บทที่ ๒ วิญญาณดับสูญ + คนใหม่

3307 Words
บทที่ ๒ วิญญาณดับสูญ + คนใหม่             ที่จวนเสนาบดี “ท่านพี่ นี่คือเรื่องจริงใช่หรือไม่” เสวี่ยนซ่านหน้างอ เพิ่งแต่งงานมามีความสุขได้ไม่ถึงห้าวันแถมร่วมคืนวสันต์กับสามีได้เพียงแค่หนเดียว สามีก็จะต้องจากไปทำการศึกเสียแล้ว ดวงตาคู่งามจึงขุ่นมัวเต็มที่ มือเรียวสวยพลางเกาะแขนของผู้เป็นสามีแน่น “จริง” ตอบสั้น ๆ ลู่หานเองแม้อยากจะปลดมือนุ่มนิ่มออกจากแขนตน แต่เนื่องด้วยนางเป็นเมียตบเมียแต่งจึงจำใจต้องยอม ทั้งที่หัวใจนั้นมันต่อต้าน แต่แล้วหางตาของแม่ทัพหนุ่มก็ลุกวาบ เนื่องจากเห็นผู้ที่ทำให้หัวใจของตนเต้นรัวเร็ว นั่นก็คือ เสวี่ยนซิน เกอตัวน้อยกลับเข้าจวนหลังจากออกไปตลาดกับบ่าวคนสนิท ขณะกำลังจะเดินผ่านเรือนกลางของพี่สาว คนตัวเล็กก็ชะงักไปเพียงนิดเมื่อเห็นแล้วว่าผู้ใดที่ยืนอยู่ตรงนั้น   เกอตัวน้อยก้มหน้า พลางเดินเข้าไปหาผู้เป็นพี่สาว ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพพี่สาวและพี่เขย  วันนี้ตนได้ข่าวมาจากตลาดว่ามีข้าศึกมารุกรานgdv9y;ohvpกันที่ยืนอยยู่ตรงนั้นก็ใจไม่ดี พอกลับมาถึงจวนก็มาเจอท่านแม่ทัพเข้า คงจะไปฐานทัพเป็นแน่ “เจี่ยเจีย ท่านแม่ทัพ” ก้มหัวลง   “เจ้าไปไหนมาหรือซินเอ๋อร์” เสวี่ยนซ่านทำเป็นเอ่ยเสียงนุ่มนวลกับผู้เป็นน้องของตน “ข้าไปตลาดมาขอรับ” ตอบออกไปพลางก้มหน้าลงอีกนิด ลู่หานมองคนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างไม่วางตา แต่เจ้าของใบหน้านวลยังคงก้มนิ่งจนท่านแม่ทัพขัดใจ ตนอยากมองวงหน้าผ่องใสก่อนไปทัพไม่ใช่เห็นแต่เส้นผมเช่นนี้ “ซินเอ๋อร์ พี่จะต้องไปทัพแล้วนะเจ้าอยู่ทางนี้จงระวังรักษาตัวเองให้ดี เข้าใจหรือไม่” กล่าวกับน้องเมียด้วยความห่วงหา ทั้งที่ควรบอกกับผู้เป็นเมีย แต่ลู่หานกลับไม่สนใจเมียเลยแม้แต่น้อย คำพูดของผัวทำให้ผู้เป็นเมียหันขวับไปมองหน้าสามีทันที แต่แม่ทัพนั้นกลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของน้องตน ทำให้ดวงตาของเสวี่ยนซ่านมีความวาววับอย่างไม่พอใจ ส่วนน้องเมียก็เงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องรีบหลบ เพราะแววตาของพี่เขยมันช่างแพรวพราวระยิบระยับเหลือเกิน หัวใจดวงน้อยของตนมันสั่นไหวอย่างรุนแรง อยากจะวิ่งเข้าสู่อ้อมอกของผัวพี่จนระงับไม่ไหว “ขอรับ ขอบคุณท่านแม่ทัพ” เอ่ยเสียงเบาแต่กลับสั่นพร่า