หลังจากการสักการะพระโพธิสัตว์ด้วยบทสวดอันแปลกประหลาดของฮองเฮาแล้ว โจวจื่อเหลียงสังเกตว่านางไม่มีอาการแพ้กลิ่นธูปเหมือนที่เคยกล่าวอ้างมาตลอดจริง ๆ คนสองคนเดินเคียงกันออกมาจากอารามหลวง โจวจื่อเหลียงจึงถามว่า
"แต่เดิมฮองเฮามักจะหลีกเลี่ยงงานสักการบูชา ด้วยเหตุแพ้กลิ่นธูปมิใช่หรือ บัดนี้หายดีแล้วหรือ"
หลิวฉูฉู่พยักหน้ารับเอ่ยคำเดียว
"เพคะ"
เพราะคิดว่าไม่ต้องการอธิบายสิ่งใดอีกจึงตอบเพียงสั้น ๆ เท่านั้น โจวจื่อเหลียงมองสตรีร่างบางในอาภรณ์ขาวไร้เครื่องประดับกาย ทว่ากลับดูสดใสไปทั้งร่างด้วยสายตาอ่อนลง หลิวฉูฉู่ในยามนี้งดงามราวกับมีแสงพระอาทิตย์สาดส่องมาจับร่างของนางให้เปล่งประกาย
ถูกเขาจ้องมองเช่นนั้นแม้ว่าจะเคยชินกับการที่ถูกคนมองมาตั้งแต่เด็กหลิวฉูฉู่ก็อดที่จะรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายได้แต่เอ่ยคำพูดเชย ๆ ออกไป
"มีสิ่งใดติดใบหน้าหม่อมฉันหรือเพคะ"
โจวจื่อเหลียงกลับส่ายหน้า ทว่าดวงตาคมคู่นั้นยังจับจ้องที่ใบหน้าของเธอเช่นเดิมราวกับว่าเขากำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในนี้
ถึงการที่เธอมาเข้าร่างของฮองเฮาคนนี้จะเป็นเรื่องที่ไม่ตั้งใจ แต่จู่ ๆ ในใจของหลิวฉูฉู่กลับรู้สึกว่าตัวเองมีความผิดและกลัวถูกจับได้ หากโจวจื่อเหลียงเห็นว่าเธอเป็นวิญญาณร้ายแล้วคิดทำเรื่องประเภทกักขังหน่วงเหนี่ยวใช้วิธีพิสดารทำให้สารภาพเธอจะทำยังไง
"อะ แฮ่ม เมื่อไม่มีแล้วก็อย่ามองมากสิเพคะ หม่อมฉันเองก็เขินเป็นเหมือนกันนะ ฝ่าบาทมองด้วยสายตารักใคร่เช่นนี้หม่อมฉันเองก็ไม่รู้จะทำตัวเช่นใด"
แต่ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนหลิวฉูฉู่รีบปรับสีหน้า ฉีกยิ้มกว้างอย่างสดใส จ้องเขาตอบไม่ลดละครานี้คนที่คล้ายจะหัวใจเต้นผิดจังหวะกลายเป็นโจวจื่อเหลียงเสียเอง
"ฮองเฮาจะเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว"
ก่อนหน้านี้ความรู้สึกของโจวจื่อเหลียงที่มีต่อหลิวฉูฉู่ค่อนข้างจะซับซ้อนทั้งหลิวฉูฉู่ยังมีนิสัยร้ายกาจกดข่มผู้คน ทั้งยังมีไทเฮาหนุนหลัง
โจวจื่อเหลียงเองก็ไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดไทเฮาจึงรักใคร่หลิวฉูฉู่ราวกับคลอดออกมาด้วยตนเองจึงส่งคนไปสืบและล่วงรู้ความลับในที่สุด
ที่แท้เขาก็รู้ว่าเพราะแต่เดิมก่อนได้รับสมรสพระราชทานให้กับอดีตฝ่าบาท ในยามนั้นไทเฮาทรงรักใคร่กับบิดาของหลิวฉูฉู่มาก่อน ทว่าด้วยสมรสพระราชทานจึงทำให้ไม่อาจครองคู่
