดทำได้เสียด้วยนอกจากลูกข้า หวังว่าองค์ศวรรย์จะไม่ขุ่นเคือง”
เจ้าวรรศตระหนักได้ในตอนนี้ มิน่าเล่า เหตุใดเขาถึงเห็นว่าบัลลังก์ตำแหน่งองค์ยุพราชถึงได้ว่างเปล่า ที่แท้ก็ติดราชกิจอยู่นั่นเอง
“กระหม่อมมิอาจถือโทษโกรธพ่ะย่ะค่ะ แค่แคว้นสราลีให้การต้อนรับขับสู้กระหม่อมอย่างสมเกียรติเช่นนี้ กระหม่อมก็ดีใจยิ่งแล้ว”
ยังคงนอบน้อมอย่างเดิม กษัตริย์สราลีพอพระทัยนัก หารู้ไม่ว่าคือการเสแสร้ง กระนั้นก็หาได้ครุ่นคิด เอ่ยปากอย่างเอ็นดู
“เป็นเช่นนั้นแล้ว องค์ศวรรย์ก็ไปพักผ่อนให้คลายเหนื่อยเถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้ข้าราชบริพารพาไปยังตำหนัก เจ้า...ถวายงานองค์ศวรรย์อย่าให้ขาดตกบกพร่องด้วย”
สั่งการกับยักษาตนหนึ่ง ยักษ์ตนนั้นกราบรับพระบัญชา ก่อนจะเชื้อเชิญให้เจ้าวรรศและการิตซึ่งมาทำหน้าที่เป็นราชองครักษ์ไปพักยังตำหนักของอาคันตุกะ ปล่อยให้กษัตริย์สราลีทอดพระเนตรมองตามมาดหมายในพระทัยแน่วแน่
ภายในสามเดือนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องให้นวินลูกข้าพิชิตใจองค์ศวรรย์เพื่อผนวกเป็นทองแผ่นเดียวกับปรมะให้จงได้!
***
การพำนักอยู่ในสราลีนั้นหาได้แย่...
ไม่สิ เรียกว่าดีเลิศเลยต่างหาก เพราะนอกจากสุราเมรัยจะไม่ได้ขาดแล้ว เจ้าวรรศยังได้รับการปรนนิบัติดุจดั่งคนสำคัญของราชวงศ์ ถึงจะรู้ว่านั่นคือสิ่งที่สราลีพึงกระทำ แต่ก็ทำให้เจ้าศวรรย์พอใจอยู่ไม่น้อย ด้วยแต่ละสิ่งสรรพที่ถูกนำมาปรนนิบัตินั้น หลายอย่างทีเดียวที่เขาหาได้เคยเห็นในปรมะมาก่อน ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วเป็นสินค้าแปลกตาจากทุกแว่นแคว้นดินแดน ทำให้เขาดื่มด่ำกับความเพลิดเพลินนี้เสียจนลืมเวลาไปหมดสิ้น
แต่...เจ้าวรรศเป็นยักษ์ขี้เบื่อ
เพียงผ่านไปเจ็ดทิวาเจ็ดราตรี สิ่งใดๆ ก็มิอาจดึงดูดใจเขาได้อีกแล้ว จะมีก็แต่สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขายังสนใจอยู่ นั่นก็คือ...
...องค์นวิน
จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นแม้เงาหัว ได้ยินแต่เหล่าข้าราชบริพารและนางกำนัลพร่ำพูดกรอกหูไม่เลิกรา
องอาจอย่างนั้น ห้าวหาญอย่างนี้ รูปลักษณ์น่าหลงใหลชวนให้เสน่หา
พูดพร่ำเพ้อพกดุจมึนเมาสุรา ชวนให้เจ้าวรรศรำคาญใจนัก
หากหล่อเหลางามงดยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดินสราลีแล้วไซร้ ก็โผล่หน้ามาให้เห็นเสียที ใช่พร่ำพูดเพียงแค่ลมปาก!