ยั่วใจของลู่หาน “เรียกว่าพี่ลู่หานเถิดซินเอ๋อร์” บอกเสียงนุ่มอีกรอบดวงตานั้นช่างแพรวพราวนัก เสวี่ยนซินแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว บ่าวซือซือผู้ซื่อสัตย์ มองคุณหนูของนางอย่างเป็นห่วง เหตุใดนางจะไม่รู้ ว่าอาการที่คุณหนูของนางเป็นเพราะเหตุใด และคนเป็นพี่เขยเอ่ยนั้น มันเป็นความสิเน่หา แต่มันไม่ถูกต้อง บ่าววัยกลางคนเป็นกังวลอย่างยิ่ง “เอ่อ ตะ แต่ว่า มันจะดูไม่เหมาะนะขอรับ” น้องเมียตัวน้อยคัดค้าน แม้หัวใจนั้นยินยอมพร้อมทำตามคำของคนตัวโตบอกมา “ช่างผู้อื่นเขาสิ เจ้าต้องฟังพี่ เข้าใจหรือไม่” พี่เขยผู้หวังกินน้องเมียเอ่ยเสียงห้าวทุ้มดูอ่อนโยน แฝงไปด้วยเสน่ห์และการคุกคามทางใจ “ขอรับ ท่านพี่ลู่หาน” เสียงของน้องเมียเอ่ยออกมา นำพาให้ท่านแม่ทัพใจอ่อนยวบแทบเหลวเป็นน้ำ “ข้าต้องขอตัวแล้วขอรับ” ค้อมศีรษะแล้วรีบเดินจากไป ผู้เป็นบ่าวก็รีบเดินตามนายน้อยของตนไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน  พี่เขยมองตามแผ่นหลังบอบบางด้วยความพึงพอใจ ยิ่งได้พูดคุยและอยู่ชิดใกล้ ความต้องการมันยิ่งมากล้น กลับมาจากทัพครานี้คงปล่อยไปไม่ได้ หากมีบุรุษผู้อื่นมาคว้าเอาเจ้าเอวบางไปตนคงแย่  ‘กลับมาจากทัพคราวนี้ เห็นทีว่าพี่จะต้องกินเจ้าให้ได้ ซินเอ๋อร์’  เสวี่ยนซ่านตาลุกวาบ เมื่อเห็นว่าคนเป็นผัวเกี้ยวน้องของตนต่อหน้าต่อตา แต่กลับกล่าวโทษผู้ที่เดินจากไปโดยไม่คิดโทษสามีแม้แต่น้อย  ‘กล้ามาก ที่มาอ่อยผัวของข้าเช่นนี้ อย่าได้คิดนะ ว่าข้าจะเอาเจ้าไว้ เจ้าเกอหน้าโง่’ มองตามน้องไปด้วยความเคืองขุ่น   หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย ท่านแม่ทัพก็ตรงดิ่งไปโรงเลี้ยงม้า แม้บ่าวไพร่จะนำมาให้เอง แต่ลู่หานยืนยันเสียงเด็ดขาด ว่าไม่ต้อง จากนั้นก็ทะยานไปด้วยความเร็วด้วยมีปราณแกร่ง แม้ผู้เป็นเมียจะร้องตามมาก็ตามที  ใจความสำคัญทำให้ท่านแม่ทัพไปคอกม้าเอง นั่นก็คือ เกอน้อยผู้เป็นน้องเมียต่างหาก ในขณะอยู่บนหลังอาชาสีน้ำตาลตัวใหญ่ ตนกำลังจะควบม้าออกจากจวน ดวงตาคมก็สอดส่ายหาเกอน้อยด้วยใจอันร้อนรนและหม่นหมอง ด้วยอยากพบเจอผู้เป็นดวงใจก่อนไปทัพเหลือเกิน แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา พลัน !  