“เสียงแมลงภู่ตอมเกสรดอกไม้ดังหึ่งๆ ยังจะดังกว่าเสียงพูดของเจ้าอีก เมื่อครู่ว่าอันใด พูดให้ดังๆ” แล้วเจ้าวรรศก็แสร้งส่งเสียงดังเป็นตัวอย่าง องค์นวินนั้นถึงจะอายุมากกว่า แต่ด้วยอุปนิสัยที่ไม่สู้คน เมื่อถูกดุแล้วก็ยิ่งก้มหน้างุดราวกับกลัวจะถูกตำหนิ กระนั้นก็เอ่ยเสียงดังกว่าเดิมออกมาจนได้
“ข้า...ข้าบอกว่าข้าหาใช่ข้าราชบริพาร”
“เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง” เจ้าวรรศว่าออกมาเมื่อได้ยินแล้ว จากนั้นก็ถามต่อ “หากไม่ใช่ข้าราชบริพาร แล้วเจ้าคือผู้ใด”
ในใจเดาเอาว่าคงจะเป็นอสุรขัตติยาสักพระองค์ของสราลี ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว
“ข้าคือองค์ยุพราช มีนามว่านวิน ก็บอกเจ้าไปแล้วอย่างไร”
ได้ยินชัดเต็มสองรูหู แต่คำพูดนั้นกลับหาได้ทำให้เจ้าวรรศเชื่อได้ ปรายตามองรูปกายของอีกฝ่ายแล้วก็พินิจครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่
ใครต่อใครต่างว่ากันว่าองค์นวินมีรูปงาม องอาจ สง่าผ่าเผย แต่เจ้ายักษ์ตรงหน้านี้มัน...
“ไหล่งองุ้ม ดวงหน้าเยาว์วัยไม่คร้ามครัน ผิวขาวหยวกราวกับไม่เคยต้องแสงสุริยัน รูปร่างสันทัด...เจ้าน่ะรึองค์นวิน?”
องค์นวินพยักหน้ารับ ใช่ๆ เขานี่ล่ะองค์นวิน
เจ้าวรรศเห็นแล้วก็ส่งเสียงในลำคอทันที
“หึ ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าหากอยากจะหลอกใครก็ไปหลอกยักษ์เด็กเถิด เจ้าหาใช่องค์นวินหรอก เจ้าคือเจ้าผักเหี่ยว”
ไม่ใช่ผักเหี่ยวสักหน่อย!
องค์นวินท้วงในใจ คิ้วย่นยู่ เม้มปากแน่น ดวงตามองอย่างตัดพ้อระคนโกรธ สีหน้าแลดูคล้ายกับว่าจะร้องไห้เสียเหลือเกิน ทำเอาคนหยอกเย้าอย่างเจ้าวรรศเพลิดเพลินกับการกลั่นแกล้งยิ่งนัก
“ข้า...หาใช่ผักเหี่ยว”
ก็ทำได้เพียงปฏิเสธเสียงเบาเท่านั้นละนะ เจ้าวรรศเองก็ไม่สนใจแล้ว หยอกเย้าพอเป็นกระสายก็ดื่มด่ำกับน้ำจัณฑ์รสเลิศต่อไปอีกครู่ แต่ก็ยังค้างคาใจอยู่ไม่น้อยด้วยยังไม่รู้นามของคนข้างกายเสียที
“อย่ามัวเล่นแง่แล้วรีบบอกมาเถิด ตกลงแล้วเจ้ามีนามว่ากระไรกันแน่”
“ก็...นวิน” อยากจะย้ำเหลือเกินว่ามีนามว่าองค์นวิน เป็นองค์ยุพราชแห่งสราลีตัวจริงเสียงจริง แม้ว่าลักษณะท่าทางจะหาใช่เช่นเดียวกับคำกล่าวอ้างของเหล่าข้าราชบริพารก็ตาม
เจ้าวรรศมองนิ่ง ปากว่าออกมา “เจ้าผักเหี่ยว กล้าโกหกข้าไม่หยุดหย่อนอย่างนั้นรึ”
องค์นวินส่ายหน้าพรืด ไม่ได้โกหกเสียหน่อย!