จะว่าไปแล้ว เจ้าวรรศสนใจที่จะพบหน้าองค์นวินนั้นเป็นเพราะคำคุยโวโอ้อวดของเหล่ายักษ์ข้าราชบริพารนี่ล่ะ หาได้สนใจจะพบพานอย่างแท้จริง แต่บัดนี้เบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน ครั้นเห็นนางกำนัลเข้ามาปรนนิบัติในตำหนักยามอรุณรุ่ง และทำท่าราวกับว่าจะพร่ำพรรณนาถึงความงามล้ำเลิศขององค์นวินอีก เจ้าวรรศก็รีบออกปากขัดทันที
“วันนี้ข้าจะไปพักผ่อนในสวนพฤกษาข้างตำหนัก ห้ามผู้ใดรบกวนหากข้าไม่เรียกหา”
แล้วผู้ใดจะกล้าขัดใจกันเล่า รีบกุลีกุจอพากันยกสำรับอาหารคาวหวานไปตั้งให้ที่พลับพลาในสวนพฤกษาโดยเร็วไว ปล่อยให้เจ้าวรรศได้ดื่มด่ำกับมวลบุปผชาติตามลำพัง
ค่อยสงบสุขหน่อย ไม่เช่นนั้นหูคงได้ชาเพราะฟังคำคุยโวโอ้อวดของเหล่านางกำนัลยักษีไม่จบสิ้นแน่...
หลายชั่วยามเลยทีเดียวที่เจ้าวรรศนอนเอกเขนกอยู่ ณ พลับพลาแห่งนั้น ขณะเดียวกัน องค์นวินซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นราชกิจที่ใช้เวลาสะสางร่วมสัปดาห์เดินทอดน่องผ่านสวนพฤกษาหมายจะกลับตำหนัก ภาระหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายนั้นช่างใหญ่หลวงเสียเหลือเกิน การเป็นองค์ยุพราชนั้นว่ายากลำบากแล้ว แต่การเป็นที่ไว้วางพระทัยของพระบิดาเป็นเรื่องยากลำบากกว่า
เขาเพิ่งจะมีอายุได้ยี่สิบขวบปีเองนะ! ไยจึงต้องรับผิดชอบเรื่องที่เหล่าอำมาตย์ควรจะกระทำด้วย!
ทว่าก็ควรจะภาคภูมิใจ ด้วยที่เป็นเหตุให้พระบิดาไว้วางพระทัยนั่นก็เพราะเขาได้ชื่อว่าฉลาดเฉลียวหาผู้ใดเปรียบ หัวการค้าฤๅก็หาผู้ใดเทียบเคียง เรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญยิ่งแห่งสราลีนคร กระนั้น...ภาระหน้าที่ก็ทำให้เขาเหนื่อยอ่อนอยู่ดี จนลืมไปหมดสิ้นแล้วว่านอกจากการจัดการวางมาตรการเก็บภาษีอากรเรือสำเภาส่งสินค้าที่ล่องมาตามปากแม่น้ำแล้ว เขายังจะต้องไปต้อนรับอาคันตุกะจากปรมะด้วย
อาคันตุกะที่...ถูกพระบิดาบังคับแกมขอร้องให้ดูแลเป็นอย่างดี เพราะเขาจำจะต้องทำวิธีใดก็ได้ให้พระโอรสของกษัตริย์ปรมะตกหลุมรัก จากนั้นจะได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน
การนี้ยากยิ่งกว่าวางมาตรการจัดเก็บภาษีอากรเสียอีก!
องค์นวินอยากจะโอดครวญนัก แต่ก็หาทำการใดได้นอกจากรับมอบหมายหน้าที่โดยดุษณี บัดนี้ลอบถอนหายใจออกมาคราหนึ่งเมื่อคิดว่าต้องไปต้อนรับขับสู้ทั้งที่เหนื่อยล้าถึงเพียงนี้
ไว้ก่อนแล้วกัน พักให้หายอ่อนล้าเมื่อไรแล้วค่อยมาต้อนรับอีกที...
แอบบ่ายเบี่ยงหน้าที่ในใจไปแล้วเรียบร้อย ใจมุ่งหวังแต่จะกลับตำหนักอย่างเดียว หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อก้าวมาถึงพลับพลาในสวน สายตาก็เหลือบไปเห็นราพณาสูรหนุ่มเสียก่อน
รูปร่าง หน้าตา ท่าทาง ล้วนแล้วไม่คุ้นตา อีกทั้งอาภรณ์ที่สวมใส่ก็ดูออกว่าหาใช่ยักษ์ในสราลี
ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็น...องค์ศวรรย์