ตาคมก็ลุกวาบขึ้นมาทันที คนที่ตนอยากเจออยู่ตรงริมลำธารเล็กไม่ไกลจากคอกม้านัก ลู่หานจึงลงจากอานม้าแล้วตรงดิ่งไปหาน้องเมียคนงามด้วยใจแสนคะนึงหา เสวี่ยนซินกำลังจะปลูกดอกโม่ลี่(ดอกมะลิ) บ่าวไพร่ต่างตกใจเมื่อเห็นท่านแม่ทัพมาหาน้องเมีย แล้วต้องรีบก้มหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะในใจต่างก็สงสารเกอน้อยนี้นัก ที่อาภัพเหลือเกิน   เรือนเฉินต๋า เรือนหลังเล็กของเสวี่ยนซินนั้น อยู่ห่างไกลจากเรือนใหญ่มากโข ทั้งที่เป็นบุตรของท่านเสนาบดีแท้ ๆ แต่กลับเหมือนไม่ใช่ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและผิวพรรณดูจะต่างลิบลับกับเสวี่ยนซ่าน เพียงเพราะขาดการบำรุงและอาหารดี ๆ ลู่หานพินิจดูน้องเมียด้วยความสงสาร ร่างนวลนั้นแม้ไม่ขาวเหมือนหยวกกล้วยดั่งพี่สาว แต่ก็นวลเนียนน่าสัมผัส ทำให้คนมองหัวใจเต้นแรงเหมือนควบม้าทำศึก ยิ่งเห็นคนงามก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ริมธารเพื่อรดน้ำดอกโม่ลี่ที่เพิ่งปลูกเสร็จ ลู่หานยิ่งอยากกกกอดแล้วพรมจูบไปทั่วร่างงามนี้ยิ่งนัก “ซินเอ๋อร์” เสียงเข้มแต่นุ่มนวลนั้นดังขึ้น ทำให้ร่างเย้ายวนที่เพิ่งลุกขึ้นต้องสะดุ้งเยือก พลางหันหลังกลับไปก็ต้องชะงัก แล้วรีบก้มหน้าลงเพราะเขินอายกับแววตาหวานเยิ้มของพี่เขยยิ่งนัก  ใบหน้าผุดผ่องเกิดระเรื่อขึ้น เพื่อให้แม่ทัพหนุ่มได้ยลความงามของหนึ่งไม่มีสอง จะได้ประทับตราตรึงลงในหัวใจตลอดไป “ทะ ท่านแม่ทัพ เอ่อ ท่านพี่ลู่หาน” บอกอย่างเขินอายแกมประหม่าเตรียมตัวจะเดินหนี แต่คงเพราะรีบร้อนร่างงามนั้นจึงเซ ผู้เป็นพี่เขยก็รีบตวัดแขนแกร่งรับร่างอวบอิ่มเย้ายวนของน้องเมียเอาไว้ในอ้อมแขนได้ทันท่วงที   หัวใจทั้งคู่จึงแข่งกันเต้นถี่รัว จนแทบจะหลุดออกมาด้านนอก แถมกลิ่นอายพิศวาสก็รุกเร้าจนคนรอบข้างรู้สึกได้ “เจ้าเป็นอย่างไรบ้างซินเอ๋อร์ เจ็บตรงไหนหรือไม่” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังชิดติดใบหูงาม ฟังดูแล้วสั่นพร่ายิ่งนัก น้องเมียสุดสวาทก็ตัวสั่นใบหน้าแดงระเรื่อเพราะความประหม่าและขัดเขิน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอ้อมแขนของพี่เขยมันอบอุ่นและวาบหวามเป็นอย่างยิ่งจนไม่อาจจะผละออกไปได้ ใบหน้างามของเสวี่ยนซินจึงซุกอยู่กับอกแกร่งของผัวพี่สาว ฟังหัวใจของแม่ทัพหนุ่มเต้นรัวพอกันกับตน ลู่หานหัวใจเต้นโครมครามอย่างไม่คาดฝัน ว่าตนนั้นจะได้กกกอดเจ้างามลออเช่นนี้ เนื่องจากตนนั้นรอเวลาจะได้กอดหอมเจ้าร่างงามแต่เย้ายวนคนนี้มานานหลายราตรีแล้ว เมื่อโอกาสมาถึงมีหรือจะปล่อยไปง่าย ๆ แม่ทัพหนุ่มจึงโอบกอดคนตัวหอมไว้แนบแน่น พร้อมกับแอบดอมดมความหอมละมุนแล้วสูดเข้าจนเต็มปอด เพื่อเติมพลังให้กับตนยามอยู่ในทัพอีกด้วย “เจ้าช่างงามนักซินเอ๋อร์” เสียงนุ่มนั้นเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น สูดลมหายใจเอาความหอมกรุ่นเข้าสู่หัวใจและปอดจนเพียงพอ จำใจต้องปล่อยร่างแน่งน้อยเผื่อมีผู้เป็นนกสองหัวนำความไปบอกท่านเสนาบดี คนงามของตนจะถูกทำโทษเอาได้ “พี่จะไปทัพแล้วนะ เจ้าอยู่ทางนี้ ดูแลรักษาตนเองให้ดีนะ เข้าใจหรือไม่” ลู่หานสั่งอย่างคนที่ห่วงหา “ข้าจะทำตามคำบอกของท่านพี่ลู่หานขอรับ ขอให้ท่านปลอดภัยนะขอรับ” อวยพรให้พี่เขยอยู่รอดปลอดภัย ใบหน้างามยังคงแดงก่ำ คนเป็นพี่เขยแทบอดใจไม่ไหว อยากจะจูบใจแทบขาด “เจ้าคิดถึงพี่ด้วยนะ” บอกกับน้องเมียด้วยดวงตาเปล่งประกายวาววับ เสวี่ยนซินหัวใจเต้นโครมครามไม่กล้าตอบ   “หึหึ พี่ไปแล้วนะซินเอ๋อร์” บอกน้องเมียอีกครั้งแล้วผละจากไปเมื่อกกกอดสมใจแล้ว แม่ทัพหนุ่มควบอาชาสีน้ำตาลตัวโตออกจากจวนด้วยท่วงท่าองอาจและสง่างาม ตาคมกล้ายังคงจับจ้องอยู่ที่น้องเมียคนงาม จนม้าตัวใหญ่ทะยานจากไปแล้วค่อยหันไปมองทาง “ย่าห์ !” แววตาของเสวี่ยนซินเฝ้ามองตามหลังคนตัวโต มันมีแต่ความเพ้อฝันและความรัก แต่เกอผู้อาภัพก็ไม่อาจจะรับรู้ได้อีกต่อไป ว่าชีวิตจากวันนี้ของตนจะไม่ได้เจอผู้เป็นพี่เขยอีกแล้ว วันเวลาผ่านไป นับจากวันที่ลู่หานไปทัพ ก็ล่วงมาแล้วสี่หนาว บัดนี้เสวี่ยนซินนั้นมีอายุได้สิบเก้าแล้ว อีกทั้งยังงดงามจนคนเป็นพี่สาวไม่ชอบใจนัก แต่วันนี้ที่จวนกลับมีเหตุเกิดขึ้น เพราะเกอคนงามไปเจออะไรบางอย่างที่มันควรจะเป็นความลับ เรื่องร้ายจึงเกิดขึ้นกับตน อย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้พ้น   ที่จวนท่านเสนาบดี   เสวี่ยนซินตัวสั่นอย่างหวาดกลัว เพราะตนได้นำสิ่งที่เห็นนั้นมาพูดกับพี่สาว แต่สิ่งที่ตามมานั่นก็คือ เพียะ ! เสียงตบนั้นทำให้ใครต่อใครต่างหันมามองเป็นตาเดียว ก่อนจะเห็นว่า เสวี่ยนซ่านผู้เป็นพี่สาวตบน้องของตน พี่สาวตบน้อง มันคือเรื่องอันใดกัน เหตุใดถึงรุนแรงถึงเพียงนี้ แต่อย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เพราะผู้เป็นพี่ ตบตีน้องอยู่ทุกครั้งหากไม่พอใจอยุ่แล้ว “เจ้ากล่าวอันใดซินเอ๋อร์ เจ้าให้ร้ายเจี่ยเจียได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่” เสวี่ยนซ่านถึงกับร้องไห้ นางเสียใจที่น้องรักกระทำแบบนี้กับนางได้ “ข้าไม่ได้กล่าวร้ายให้เจี่ยเจียเสียหาย แต่ข้าเห็น เห็นมากับตา ว่าชายป่าบริเวณศาลเจ้าจิวเมิ่ง เจี่ยเจียนั้นแอบเสพสุขกับ… อุ๊ปส์” เสียงหายขาด มาจากการที่ถูกปิดปากด้วยมือของเสวี่ยนซ่าน พร้อมกับหยิกที่แก้มนวลเต็มแรง “พอที ข้าจะบอกท่านพ่อว่าเจ้าเกลียดข้า เพราะเจ้าแอบรักท่านพี่ลู่หาน อย่านึกนะว่าข้าไม่รู้ ว่าวันที่ท่านพี่จะไปทัพ เจ้าทำอันใดไว้” เสวี่ยนซ่านขู่น้องสาวจนต้องเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่  นางรู้ดีว่าน้องของตนแอบรักผู้เป็นผัวของนาง แถมยังอยากกินลู่หานอีกด้วย ดีแค่ไหนที่แม่ทัพลู่ ไม่กินตอบมิเช่นนั้นคงสมใจของซินเอ๋อร์แน่  แต่บางที ผัวของนางเองนั่นแหละที่อยากจับคนตรงหน้ากินลงท้อง เพราะตนจำแววตาวันนั้นได้เป็นอย่างดี ว่าลู่หานมองน้องไม่รักดีคนนี้หวานเยิ้มมากแค่ไหน “ข้าไม่ได้แอบ” ซินเอ๋อร์ไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้รักผู้เป็นพี่เขย... แต่ตนไม่เคยคิดแย่งผัวพี่มาครอบครอง ถึงแม้จะเห็นแววตาที่พี่เขยมองมาด้วยความหื่นหิวและห่วงหวง ถึงอย่างนั้นเสวี่ยนซินเองก็มีคุณธรรมพอ “เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นมาดูกัน ว่าค่ำนี้ ผู้ใดจะถูกท่านพ่อลงโทษ” เสวี่ยนซ่านเดินออกไป แต่เกอน้อยหน้าซีดเผือด อะไรนี่ เหตุใดถึงกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ไปได้ ก็ในเมื่อเรื่องราวนั้น เจี่ยเจียของเขาทำผิด แต่เมื่อนำความมากล่าว กลายเป็นว่าตนผิดไปซะนี่ เสวี่ยนซินยืนอึ้ง รู้ดี ว่าผู้จะบิดาถูกลงโทษ มันจะต้องเป็นตนอย่างแน่นอน           และสิ่งที่คิดเอาไว้ มันก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ   เพียะ !  เพียะ !  เสียงแส้ที่วาดอากาศเข้าไปกระทบเนื้อนุ่ม ๆ ของเสวี่ยนซิน ทำให้หลังเนียนนั้นเต็มไปด้วยเลือดและรอยแส้  บ่าวไพร่ต่างร้องไห้ด้วยความสงสารผู้เป็นคุณหนูเล็ก ตั้งแต่เด็กแล้ว ผู้เป็นนายต้องถูกลงโทษอยู่เป็นประจำและทุกครั้ง แม้จะเรื่องเล็กมากเพียงใด มันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เสมอ ถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวพันกับเสวี่ยนซ่านผู้เป็นพี่สาว