“หากโกหกอีกครั้ง ข้าจะเอามะม่วงยัดปากเจ้า บอกมาว่ามีนามว่ากระไร”
ในเมื่อถามดีๆ แล้วเล่นแง่ เช่นนั้นก็ขู่เข็ญเสียแล้วกัน อีกทั้งยังไม่พูดเปล่าด้วย ถือวิสาสะจับท่อนแขนขององค์นวินไว้ ออกแรงกระชากให้เข้ามาใกล้ มือหนึ่งถือมะม่วงเตรียมจะยัดปาก
“มีนามว่ากระไร”
ออกปากถามเสียงต่ำระคนกลั้วหัวเราะคล้ายกับว่าจะได้เล่นสนุก ขณะที่องค์นวินเบิกตาโตอย่างพรึงเพริด
“ยะ...อย่า”
“ไม่อยากถูกเอามะม่วงยัดปากก็พูดมา”
กักขฬะได้ถึงเพียงนี้อย่างไรกัน เจ้าเป็นอาคันตุกะนะ ไยถึงกลั่นแกล้งรังแกคนของสราลีเช่นนี้!
องค์นวินร้องท้วงในใจเป็นพัลวัน ริมฝีปากสั่นระริกด้วยหาได้เคยมีผู้ใดประชิดตัว ทั้งยังหมายจะกลั่นแกล้งถึงเพียงนี้ ส่วนเจ้าวรรศนั้น เมื่อได้หยอกเย้าแล้วก็หยุดไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่สมควร แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใดกันถึงได้รู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างน่าแกล้งให้หนำใจจนกว่าจะหลั่งน้ำตาเสียเหลือเกิน
“เร็วเข้า หากไม่พูด เจ้าถูกมะม่วงยัดปากแน่”
ขู่มาอีกแล้ว คราวนี้องค์นวินถึงกับพรึงเพริดเมื่อเห็นว่าเจ้าวรรศเลื่อนมะม่วงเข้ามาใกล้ใบหน้าตน
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าน่ะมีนามว่า...”
“องค์นวินพ่ะย่ะค่ะ!” ไม่ใช่เขาที่ตอบ แต่เป็นอำมาตย์ยักษาตนหนึ่งที่รีบร้อนตามหาเขาด้วยมาตรการภาษีอากรที่เสร็จสิ้นไปเมื่อครู่มีจุดผิดพลาด ครั้นเห็นองค์ยุพราชของตนหยอกเย้าอยู่กับอาคันตุกะ เขาก็รีบทิ้งตัวลงเข่ากราบ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาก็ประนมมือไว้แนบอก
“ขอประทานอภัยที่กระหม่อมขัดเวลาเกษมสำราญพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์นวินจำต้องกลับไปที่ตำหนักหลวงก่อน มีบางสิ่งต้องแก้ไขในใบลานพ่ะย่ะค่ะ”
แทนที่องค์นวินจะได้ตอบรับ กลับเป็นเจ้าวรรศเองที่เอื้อนเอ่ยออกมา
“เจ้า...ตกลงคือองค์นวินจริงรึ” ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่องค์นวินสบโอกาสรีบกระชากแขนตนหลุดจากการเกาะกุม ผุดลุกพรวดพราดอย่างรวดเร็ว
“ชะ...ใช่ ข้านี่ล่ะองค์นวิน”
อันที่จริงตั้งใจว่าจะเชิดหน้าแล้วเอ่ยคำพูดนี้อย่างผึ่งผาย แต่เอาเข้าจริงกลับทำได้เพียงก้มหน้างุด พึมพำตะกุกตะกักออกมา โดยที่ฝ่ายเจ้าวรรศอ้าปากค้าง มะม่วงที่ถืออยู่ร่วงหล่นพื้นทันใด สายตาปราดมองยักษาตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
สินค้าอวดอ้างไม่ตรงสรรพคุณนี่หมายความว่ากระไรกัน! อาจหาญมาย้อมแมวล่อหลอกยุพราชแห่งปรมะ เห็นทีจะต้องมีเรื่องให้แตกหักกันหน่อยแล้ว!