ความจริงในยามนั้นหากไทเฮาทรงปฏิเสธไม่ยินยอมคิดว่าอดีตฮ่องเต้ก็คงไม่หักหานน้ำใจ ทว่าไทเฮากลับคิดถึงความรุ่งเรืองของสกุลเดิมมากกว่าความรักของตนจึงยอมสมรสแต่โดยดี ทิ้งให้บิดาของหลิวฉูฉู่เสียใจอยู่นานและบุรุษผู้นั้นก็ยังไม่เคยตำหนิต่อว่าแม้แต่น้อย เพราะมีความหลังกันเช่นนี้จึงทำให้ไทเฮารู้สึกผิดและเข้าข้างรักใคร่เอ็นดูหลิวฉูฉู่มาก แม้นางจะกระทำความผิดก็ยังปิดตาทำเป็นมองไม่เห็นความร้ายกาจนั้น
ความจริงแล้วเมื่อสักครู่ที่อยู่ในอารามหลวง โจวจื่อเหลียงยังได้เห็นเรื่องบางเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง หรือว่าเขาจะตาฝาดไป
ในยามนั้นที่ขี้เถ้าของธูปหล่นใส่มือของนาง เขาเหมือนจะมองเห็นภาพซ้อนในร่างนี้ สตรีนางหนึ่งใบหน้างดงามประดุจเทพเซียนยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ประหลาดที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ในยามที่เขาจะจ้องมองนางให้กระจ่างกลับพบว่าภาพนั้นได้หายไปแล้ว
เขาแน่ใจว่าเขามิได้ตาฝาดหรือเพ้อเจ้อไปเอง อารามหลวงของราชวงศ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้บรรลุเซียนในอดีตเป็นผู้ชี้แนะจุดตั้งอารามหลวงเดิมทียังมีฉีเหอไต้ซือผู้บรรลุนิพพานพำนักอยู่ ทว่าบัดนี้ได้เร้นกายจากไปปฏิบัติธรรมแล้ว
อารามแห่งนี้จึงไร้ภิกษุที่พำนัก น่าเสียดายหากฉีเหอไต้ซืออยู่ที่นี่ คงสามารถล่วงรู้ได้เป็นแน่ว่าแท้จริงในกายของฮองเฮามีวิญญาณของผู้ใดอยู่ในนี้
เมื่อสถานที่นี้วิเศษทั้งศักดิ์สิทธิ์เพียงนี้ หากเป็นวิญญาณร้ายไม่อาจเหยียบเข้าไปได้ ทว่าหญิงสาวผู้นี้กลับไม่เป็นอันใดเลยเช่นนี้จะหมายความว่านางมิใช่วิญญาณเร่ร่อนทั่วไปใช่หรือไม่
ข้างแก้มของหลิวฉูฉู่ร้อนผ่าว ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าเธอเพ้อเจ้อ แต่ความเป็นจริงแล้วโจวจื่อเหลียงยังคงจับจ้องใบหน้าเธอไม่วางตา มองแทบจะทะลุเข้าไปในเนื้อใน ท่าทางของเขาหลังจากที่ออกมาจากวิหารก็ดูเปลี่ยนไปเป็นอันมาก ดูเหมือนเขาจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน
"ฝ่าบาทจ้องหม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ"
โจวจื่อเหลียงยกมุมปากยิ้มบาง
"เราเพียงแค่อยากรู้ว่าฮองเฮาแท้จริงแล้ว...."
"ทำไมเพคะ"
"เป็นคนเช่นไร"
เขาอยากจะถามว่านางคือผู้ใด ทว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนเช่นกัน
"หม่อมฉันหรือเพคะ เหตุใดฝ่าบาทจึงอยากรู้นิสัยหม่อมฉันกันล่ะเพคะ"
"ในฐานะสามี เราไม่สามารถรู้ได้หรือ"
หลิวฉูฉู่หัวเราะแล้วเอ่ยว่า
"ถ้าจะยกฐานะนี้มาเป็นเหตุผล ก็โอเคเพคะ"
"หืม โอเค"
"เพคะ โอเค"
"คือ..."