เสวี่ยนซินยิ้มขมให้กับตนเอง แส้ที่กระทบลงบนผิวเนื้อนวลนั้นไม่ได้ทำให้เกอน้อยเจ็บปวดมากไปกว่า ผู้เป็นบิดาไม่เคยเชื่อใจ และการที่บิดาฟังแต่พี่สาวเพียงผู้เดียวต่างหาก ทำให้หัวใจดวงน้อยชอกช้ำอย่างหนัก น้ำตาใสแวววาวของเสวี่ยนซินไหลลงมาตามแก้มนวล ก่อนจะหยดลงพื้น ซึมเข้าใต้พื้นธรณินให้เป็นพยาน  ‘ฮึก วสุธานี้จงเป็นพยานแก่ข้าด้วยเถิด ว่าข้านี้ไร้ซึ่งความยุติธรรมจากผู้เป็นบิดา แม้แต่ความรักแม้เพียงเศษเสี้ยวผู้เป็นบิดาก็ให้ข้าไม่ได้ ข้าเสวี่ยนซินเจ็บปวดนัก ฮึก’ น้ำตาของเกอผู้อาภัพไหลรินจากดวงตา กลิ้งหล่นกระทบแก้มนวลอย่างไม่ขาดสาย ความเสียใจและเจ็บปวดมันบีบรัดจนเกอน้อยหายใจไม่ออก จิตสำนึกสุดท้ายก่อนสิ้นสติไปนั่นก็คือ แม่ทัพลู่หานผู้เป็นพี่เขย  ‘ฮึก ท่านพี่ลู่หาน ข้าคงไม่ได้เจอท่านพี่อีกต่อไปแล้ว ข้ารักท่าน รักมากที่สุด ท่านจงรักษาตัวเองให้ดีนะขอรับ ฮึก’ แล้วร่างเย้ายวนก็สิ้นสติไป   และไม่มีผู้ใดรู้ว่า เกอผู้อาภัพนั้นได้สิ้นใจไปแล้ว ด้วยน้ำมือของบิดาตน ประจวบเหมาะกับที่โอมได้เสียชีวิตลงจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน จากการช็อกขั้นรุนแรง วิญญาณนั้นได้ทะลุมิติมา และด้วยบ่วงกรรมของคนเหล่านี้จะต้องชดใช้ ทำให้ดวงจิตของโอมพุ่งลงมาจากฟากฟ้า เข้าสู่ร่างของเสวี่ยนซินพอดี   ยามโฉ่ว  (01.00-02.59) ที่ฐานทัพ ในขณะที่เสวี่ยนซินผู้อาภัพ กำลังจะสูญสิ้นแห่งดวงจิต เพราะความชอกช้ำและเจ็บปวด ลู่หานนั้นกำลังวางกลยุทธ์เพื่อจะได้รับชัยชนะ ตนนั้นอยากกลับไปเมืองหลวงเต็มทีแล้ว            ‘ซินเอ๋อร์พี่คิดถึงเจ้า เจ้าสบายดีหรือไม่ จะคิดถึงพี่ เหมือนที่พี่นั้นคิดถึงเจ้าหรือไม่ พี่อยากกลับไปกกกอด อยากหอม อยากกินร่างหอมละมุนของเจ้านัก พี่อยากฟังเสียงครวญครางของเจ้า เวลาที่พี่สอดแท่งทวนเข้าสู่ทางสวรรค์ พี่จะรีบกลับไป เจ้ารอพี่นะ’ แม่ทัพลู่หานคิดคำนึงถึงเกอน้อยผู้เป็นที่รัก           โดยไม่อาจจะรู้เลยว่า แต่นี้ต่อไป ตนนั้นจะไม่ได้เห็นหรือสัมผัสกับเจ้าร่างแน่งน้อยผู้เป็นสุดที่รักอีกต่อไปแล้ว แต่จะได้แตะต้องใครอีกคนแทน   ยามเหม่า (05.00-06.59) ดวงจิตสีเงินลอยละลิ่วลงมาจากฟากฟ้า พุ่งเข้าสู่เรือนหลังเล็ก ของเกอผู้แสนอาภัพ เสวี่ยนซิน !  จิ๊บ ! จิ๊บ !           