ครั้นความจริงปรากฏ ความหายนะก็บังเกิดแก่แคว้นสราลี ด้วยเจ้าวรรศเห็นหนทางที่จะยุติพันธสัญญานี้ในชั่วห้วงลมหายใจนั้น พลันก็แสร้งทำเป็นโวยวายพาโลเป็นการใหญ่เมื่อตระหนักว่าองค์นวินที่ได้รับการกรอกหูพร่ำพรรณนาว่าองอาจล่ำสันหนักหนา แท้จริงแล้วคือเจ้าผักเหี่ยวที่เอาแต่นั่งก้มหน้างุด พูดเสียงพึมพำดุจดั่งแมลงผึ้งตอมเกสรดังหึ่งๆ หาใช่อสุราสมชาติบุรุษแต่อย่างใด
อำมาตย์ตนนั้นซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ความลับแตกโดยมิได้มีกลยุทธ์แยบยลใดๆ ถึงกับเสียวต้นคอด้วยเกรงว่าจะขาด เพราะเผลอปากพล่อยโพล่งออกไปไม่ดูปี่ดูขลุ่ย
ก็ผู้ใดจะไปทันคิดกันเล่า ในหัวมีแต่เรื่องราชกิจที่ดำเนินการผิดพลาดอย่างเดียวเท่านั้น หากปล่อยให้ข้อผิดพลาดนี้หลุดไปจะต้องเป็นผลร้ายต่อสราลีเป็นแน่
กระนั้น...ก็หารู้ไม่ว่าที่โพล่งเรียกองค์นวินไปเช่นนั้นกลับเป็นผลเสียยิ่งกว่า เพราะเมื่อเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าองค์นวินคือ ‘เจ้าผักเหี่ยว’ อย่างแน่นอน เจ้าวรรศก็ตีโพยตีพายเป็นการใหญ่ หุนหันพรวดพราดออกจากพลับพลา มุ่งหน้าสู่ท้องพระโรงหมายจะเข้าเฝ้ากษัตริย์สราลีให้จงได้ เห็นท่าทางอย่างนั้นแล้ว องค์นวินกับอำมาตย์ชะตาขาดก็รีบปรามกันด้วยอกสั่นขวัญแขวน แต่เมื่อถูกตะคอกกลับมาว่า...
“ยังมีหน้ามาปรามข้าอีก อยากให้สราลีเกิดศึกกับปรมะจริงๆ กระมัง!”
...เท่านั้นก็พากันอับจนคำพูดไปทั้งนายทั้งบ่าว ปล่อยให้เจ้าวรรศก้าวอาดๆ ไปยังท้องพระโรงโดยมิอาจทำการใดได้ โดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้ในใจของเจ้าวรรศลิงโลดเพียงใด
ไม่คิดว่ากิจหน้าที่ขององค์ยุพราชที่ไอศูรย์มอบหมายให้จะสำเร็จเสร็จสิ้นลงรวดเร็วถึงเพียงนี้ เห็นทีจะต้องขอให้ตกรางวัลอย่างงามแล้ว...
ระเริงระรื่นใจมาจนถึงท้องพระโรง นั่งรอด้วยสีหน้า ‘แสร้ง’ กราดเกรี้ยวได้ไม่ทันไร กษัตริย์สราลีก็เสด็จมาประทับด้วยความร้อนรน ไม่เว้นแม้แต่การิตที่ถูกตามตัวมาเมื่อครู่เพราะมีหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลพระราชประสงค์ของพระโอรสแห่งกษัตริย์ปรมะ ตามด้วยองค์นวินและอำมาตย์ต้นเหตุที่นั่งคอตกอยู่เบื้องหน้า
ครั้นเห็นทุกชีวิตพร้อมสดับรับฟัง เจ้าวรรศก็ได้ทีเอ่ยขึ้น
“เมื่อครั้งที่คณะราชทูตแห่งสราลีไปกราบทูลเสด็จพ่อ ต่างพากันพูดพร่ำเป็นเสียงเดียวกันว่าองค์นวินนั้นมีรูปงามล่ำสัน องอาจ และแข็งแกร่ง อีกทั้งยังพร่ำพูดกรอกหูกระหม่อมไม่เว้นวันว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อวันนี้ได้ประสบพบพักตร์กลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แท้จริงแล้วไซร้ องค์นวินมีรูปร่างบอบบางราวกับบุษบา ทั้งยังดูขี้โรคอ่อนแอ เป็นเช่นนี้แล้ว จะแก้ต่างว่าอย่างไรกันรึพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงกรุ่นโกรธเล็ดลอดออกจากริมฝีปากหนา กษัตริย์สราลีทรงสดับแล้วก็หนักพระทัยยิ่ง ทั้งหมดนั้นเป็นแผนของสราลีเอง แต่ก็หาได้หมายใจจะเปิดเผยความจริงนี้โดยไร้ซึ่งกลเม็ดใด กะว่าจะค่อยๆ ตะล่อมระหว่างให้องค์นวินเผยตัว เอาแก้วแหวนเงินทอง สิ่งของสารพันพิสดารที่ปรมะไม่มีมาหลอกล่อ ไยเลยจะคิดว่าล้มเหลวไม่เป็นท่าถึงเพียงนี้
“องค์ศวรรย์ทรงพระทัยเย็นก่อน เรื่องนี้ข้ามีคำอธิบาย”
กษัตริย์สราลีทรงพยายามปราม ทว่าเจ้าวรรศกลับไม่หยุดยั้ง
“คำอธิบายรึ อธิบายสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ไม่ไว้หน้าปรมะเช่นนี้แล้วยังคิดจะอธิบายกระไรอีก”