"ก็แปลว่าตกลง เข้าใจได้ และหม่อมฉันก็พร้อมจะบอกเพคะ"
นี่อย่างไร วาจาประหลาดเหล่านี้ทำให้โจวจื่อเหลียงยิ่งมั่นใจได้ ในยามนี้เขาจึงได้โอกาสแล้ว
"เช่นนี้ฮองเฮาของเราเป็นคนเช่นใดกันแน่"
หลิวฉูฉู่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า
"ฝ่าบาทอยากรู้เรื่องอันใดเล่าเพคะ"
"เรื่องนี้เราสองคนยังต้องคุยกันอีกมาก ในเมื่อได้มีโอกาสสักการะพระโพธิสัตว์ในบทสวดอันแปลกประหลาดด้วยกันเป็นครั้งแรก และยังได้เดินร่วมทางกันเช่นนี้นับว่าไม่ง่ายนัก เช่นนั้นฮองเฮาก็อยู่กับเราให้นานอีกหน่อยเถิด"
หลิวฉูฉู่กะพริบตา
"ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาคนที่หลีกเลี่ยงหม่อมฉันคือฝ่าบาทหรือเพคะ"
ใบหน้าคมคร้ามก้มต่ำลงมากระทั่งหลิวฉูฉู่มองเห็นเงาของตัวเองในดวงตาคู่นั้น เขากำลังทำให้เธอตกตะลึงในความหล่อเหลาร้ายกาจ ในขณะที่โจวจื่อเหลียงเอ่ยว่า
"ก่อนหน้านี้เป็นเราที่หลบหนีหลิวฉูฉู่จริง ทว่าหลังจากเจ้าฟื้นขึ้นมาในครานั้นดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายหลบหนีเราเสียเอง แท้ที่จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฮองเฮาของเรากันแน่"
หลิวฉูฉู่เม้มปาก แววตาของเขาดูอย่างไรก็รู้ว่ากำลังรู้ทันเธอ กระทั่งเขาเอ่ยว่า
"ใคร่ครวญให้ดี ก่อนตอบเรา"
จู่ ๆ โจวจื่อเหลียงก็รวบมือเล็กของเธอเอาไว้ในอุ้งมืออันแสนอบอุ่นของเขาแล้วดึงให้เธอเดินตามมา ท่าทางของเขานั้นสนิทสนมรักใคร่กระทั่งตงกงกงและอาเหมียนเองยังตกตะลึง
พวกเขาเดินตามฮองเฮากับฝ่าบาทช้า ๆ โจวจื่อเหลียงจึงเอ่ยว่า
"พวกเจ้าไม่ต้องตามมาแล้วถอยไปให้หมด"
ด้วยคำสั่งนี้สุดท้ายแล้วจึงเหลือเพียงหลิวฉูฉู่กับโจวจื่อเหลียงกันเพียงลำพัง เธอยังคงก้าวเท้าตามเขาเงียบ ๆ มองแผ่นหลังกว้างองอาจของเขา กลิ่นไอสูงส่งแผ่กระจายโดยรอบร่างสูง เหมือนเธอสามารถเห็นแสงออร่าเปล่งประกายออกจากตัวของเขา
คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นโอรสสวรรค์ ในละครกับเรื่องจริงช่างแตกต่างกันยิ่งนัก
ตัวจริงนี้ของโจวจื่อเหลียงจะบอกว่าเขาคือโอรสสวรรค์นั้นไม่ผิดเพี้ยน
คนอะไรเหมือนกินไฟนีออนเป็นอาหาร ถึงได้ส่องประกายบรรเจิดในทุกเวลาแบบนี้
หลิวฉูฉู่ในยามนี้เพิ่งได้ตระหนักว่าแท้จริงแล้วฝ่ามือใหญ่นี่มิได้นุ่มนวลอย่างที่ควรจะเป็น ยังมีร่องรอยความหยาบกร้านอย่างเห็นได้ชัด เสมือนคนที่จับดาบถือหอกเป็นประจำ
ฮ่องเต้คนนี้ยังมีกองทัพลับในมือของเขา เอาไว้กำจัดขุนนางชั่วโดยที่ไม่ผ่านสภาขุนนางในราชสำนักและเขายังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าออกไปจัดการขุนนางชั่วด้วยตัวเอง กระทั่งลูกน้องของเขายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยด้วยซ้ำ
เพราะราชกิจที่วุ่นวาย ยังต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับราษฎรจึงทำให้ตำหนักหลังกลายเป็นของเจ้าของร่างเดิมอย่างแท้จริง ถึงจะปกป้องบุตรชายด้วยชีวิตสุดท้ายแล้วยังมีช่องโหว่ให้เจ้าของร่างเดิมวางยาสังหารเด็กน้อยได้
เขาจับจูงมือของเธอกระทั่งเข้ามาในป่าดอกเหมยแล้วพามานั่งผ่อนคลายที่ศาลาหลังเล็กหลังหนึ่ง
กลิ่นหอมฟุ้งของดอกเหมยทำให้หลิวฉูฉู่เงยหน้ามองไปรอบ ๆ เพราะตั้งแต่เดินมาเธอเองเอาแต่มองแผ่นหลังกว้าง จึงไม่ได้สังเกตว่าเขาพาเธอมาที่ใด
กระทั่งในป่าเหมยนี้ยังมีน้ำตกจำลองเล็ก ๆ จะบอกว่าเป็นน้ำตกจำลองก็ไม่ถูกนักในเมื่อตอนนี้มันกลายเป็นน้ำตกจริง ๆ ไปแล้ว ด้วยความสวยงามและโรแมนติกของบรรยากาศทำให้หลิวฉูฉู่ถึงกับพูดอย่างเหม่อลอย
"อากาศวันนี้ดีนัก ไม่มีลมยังมีแดดอุ่นเหมาะแก่การปิ๊กนิค พรอดรักกัน"
โจวจื่อเหลียงไม่เปิดโปงเธอที่พูดจาประหลาด ถึงเขาจะไม่เข้าใจก็ตามที เขาต้องการให้หลิวฉูฉู่คนนี้เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ในยามที่เธอเหม่อลอยนั้นโจวจื่อเหลียงก็เอ่ยถาม
"หลิวฉูฉู่ นามนี้ผู้ใดตั้งให้"
จู่ ๆ โจวจื่อเหลียงก็ยิงคำถามนี้มา หลิวฉูฉู่ยังแยกไม่ออกว่าเขาหมายถึงฮองเฮาของเขา หรือตัวตนจริง ๆ ของเธอ จึงได้ตอบออกไปว่า
"ชื่อหลิวฉูฉู่เป็นชื่อที่ป๊าตั้งให้ค่ะ"
โจวจื่อเหลียงกะพริบตา คล้ายกำลังนึกทบทวนคำบางคำที่นางพูดขึ้น
"ป๊าหรือ"
คราวนี้หลิวฉูฉู่รู้สึกตัวแล้ว เธอจึงแย้มแห้ง ๆ แล้วบอกกับเขาว่า
"ท่านพ่อตั้งให้เพคะ ท่านพ่อ"
ว่าแล้วก็หักกิ่งไม้ที่ยื่นเข้ามาในศาลาเล็กมากิ่งหนึ่ง พลันก้มหน้าหักเป็นท่อนเล็ก ๆ แก้เขิน
โจวจื่อเหลียงรู้ดีว่าผู้ที่ตั้งชื่อให้หลิวฉูฉู่แท้จริงคือฮูหยินใหญ่สกุลหลิวต่างหาก เรื่องราวของหลิวฉูฉู่ถูกกรอกใส่หูของเขามาตั้งแต่เด็กโดยเสด็จแม่ของเขาเอง
ถึงโจวจื่อเหลียงจะไม่สนใจแต่มารดาของเขาหมายมั่นปั้นมือให้รับนางเข้าวัง อย่างไรก็ยังพอจดจำได้
หลิวฉูฉู่เองยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกหลอกถามเข้าแล้ว ยังได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ โจวจื่อเหลียงเองก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงดุดันกับเธอแล้ว ยิ่งทำให้หลิวฉูฉู่ประหลาดใจ หรือผู้ชายคนนี้หลังจากได้สวดอธิษฐานกับพระเยซูเจ้าแล้วหัวใจของเขาก็อ่อนลงเช่นนั้นหรือ
ในที่สุดโจวจื่อเหลียงก็เอ่ยคำหนึ่งออกมา
"หลิวฉูฉู่เจ้ารู้หรือไม่ ว่าบัดนี้มีคนจ้องจะปลดเจ้าลงจากตำแหน่ง หากเป็นเช่นนั้นจริงจะยอมรับได้หรือไม่ ยอมลงจากตำแหน่งแต่โดยดี"
ดวงตากลมเบิกค้างด้วยความตกใจ กระทั่งความรู้สึกนั้นหลากหลายยิ่งนัก ในตอนแรกหลิวฉูฉู่รู้สึกยินดี ถ้าปลดจากตำแหน่งเธอก็จะหนีไปให้ไกลสุดฟ้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวัง จุดจบคงไม่ต้องโดนให้กินยาพิษ ทว่าเมื่อคิดถึงประตูโดเรม่อนที่อยู่ใต้สระบัวนั่นก็เริ่มกังวลขึ้นมายังไงเธอก็ยังอยากหาทางกลับบ้าน
"ถ้าถูกปลดจะยังได้อยู่ในวังหรือไม่เพคะ"
ได้ฟังคำถามนี้ยิ่งทำให้โจวจื่อเหลียงมั่นใจหลายอย่าง การที่เขาถามคำถามนี้กับนางเพราะต้องการดูกิริยาของหลิวฉูฉู่ว่าจะเป็นเช่นไรกันแน่ นางผู้นี้ไม่ถามถึงสาเหตุของการปลดออกจากตำแหน่ง ทั้งยังไม่อ้อนวอนขอร้อง เหมือนเรื่องเหล่านี้นางไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
"ถ้าถูกปลดก็ย่อมต้องออกจากวัง ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีก"
หลิวฉูฉู่รู้ดีจริง ๆ ว่ามีเรื่องทำนองนี้ ขุนนางหลายคนไม่ชอบเจ้าของร่างเดิมจึงหาทางที่จะดึงลงจากตำแหน่ง สุดท้ายหลักฐานการทำความผิดมัดตัวจนนำไปสู่ความตายของเจ้าของร่างเดิม ทว่าตอนนี้หากเธอรีบหนีโอกาสรอดยังมีมาก แต่หากออกจากวังไปแล้วเธอจะทำมาหากินอะไร และที่สำคัญโอกาสที่เธอจะได้กลับบ้านนั้นก็แทบเป็นศูนย์
ท่าทางของหลิวฉูฉู่ในตอนนี้เหมือนกำลังคิดหนัก เธอกอดอกเดินวนไปวนมาหลายครา
"ฝ่าบาทหม่อมฉันยังไม่อยากถูกปลดเพคะ"
ในระยะเวลานี้เธอยังต้องช่วยหาทางแก้ไขพิษในตัวองค์ชายน้อย แต่ก่อนเจอในบทละครหากเขาตายก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่ย่อมไม่อาจเห็นใครตายต่อหน้าต่อตาได้
"ไม่ถามเลยหรือว่าเจ้าทำความผิดใดถึงต้องถูกปลด"
หลิวฉูฉู่ใคร่ครวญแล้ว ถึงเธอจะออกจากวังแต่อำนาจของฮ่องเต้ล้นฟ้า หากองค์ชายน้อยเกิดตายด้วยพิษและหลักฐานสุดท้ายมัดแน่นว่าเป็นเธอ ยังไงก็คงถูกลากมารับโทษอยู่ดี
แบบนี้วิธีออกจากวังย่อมใช้การไม่ได้ ในตอนนี้ถึงคิดที่จะคุกเข่าลง
"เรื่องที่ผ่านมาหม่อมฉันจำไม่ได้เพคะ แต่หากฝ่าบาทเอ่ยเรื่องนี้แล้วย่อมต้องมีหลักฐานบางประการที่หลิวฉูฉู่คนเดิมทำนิสัยไม่ดีเอาไว้ ไม่เหมาะสมจะเป็นฮองเฮา แต่ฝ่าบาทเพคะตอนนี้หม่อมฉันเปลี่ยนไปแล้ว ฝ่าบาทอย่าปลดหม่อมฉันเลยนะเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะตั้งใจปรนนิบัติฝ่าบาทและดูแลองค์ชายน้อยให้ดี หม่อมฉันตัดสินใจแล้วเพคะ"
โจวจื่อเหลียงยกคิ้วเข้มขึ้น
"ฮองเฮาอ้อนวอนเช่นนี้ ไม่ทราบว่าตัดสินใจสิ่งใดหรือ"
หลิวฉูฉู่จำต้องปั้นเรื่องอีกครั้ง
"ที่ผ่านมาเราสองคนอาจไม่ลงรอยกันบ้าง ตั้งแต่ได้มีโอกาสไปเข้าเฝ้าองค์เง็กเซียน ยังกำชับหม่อมฉันมาว่าโอรสสวรรค์ต้องมีฮองเฮาที่ทรงคุณธรรมเคียงข้าง หม่อมฉันรู้ดีที่ผ่านมาเป็นคนไม่ดี ยามนี้คิดปรับปรุงตัวจริง ๆ แล้ว หม่อมฉันจึงตัดสินใจว่า ต่อไปจะอยู่เคียงข้างกับฝ่าบาทให้ดี ทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งฮองเฮาเพคะ"
โจวจื่อเหลียงหัวเราะเบา ๆ
"เช่นนั้นหรือ เป็นฮองเฮาที่ดีของเรา จะอยู่เคียงข้างเราจนกระทั่งผมหงอกขึ้นเต็มศีรษะใช่หรือไม่"
หลิวฉูฉู่คิดว่า คงไม่ต้องรอจนถึงผมหงอก หน้าร้อนนี้เมื่อหิมะละลายเธอก็จะมุดประตูวิเศษกลับไปยังโลกของเธอแล้ว หลิวฉูฉู่ไม่ได้บอกความคิดของตัวเองออกไป เพียงแต่ยิ้มกว้างงดงามยิ่งนัก
"เพคะ ฝ่าบาทเช่นนี้อย่าปลดหม่อมฉันเลยนะเพคะ"
โจวจื่อเหลียงถือโอกาสทำตัวเป็นผู้มีบุญคุณกับนางทันใด
"เจ้าขอร้องถูกคนแล้ว ในวังหลวงนี้นอกจากเราแล้วคงไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้อีก นอกจากเหตุผลนี้ยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่ หากเป็นเหตุผลที่ดีพอเราอาจพิจารณาต่อสู้กับขุนนางเหล่านั้นเพื่อเจ้าสักหน"
หลิวฉูฉู่ไตร่ตรอง เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือไงนะ เธอจะกลับตัวก็แล้ว จะทำดีก็แล้ว ฝ่าบาทคนนี้โลภมากยิ่งนัก ยังต้องการเหตุผลใดอีก ในที่สุดเธอก็คิดขึ้นได้
"ยังมีอีกเพคะ"
โจวจื่อเหลียงมองใบหน้างามดวงตาพราวระยับ
"มีเหตุผลใดอีก"
"ฝ่าบาท"
หลิวฉูฉู่ส่งรอยยิ้มงดงามสดใส ทั้งยังขยับเข้ามาใกล้กระทั่งลมหายใจอุ่นร้อนของนางปะทะใบหน้าของเขา
หลิวฉูฉู่เอนกายเข้าไปหาเขาช้า ๆ เลียนแบบฉากหนึ่งในละครที่เธอแสดงมา ฝ่ามือเล็กประทับลงบนแผงอกกว้างของเขา โจวจื่อเหลียงหัวใจเต้นระรัว ใบหน้างามล้ำที่ซ้อนอยู่ภายใต้ใบหน้าของฮองเฮาผู้นี้พลันปรากฎขึ้นอีก โจวจื่อเหลียงเห็นใบหน้างามภายใต้หน้ากากของฮองเฮาชัดเจนยิ่งนัก
"จะ เจ้า..."
โจวจื่อเหลียงเอ่ยไม่ทันสิ้นประโยค หลิวฉูฉู่พลันประทับจุมพิตแผ่วเบาลงบนกลีบปากกระด้างราวกับปีกผีเสื้อที่กำลังกระพือช้า ๆ เสียงหวานใสเอ่ยราวกระซิบ ทว่ากลับทำให้หัวใจของคนคล้ายกำลังถูกหลอมละลายด้วยไฟอันร้อนแรงโดยไม่อาจต้านทานได้
"ฝ่าบาท.....รักนะเพคะ..."