เสียงกสุณาร้องดังอย่างเซ็งแซ่ ปลุกให้ผู้หลับใหลไม่ได้สติให้ตื่นขึ้นมา เพื่อได้รับรู้ในทุก ๆ เหตุการณ์และสะสางเรื่องราวอันค้างคาให้จบสิ้นไป “อือ” เสียงเหมือนคนงัวเงียดังออกมาจากลำคอ ความอุ่นจากแสงทิวากร ทำให้ร่างสะโอดสะองเย้ายวนที่หลับสบายอยู่บนเตียงไม้ต้องพลิกกายไปมา ก่อนจะปรือเปลือกตาขึ้นอย่างช้า ๆ เมื่อดวงตาเปิดขึ้นก็เจอกับรัศมีแห่งภาสกรส่องกระทบกับม่านตา ทำให้ต้องรีบก้มหน้าลงหลับตาเพื่อปรับแสง แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมาใหม่ อะไรหลาย ๆ อย่างเมื่อจักษุมองเห็น ทำให้เจ้าของร่างอรชรมึนงงและงงงวย ว่านี่มันที่ไหนกัน ทำไมไม่มีอะไรคุ้นเคยเลยแม้แต่นิด เฮ ! พลันเสียงเอะอะมะเทิ่งดังเข้ามา ก็ทำให้ร่างกลมกลึงถึงกับสะดุ้ง           ใครทำอะไรกันนะ คนร่างอรชรเย้ายวนพยุงกายลุกออกจากเตียงไม้แล้วเดินไปที่หน้าต่างอย่างอ่อนระโหยโรยแรง มองตรงไปด้านหน้าอย่างมึนงงว่าเขาทำอะไรกัน ผู้ชายเหล่านั้นต่างลงไปที่ลำคลองเล็ก สักพักก็ได้ปลามาตัวเบ้อเริ่ม เสียงเฮก็ดังกึกก้องอีกรอบ     ‘อ้อ จับปลานี่เอง’ คิดแล้วก็เดินกลับไปยังเตียงนอนเหมือนเดิม แต่แล้วก็ชะงัก เพราะอะไรหลายอย่างดูแปลกไป จึงรีบสาวเท้าไปอย่างเร็ว “โอ้ยย” ครางลั่น ทำไมถึงเจ็บไปทั้งตัวเลย มันเกิดอะไรขึ้น ร่างกายเล็กแต่ดูเย้ายวนจึงตั้งหลัก แล้วค่อยเดินไปนั่งที่เตียงไม้อันเล็กอย่างมึนงงและสับสน ตกลงมันคืออะไรยังไง ก็เขากำลังจะถูกเอกธวัชสอดเจ้าปืนโตเข้าไปในช่องทางด้านหลังนี่นา แล้วเขาก็ตกสวรรค์ เพราะความองอาจของเอกธวัชมันอ่อนตัวลงจนกลายเป็นกิ้งกือ เขาก็ช็อก ใช่แล้ว ! เขาช็อก เขานั้นหัวใจวายนี่นา ตาสวยลุกวาบขึ้น “โอ้ย เราเป็นอะไรไป ทำไมต้องเจ็บไปทั้งเนื้อทั้งตัว นี่แค่ไม่ได้เอากับเอกนะ ไม่ได้ไปแบกหามเป็นกรรมกรที่ไหน ทำไมต้องเจ็บเหมือนกับถูกรถเหยียบมาด้วย” ยกมือน้อยขึ้นมาแล้วก็ต้องชะงักอีกรอบ ทำไมถึงหยาบกร้านแบบนี้นะ ผิวพรรณของเขามีสีขาวอมชมพูนะ ไม่ใช่ออกสีแทนแบบนี้           ความสงสัยยังไม่ทันจางหายจู่ ๆ ก็ปวดหัวอย่างรุนแรง “โอ้ยยย เจ็บ ฮือ” มือน้อยกุมศีรษะแน่น แล้วนอนบิดกายเร่า ๆ ด้วยความเจ็บปวด ก่อนสติจะวูบก็ได้ยินเสียงหวาน ๆ แว่วเข้ามาในโสตประสาท     ‘โอม เจ้าจงดูแลร่างของข้าให้ดีนะ ดูแลพี่ลู่หานแทนข้าด้วย ข้านั้นด้อยวาสนานัก’  เสียงนั้นร้องไห้ดังเข้ามาในจิตสำนึกสุดท้าย แล้วสติก็วูบไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD